กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 368

สรุปบท บทที่ 368.2 หลี่เอ้อร์เดินทางไกล จั่วโย่วไม่ลำบากใจ: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอน บทที่ 368.2 หลี่เอ้อร์เดินทางไกล จั่วโย่วไม่ลำบากใจ จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 368.2 หลี่เอ้อร์เดินทางไกล จั่วโย่วไม่ลำบากใจ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

เทพหยินแซ่จ้าวมายืนอยู่ตรงม่านไม้ไผ่ของร้านยา “เฉินผิงอัน ข้ามีธุระอยากจะคุยกับเจ้า”

เฉินผิงอันลุกขึ้น เลิกผ้าม่านเดินเข้าไปในร้านยาที่อยู่ด้านหน้า

เทพหยินพาเฉินผิงอันเดินออกมานอกประตูใหญ่ เดินเข้าไปในตรอกเล็ก ไม่รู้ว่าร่ายใช้ค่ายกลอย่างไรถึงสามารถเปลี่ยนตบะของตัวเองให้กลายเป็นขอบเขตหยกดิบที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ได้ ในตรอกเล็กพลันมืดสลัว แม้ว่าใบหน้าของเทพหยินแซ่จ้าวจะพร่าเลือน แต่ก็ยังพอจะทำให้เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงความระมัดระวังของมันอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอารมณ์หวาดผวาไม่คลายที่หาได้ยากอยู่ด้วย หลังจากที่มันตัดขาดการสำรวจตรวจตราจากโลกภายนอกเรียบร้อยแล้ว เรือนกายที่ล่องลอยก็หยุดยืนนิ่ง พูดกับเฉินผิงอันด้วยเสียงทุ้มหนัก “มีผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งที่บอกว่าตัวเองมีความเกี่ยวข้องกับฉีจิ้งชุนมาหาข้า หรือควรจะพูดให้ถูกต้องก็คือคุมตัวข้าให้ไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขา เขาบอกว่าตัวเองเป็นอาจารย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ…ของเจ้าเฉินผิงอัน…”

กล่าวมาถึงตรงนี้เทพหยินก็รู้สึกอยากหัวเราะแต่ไม่กล้า

ใต้หล้านี้มีเพียงลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ มีอาจารย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อเสียที่ไหน?

เคารพอาจารย์ให้ความสำคัญกับมรรคาคือกฎเกณฑ์ข้อหนึ่งของใต้หล้าไพศาลที่ไม่อาจเหยียบย่ำได้ตามใจชอบ หากข้ามผ่านบ่อสายฟ้านั้นไป ส่วนใหญ่ก็มักจะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่เจ็บปวดซึ่งหนักหนากว่า ‘ชื่อเสียงฉาวโฉ่’ มากนัก

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ไม่ได้เล่ารายละเอียดของเรื่องนี้กับเทพหยินแซ่จ้าว

เทพหยินเองก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียง ก็เหมือนกับที่เฉินผิงอันไม่เคยถามตนว่าในเมื่อแซ่จ้าว อีกทั้งยังมีชาติกำเนิดมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู ถ้าอย่างนั้นเป็นบรรพบุรุษของสกุลจ้าวสายไหนกันแน่

หลวงจีนไม่ถามชื่อ นักพรตเต๋าไม่ถามอายุ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำไม่ถามเรื่องในอดีตชาติ ล้วนเป็นเหตุผลเดียวกันนี้

มันพูดต่อว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนั้นต้องการให้ข้านำความมาบอกต่อเจ้าว่า อยู่ในนครมังกรเฒ่าจนผ่านพ้นตรุษจีนไปก่อนแล้วค่อยออกเดินทาง และยังมีของบางอย่างที่จะนำมามอบให้เจ้าช้าสักหน่อย หลังฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า อยากจะไปไหนก็ไป ทำในสิ่งที่เจ้าเฉินผิงอันต้องการก็พอ”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ตกลง”

จากนั้นเฉินผิงอันก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังถามไปตามตรงว่า “ผู้อาวุโสหยางจะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเคราะห์กรรมที่เจิ้งต้าเฟิงต้องประสบพบเจอจริงๆ หรือ?”

เดิมทีเทพหยินแซ่จ้าวไม่ยินดีพูดเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเสินจวินผู้เฒ่า แต่พอนึกถึงบุรุษที่นอนป่วยอยู่บนเตียงในร้าน มันก็ยอมแหกกฎเป็นครั้งแรก พูดเบาๆ ว่า “เสินจวินผู้เฒ่ามองการณ์ไกลยิ่งกว่าทุกคน ถึงได้เย็นชาไม่เห็นใจใครเป็นพิเศษ แต่สำหรับหลี่เอ้อร์และเจิ้งต้าเฟิง แม้จะมีเพียงสถานะอาจารย์และศิษย์ ไม่เกี่ยวพันไปถึงเรื่องการถ่ายทอดมรรคา แต่เทพหยินตัวเล็กๆ อย่างข้าที่มีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ บนโลกใบนี้กล้าพูดประโยคหนึ่งว่า ความรู้สึกที่มีต่อพวกเขาแตกต่างไปจากพวกเราอยู่มาก”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “ข้าเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน”

เทพหยินพูดเกลี้ยกล่อม “แม้เจิ้งต้าเฟิงจะไม่มีตบะวิถีวรยุทธ์แล้ว แต่สภาพจิตใจยังดีอยู่ พวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลมากไป หากพวกเราเอาแต่มองเขาด้วยสายตาสงสารเวทนาทุกวัน แบบนั้นต่างหากถึงจะทำให้เจิ้งต้าเฟิงรับไม่ได้มากที่สุด”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรื่องนี้ข้ารู้ว่าควรทำเช่นไร”

เทพหยินเอ่ยชื่นชม “ในเรื่องนี้ อันที่จริงเจ้าทำได้ดีที่สุด…”

เฉินผิงอันโบกมือเป็นพัลวัน “ทำไม หรือว่าพอมาอยู่ร้านยาฮุยเฉินแล้วก็เริ่มชอบพูดประจบเอาใจคนอื่นแล้ว?”

เทพหยินหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี สลายตราผนึกทิ้งแล้วพุ่งทะยานจากไป

จากนั้นเฉินผิงอันก็เห็นสตรีสวมชุดกระโปรงสีเขียวที่มุมหัวเลี้ยว ฟ่านจวิ้นเม่า

ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเหตุใดในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดนางถึงเลือกลงมือช่วยเหลือหลูป๋ายเซี่ยงและเว่ยเซี่ยน เป็นเพราะรู้สึกว่าตู้เม่าไม่ได้เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป ก็เลยรีบปักดอกไม้ลงบนผ้าแพร? แสดงความเป็นมิตรต่อร้านยาฮุยเฉิน?

แต่นี่ดูเหมือนว่าจะไม่สอดคล้องกับนิสัยของนางที่เฉินผิงอันรู้จักมาสักเท่าไหร่

ฟ่านจวิ้นเม่าเดินเข้ามาในตรอกเล็ก โยนกาเหล้าใบหนึ่งให้เฉินผิงอัน “ด้านในบรรจุโอสถทองของเจียวเฒ่าที่ข้าหล่อหลอมระดับเล็กไปแล้ว ตอนนี้เจ้ากับเจิ้งต้าเฟิงต่างก็ต้องการสิ่งนี้ ทุกวันข่มกลั้นความเจ็บปวดดื่มสักสองสามคำ สำหรับการซ่อมแซมร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์แล้วมีประโยชน์ยิ่งกว่ายาวิเศษทุกชนิด โอสถปีศาจของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองเอามาหลอมเป็นเหล้า ฤทธิ์จะแรงเกินไป ตอนนี้พวกเจ้าดื่มไปมีแต่จะตาย หากเป็นโอสถทองของเผ่าปีศาจทั่วไปก็จะไม่พออีก เหล้าที่แช่จากโอสถทองของเจียวเฒ่าก่อกำเนิดเม็ดนี้จึงกำลังดี”

เฉินผิงอันถาม “เหล้าไหนี้ข้ารับไว้แล้ว แต่เจ้าเป็นคนทำการค้า ต้องการให้ข้าจ่ายด้วยอะไร?”

ฟ่านจวิ้นเม่าส่ายหน้า “ถือซะว่าเป็นสิ่งที่ตระกูลฟ่านพวกเราชดเชยให้ร้านยา ไม่ต้องให้เจ้าเฉินผิงอันจ่ายอะไรเพิ่มเติม”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ได้ยินเจ้าอธิบายแบบนี้ ข้าก็ไม่ค่อยกล้ารับของขวัญล้ำค่าชิ้นนี้ไว้สักเท่าไหร่”

ฟ่านจวิ้นเม่าแค่นเสียงเย็น “แล้วถ้าข้าบอกว่า ตระกูลฟ่านยังจะทุบหม้อขายเหล็กช่วยจ่ายเงินห้าสิบเหรียญฝนธัญพืชให้ตำหนักพยัคฆ์เขียวยอดเขาเทียนแจว๋แทนเจ้า เจ้าจะไม่ยิ่งตกใจจนโยนกาเหล้าคืนมาให้ข้าเลยหรือ?”

เฉินผิงอันถาม “เป็นเพราะอะไรกันแน่?”

ฟ่านจวิ้นเม่ามองประเมินคนหนุ่มที่ตอนนี้ลักษณะคล้ายคนขี้โรค “ถูกเรือกลืนกระบี่อาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตของตู้เม่าที่เป็นขอบเขตบินทะยานแทงทะลุหน้าท้องจนเป็นรู ไม่ตายก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะมีคนช่วยเจ้าไว้นี่นะ แต่ตอนนี้กลับสามารถกระโดดโลดเต้น เดินเหินเป็นปกติ หมายความว่าพื้นฐานขอบเขตห้าของเจ้าปูมาดีจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ในฐานะที่ข้าเป็นคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจอยู่เบื้องหลังตระกูลฟ่าน ก็มีเหตุผลให้ข้าลงเดิมพันข้างเจ้า ลงเดิมพันอย่างหนัก! เฉินผิงอัน ปราณแท้จริงที่บริสุทธ์หนึ่งเฮือกที่อยู่ในร่างกายของเจ้าตอนนี้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งโคจรได้ไม่ราบรื่นแล้วใช่ไหม ชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่อยู่บนร่างก็ยิ่งขาดยับเยินเหมือนกระท่อมที่เต็มไปด้วยรูรั่ว รอจนปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นเสื่อมถอยลง ปราณวิญญาณกรอกเข้าใส่ร่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าจะไม่เพียงแต่ตบะวิถีวรยุทธ์ถดถอยลงครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่สะพานแห่งความเป็นอมตะก็ต้องพังถล่มลงมาด้วย คิดอยากจะลองเดิมพันดูสักครั้งไหมล่ะ?”

เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนปฏิเสธหรือตอบรับ เพียงถามด้วยรอยยิ้ม “เดิมพันอย่างไร?”

……

อุตรกุรุทวีปมีก่อกำเนิดท่านหนึ่งเฝ้าพิทักษ์ยอดเขาราชสีห์

อุตรกุรุทวีปมีผู้ฝึกกระบี่มากมายราวกับก้อนเมฆ อีกทั้งไม่ว่าจะบนภูเขาหรือล่างภูเขาต่างก็เลื่อมใสฝ่ายบู๊อย่างถึงที่สุด แค่ขี่กระบี่สวนไหล่กันบนทะเลเมฆแล้วจ้องหน้ากัน สองฝ่ายก็อาจเปิดฉากสังหารกันจนมืดฟ้ามัวดิน อาจถึงขั้นโพล่งชื่อของภูเขาลูกอื่นออกมาแล้วเปิดฉากทุบทำลายภูเขาที่ตัวเองไม่ชอบขี้หน้า ทุบเสร็จก็เผ่นหนี ภูเขาที่เผชิญกับหายนะอย่างไม่คาดคิด กรอบป้ายโดนคนทุบทำลายเละเทะ ศาลบรรพชนพังถล่มไม่เหลือชิ้นดีก็ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ หลังจากนั้นก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะไปเอาเรื่องกับภูเขาลูกอื่น และเดี๋ยวก็ต้องมีคนรู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรม หาเรื่องไประบายความแค้นใส่ภูเขาที่เล็กกว่าซึ่งห่างจากสำนักของตัวเองไปไกลเป็นทอดๆ กันไป

อุตรกุรุทวีปก็คือสถานที่ประหลาดที่การฝึกตนเน้นเรื่องการฝึกพละกำลังอย่างสุดโต่ง และมีผู้ฝึกกระบี่เป็นผู้นำของผู้ฝึกตนทั้งหมด

ไม่อย่างนั้นก็คงไม่แย่งเอาคำว่า ‘อุตร’ ของธวัลทวีปที่อยู่ทางเหนือมาครองทั้งๆ ที่ตัวเองอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของใต้หล้าไพศาล

เพียงแต่ว่าหลังจากอริยะจากสถานศึกษาอวี๋ฝูท่านนั้นลงมือจัดการกับสามผู้ฝึกตนใหญ่อย่างสองก่อกำเนิดหนึ่งหยกดิบจน ‘หมดสภาพ’ จากนั้นก็ป่าวประกาศห้ามไม่ให้ผู้ฝึกกระบี่ของฝ่ายต่างๆ ใช้อำนาจรังแกคนอื่นอย่างไร้เหตุผล กองกำลังของแต่ละฝ่ายถึงได้สำรวมกันมากขึ้น

ตอนนี้ตลอดทั้งยอดเขาราชสีห์ หลังจากที่ได้เห็นกับตาว่าหลี่หลิ่วสามารถเข้าออกสถานที่ต้องห้ามที่แม้แต่เซียนดินก็ยากจะเยื้องกรายเข้าไปได้อย่างอิสระเสรี อีกทั้งยังนำตราประทับราชสีห์สีทองหนึ่งชิ้นออกมา เลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตกลางได้ในรวดเดียว ทุกคนต่างก็ตระหนักได้อย่างลึกซึ้งถึงความไม่ธรรมดาของ ‘หลี่หลิ่ว’ ผู้นั้น เมื่อเวลาล่วงเลยผ่าน ฐานะของหลี่หลิ่วในหัวใจของผู้ฝึกตนบนภูเขาจึงเป็นดั่งเรือที่ลอยสูงตามกระแสน้ำ จนกระทั่งเป็นรองแค่เจ้าขุนเขาผู้เฒ่าเท่านั้น ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตก่อกำเนิดที่เคยประมือกับอริยะสถานศึกษาอวี๋ฝูมาก่อน ตอนที่พูดคุยกับหลี่หลิ่วเป็นการส่วนตัวก็ยังวางตนอ่อนน้อมยิ่งกว่าตอนที่พวกผู้ฝึกลมปราณที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในสำนักได้พบกับหลี่หลิ่วเสียอีก!

คงมีแต่มารดาแท้ๆ ของหลี่หลิ่วที่เปิดร้านขายของอยู่ในเมืองเล็กตรงตีนเขาเท่านั้นที่ยังเลอะเลือน เข้าใจผิดคิดว่าบุตรสาวของตัวเองเหยียบขี้หมานำโชคที่ใหญ่เทียมฟ้า ถึงได้ถูกเซียนซือบนภูเขาบางท่านที่วัยวุฒิไม่สูงรับเป็นลูกศิษย์ สตรีแต่งงานแล้วยังถามโน่นถามนี่ กลัวว่าตาแก่หน้าไม่อายบางคนจะปรารถนาในความงามของบุตรสาวตน ถึงได้ให้หลี่หลิ่วไปฝึกวิชาเทพเซียนอะไรพวกนั้น นี่จะไม่ถ่วงเรื่องการแต่งงานของบุตรสาวตนหรอกหรือ? รอจนบุตรสาวอายุมากแล้ว ไหนเลยจะยังมีลูกเขยที่ชาติตระกูลดี ถุงเงินตุงแน่น หน้าตาพอใช้ได้มาหาถึงที่ หรือจะต้องให้นางช่วยหาบุรุษที่พอเข้าท่าเข้าทีจากในเมืองเล็กแห่งนี้ให้หลี่หลิ่วจริงๆ?

สตรีแต่งงานแล้วค่อนข้างจะดูแคลนบุรุษเหล่านี้อยู่บ้าง นางเริ่มเสียใจภายหลังที่ตอนนั้นหน้าไม่หนาพอรั้งตัวลูกหลานตระกูลร่ำรวยที่เดินทางมาด้วยกันนั่นไว้เสียก่อน ดูเหมือนจะแซ่ซือถูอะไรสักอย่าง? หากให้เขาได้อยู่ต่อสักปีครึ่งปี ไม่แน่ว่าบุตรสาวหลี่หลิ่วอาจไม่ต้องขึ้นภูเขาไปทำเรื่องไร้สาระ แต่งงานเข้าบ้านคนมีเงินอย่างมีหน้ามีตา ชีวิตนี้ก็ถือว่าไม่ต้องทุกข์เรื่องการกินการอยู่อีกแล้ว รอหลี่ไหวโตอีกหน่อยก็รับมาอยู่ด้วยกันที่นี่ ไม่แน่ว่าอาจจะขอให้พี่เขยของเขาช่วยหางานดีๆ ที่ทั้งสบายและได้เงินให้เขาทำ

สตรีแต่งงานแล้วเปิดร้านมาเกือบสองปี อารมณ์ของนางไม่ค่อยจะดีนัก หาเงินได้ไม่มาก วันๆ ยังต้องคอยเป็นกังวลว่าบุตรชายที่อยู่ในสำนักศึกษาจะถูกคนรังแก กังวลว่าบนภูเขาลมแรง บุตรสาวจะผิวพรรณหยาบกร้าน ไม่งดงามบอบบางเหมือนเดิมแล้วหรือไม่

ช่วงเวลานี้ทุกครั้งที่หลี่หลิ่วลงจากภูเขาล้วนต้องมาอยู่ช่วยงานที่ร้านพ่อแม่ อยู่ครั้งหนึ่งก็นานสองสามวัน

คนทั้งบนและล่างยอดเขาราชสีห์ล้วนได้รับคำสั่งอย่างเข้มงวดจากเจ้าขุนเขาผู้เฒ่า ไม่อนุญาตให้เข้าใกล้ร้านเล็กในเมืองแห่งนี้ หากถูกจับได้จะถูกโบยตายคาที่อย่างไม่มีข้อยกเว้น

ดังนั้นจนถึงตอนนี้สตรีแต่งงานแล้วก็ยังไม่รู้ว่า บุตรสาวหลี่หลิ่วที่อยู่บนยอดเขาราชสีห์เป็นเทพเซียนยิ่งกว่าเทพเซียนเสียอีก ไม่ได้เป็นสาวใช้น้อยหน้าตางดงามที่คอยยกน้ำส่งชาอยู่ข้างกายเทพเซียนคนใด

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!