กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 372

วันที่สิบเดือนหนึ่ง

นครมังกรเฒ่ามีประเพณีพื้นบ้านอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า ‘หินไม่ขยับ’ และยังมีเรื่องเล่าของหนูที่แต่งงานกับสตรี

แม้ว่าเผยเฉียนจะกลัวผีอย่างมาก แต่กลับชอบฟังเรื่องพวกนี้เป็นที่สุด

เผยเฉียนเรียนรู้ที่จะคัดตัวอักษรทุกๆ เช้า ไม่ทำอืดอาดยืดยาดถ่วงเวลาไปถึงช่วงก่อนนอนอีกแล้ว และนี่น่าจะเกี่ยวข้องกับการที่เฉินผิงอันคอยนั่งดูนางคัดตัวอักษรทุกวัน

วันนี้ระหว่างที่หยุดพักวางพู่กันขณะคัดตัวอักษร เผยเฉียนพลันถามเฉินผิงอันคำถามหนึ่ง ในตำราบอกว่าห้ามวิญญูชนไม่ให้กินปลาเดือนสาม ห้ามคนไม่ให้ยิงนกสามฤดูใบไม้ผลิ ถ้าอย่างนั้นต่อไปพอถึงฤดูใบไม้ผลิก็ตกปลาไม่ได้แล้วใช่ไหม?

ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ได้ให้คำตอบ เขายิ้มบอกให้เผยเฉียนคัดตัวอักษรให้เสร็จก่อน รอจนเผยเฉียนเขียนอักษรตัวสุดท้ายเสร็จ เฉินผิงอันที่เตรียมคำตอบอยู่นานถึงได้บอกกับเผยเฉียนว่า นี่เป็นคำพูดที่โน้มน้าวให้คนทำความดี แต่ว่าเมื่อคนคนหนึ่งยังจำเป็นต้องพยายามต่อไปเพื่อให้มีชีวิตรอดก็สนใจเรื่องพวกนี้ไม่ได้แล้ว แล้วก็ห้ามมามัวคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้อย่างเด็ดขาด แต่หากคนคนหนึ่งไม่ต้องเป็นทุกข์กับการกินอยู่ อีกทั้งยังเชื่อในพระพุทธศาสนา เมื่อมีจิตใจเมตตาเช่นนี้ก็สามารถทำได้ แต่หากเห็นคนอื่นหิวโหย ยามฤดูใบไม้ผลิจับปลายิงนกเก็บผลไม้เพื่อให้อิ่มท้อง แล้ววิ่งไปพูดหลักการนี้กับคนผู้นั้น ก็ถือว่าทำไม่ถูก ขนาดความเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันยังไม่มี แล้วจะมีใจสงสารเมตตาสรรพสิ่งบนโลกได้อย่างไร? ดังนั้นสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว หลักการก็ยังคงเป็นหลักการนั้น แต่ทุกเรื่องราวต้องแบ่งแยกก่อนหลัง

เผยเฉียนพยักหน้ารับ บอกว่านางพอจะเข้าใจแล้ว

เฉินผิงอันยิ้มพูด “ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ แค่จดจำไว้ในใจก่อน แล้วค่อยๆ ใคร่ครวญไปก็พอ”

เผยเฉียนส่งเสียงหัวเราะ “เมื่อครู่นี้ข้าโกหก อันที่จริงข้ายังไม่เข้าใจหรอก”

ดังนั้นในเดือนที่หนึ่งนี้ เผยเฉียนจึงได้กินมะเหงกอีกลูก

วันนี้ร้านยาฮุยเฉินยังคงเต็มไปด้วยบรรยากาศผ่อนคลาย เผยเฉียนกำลังมองเฉินผิงอันฝึกเดินนิ่งหกก้าวอยู่ในลานบ้าน

เฉินผิงอันพลันหยุดเดิน เรียกเผยเฉียนมาที่ร้านยาด้านหน้า อีกทั้งยังขอให้เทพหยินแซ่จ้าวช่วยสร้างฟ้าดินขนาดเล็กให้เป็นพิเศษ

จากนั้นเขาถึงได้ถ่ายทอดคาถาปราณกระบี่สิบแปดหยุด เส้นทางที่ลมปราณต้องผ่านรวมไปถึงความช้าเร็วในการผลัดเปลี่ยนลมปราณซึ่งมหัศจรรย์ที่สุดให้แก่เผยเฉียน จากนั้นก็หยิบภาพวาดแผ่นหนึ่งออกมา ด้านบนเฉินผิงอันเขียนชื่อช่องโพรงลมปราณในร่างของมนุษย์ไว้เต็มไปหมด แล้วไล่อธิบายให้เผยเฉียนฟังไปทีละจุด

นี่คือคาถาปราณกระบี่ที่อาเหลียงเคยปรับปรุงมาก่อน

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ มีเพียงคนกลุ่มเล็กซึ่งรวมถึงหนิงเหยาด้วยเท่านั้นที่ถึงจะได้เรียนปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไขโดยอาเหลียงแล้ว

ในเมื่อเผยเฉียนไม่อาจทนความลำบากจากการฝึกวรยุทธ์ได้ ก็ต้องลองเส้นทางที่ไม่ต้องลำบากร่างกายและจิตใจ เพียงแค่ดูว่าพรสวรรค์วิถีกระบี่สูงหรือต่ำเส้นนี้ดูเท่านั้น นางจะเดินไปได้หรือไม่ ส่วนจะเดินไปได้ไกลเท่าไหร่ เฉินผิงอันไม่กล้าคาดหวัง

เผยเฉียนความจำดี เมื่อเทียบกับเฉินผิงอันแล้วก็มีแต่จะเหนือกว่าไม่มีด้อยกว่า ข้อนี้คนทั้งสี่ในภาพวาดรับรู้มานานมากแล้ว

ดังนั้นหลังจากเฉินผิงอันสอนไปสองรอบ บอกเรื่องที่ต้องระวังแก่นางแล้วจึงบอกให้เผยเฉียนเอาภาพวาดแผ่นนั้นไปศึกษาเอาเอง

ยามสนธยาของวันนั้น เผยเฉียนก็มาหาเฉินผิงอันด้วยท่าทางละอายใจ บอกว่านางโง่จริงๆ เรื่องเล็กเท่าเมล็ดงา แต่นางฝึกฝนมาตั้งนานขนาดนี้เพิ่งจะทำได้ถึงปราณกระบี่สามหยุด อยากจะขยับไปข้างหน้าอีก แต่กลับทำไม่ได้แล้ว

เฉินผิงอันจึงเขกมะเหงกใส่นางอีกครั้ง ตีหน้าเคร่งเอ่ยสั่งสอน “เรียนรู้เรื่องหนึ่ง อย่าทะเยอทะยานเกินตัว ต้องเหยียบลงบนพื้นก้าวเดินให้มั่นคง!”

เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที วิ่งตุปัดตุเป๋กลับเข้าไปในห้องตัวเองแล้ว ‘เล่นกับไฟ’ ต่ออีกครั้ง

นางสามารถควบคุมทิศทางการไหลเวียนของไฟเส้นเล็กนั่นได้แล้ว ต้องการให้มันพุ่งไปทางไหน มันก็วิ่งอยู่บนเส้นชีพจรช่องลมปราณนั้นได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังว่าง่ายอย่างยิ่ง ปราณกระบี่สี่หยุดตอนนี้นางยังทำไม่ได้ ทว่าที่นี่ไม่มีที่ว่างให้กับข้า ข้าก็ไปหาที่อื่น ดังนั้นก็ไปเที่ยวที่อื่นกันเถอะ!

นางไม่รู้ว่าเฉินผิงอันที่อยู่ในร้านด้านหน้าเพียงลำพังบ่นพึมพำอยู่เป็นนาน

วันที่สิบเอ็ดเดือนหนึ่ง

ร้านยาฮุยเฉินมีแขกหายากที่ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาเยือน

หวงถิงนักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิง

ผลกลับกลายเป็นว่าพอนางเห็นผู้เฒ่าต่างถิ่นบางคนที่นั่งแทะเมล็ดแตงอยู่หน้าประตูกับคนเสเพลสองคนก็อึ้งงันอยู่กับที่

ผู้เฒ่าขยิบตาให้นางแรงๆ

หวงถิงนวดคลึงหว่างคิ้ว ท่านเป็นถึงเจ้าสำนักผู้เฒ่าแห่งสำนักกุยหยก มีขอบเขตเซียนเหริน ยังจะมาหาเรื่องสนุกอะไรอยู่ที่นี่?

หวงถิงจึงได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้จักผู้เฒ่าคนนี้

หากว่ากันด้วยความอาวุโส ท่านผู้นี้ที่นั่งอยู่หน้าประตูมีอายุมากกว่าเทียนจวินผู้เฒ่าของภูเขาไท่ผิงนางเสียอีก อายุพอๆ กับตู้เม่าขอบเขตบินทะยานของสำนักใบถง

หากว่ากันด้วยตบะ ตอนนี้ตู้เม่าตายไปแม้แต่กระดูกก็ไม่มีเหลือ มหามรรคาพังทลาย ดวงวิญญาณยังหลงเหลืออยู่หรือไม่ก็บอกได้ยาก ผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าถือเป็นขอบเขตเซียนเหรินที่มีพลังการต่อสู้เป็นอันดับหนึ่งของใบถงทวีป สำนักกุยหยกไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แต่อยู่ดีๆ กลับกลายเป็นตระกูลเซียนใหญ่อันดับหนึ่งของใบถงทวีป สถานะของผู้เฒ่าก็ยิ่งเป็นดั่งเรือที่ลอยตามน้ำ

ช่างเป็นตาแก่ที่นอนเสวยสุขจริงๆ

นางนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่เป็นวันๆ ต่อให้แปะแผ่นยันต์สีเหลืองไว้บนหน้าผากก็ยังไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร

เฉินผิงอันเห็นเผยเฉียนที่เป็นเช่นนี้ก็อดนึกถึงแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่ชอบเรียกตนว่าอาจารย์อาน้อยไม่ได้

……

ในสายตาของทุกคนในสำนักศึกษาซานหยา แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงออกจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย ทุกวันชอบไปมาอย่างเร่งร้อน ชอบสะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กไปเรียนเพียงคนเดียว ออกจากโรงเรียนก็ออกมาคนเดียว ปีนภูเขา ปีนต้นไม้ ปีนหลังคา ปีนขึ้นปีนลง หรือไม่ก็ไปนั่งยองริมทะเลสาบจ้องปลาที่ส่ายหางไปมาอยู่เพียงลำพัง พอได้โอกาส นางก็จะออกจากสำนักศึกษาไปเดินเล่นตามตรอกน้อยใหญ่ของเมืองหลวง เดินไปเดินมา ในสำนักศึกษานอกสำนักศึกษา แม่นางน้อยก็ชอบอยู่คนเดียว คนอื่นๆ เห็นนางเป็นอย่างนี้ นานวันเข้าก็เลยรู้สึกว่านางค่อนข้างรักสันโดษ

ทว่าประหลาดก็ส่วนประหลาด แม่นางน้อยกลับมีมารยาทอย่างมาก ขอแค่ได้เจอกับเหล่าอาจารย์ที่สอนหนังสือในสำนักศึกษาระหว่างทาง นางมักจะหยุดกึกแล้วประสานมือค้อมกายคารวะทักทาย จากนั้นก็วิ่งปรู๊ดห่างไปไกลด้วยความเร็วดั่งฟ้าร้องกะทันหันจนคนไม่ทันยกมือป้องหู

ตอนแรกเหล่าอาจารย์ยังหยุดเดิน คลี่ยิ้มพร่ำพูดคำสั่งสอน แต่กลับมองไม่เห็นเงาร่างสีแดงนั่นแล้ว ภายหลังชินแล้วจึงแค่ยิ้มพลางเอ่ยรับหนึ่งคำ พอถึงท้ายที่สุดก็จะยิ้มพลางส่ายหน้า เดินหน้าต่อไปโดยไม่หยุดเท้าอีก

หลี่เป่าผิงรู้สึกว่าชีวิตของตนในสำนักศึกษาซานหยาผ่านไปได้อย่างพอถูไถ

แม้ว่าจะพบเจอกับหลี่ไหวและหลินโส่วอีน้อยครั้ง ส่วนอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยก็ยิ่งเจอกันน้อยเข้าไปใหญ่ ต่อให้เจอกันก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีเรื่องอะไรให้พูดคุย

เรื่องเหล่านี้ หลังจากครั้งนั้นที่นางคุยกับชุยตงซานบนกิ่งไม้ของยอดเขา ก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจมากเหมือนเดิมอีก

พวกเขาไม่คิดถึงอาจารย์อาน้อยของนางแล้ว ไม่เป็นไร ความคิดถึงในส่วนของพวกเขา นางจะชดเชยกลับมาให้เอง นางคนเดียวจะคิดถึงอาจารย์อาน้อยให้มากขึ้น

วันเวลาแต่ละวันก็ผ่านไปเช่นนี้ ผ่านปีใหม่ไปแล้ว แม้แต่เดือนหนึ่งก็ใกล้จะผ่านไปแล้ว

ไม่นานก็จะเป็นเทศกาลหยวนเซียวที่โคมไฟสีแดงใบใหญ่ถูกแขวนไว้สูง แม่นางน้อยเริ่มคิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อแม่ ท่านปู่ พี่ชายใหญ่ พี่ชายรอง

แน่นอนว่ายังมีอาจารย์อาน้อยด้วย

นานมากแล้วที่อาจารย์อาน้อยไม่ได้ส่งจดหมายมาที่สำนักศึกษา

นี่ทำให้หลี่เป่าผิงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!