หลังจากที่หลี่เอ้อร์มาถึงนครมังกรเฒ่า สถานการณ์ของนครมังกรเฒ่าก็เริ่มเข้าสู่สภาวะชัดเจนอย่างแท้จริง แม้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบท่านนี้จะแค่โผล่หน้ามาที่ร้านยาฮุยเฉินแปบเดียว แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้ตัดสินสถานการณ์ในท้ายที่สุด
แซ่ใหญ่ทั้งสี่ซึ่งรวมถึงตระกูลซุนอาจยังไม่รู้เรื่อง ทว่าแนวโน้มของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในลำดับถัดไปก็แค่ต้องบรรยายด้วยสี่คำว่า ‘ตามลำดับขั้นตอน’ เท่านั้น ลูกคิดแต่ละรางและสมุดบัญชีแต่ละเล่มของนครมังกรเฒ่าจะขยับขึ้นเหนือไปอย่างต่อเนื่อง ขยับเข้าไปใกล้กองทัพม้าเหล็กสกุลซ่งต้าหลีที่ปักหลักอยู่ในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปมากขึ้นทุกที
สำหรับเรื่องนี้ ตระกูลฝู ตระกูลฟ่านและร้านยาฮุยเฉิน สามฝ่ายนี้คือผู้ที่รู้คำตอบเร็วที่สุด
วันนี้ที่หลี่เอ้อร์จากไป คนของตระกูลฟ่านก็เดินอาดๆ พากันมาเยี่ยมเยียนวันปีใหม่ ล้วนเป็นคนที่เฉินผิงอันคุ้นเคยดี ฟ่านจวิ้นเม่า ฟ่านเอ้อร์สองพี่น้องนี้ไม่ต้องพูดถึง ยังมีน้ากุ้ยแห่งเกาะกุ้ยฮวา รวมไปถึงจินซู่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของนาง คือแม่นางกุ้ยฮวาที่ตอนนั้นคอยปรนนิบัติเฉินผิงอันเมื่อครั้งเดินทางไปภูเขาห้อยหัว สุดท้ายคือหม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่เฒ่าโอสถทองซึ่งเคยป้อนกระบี่ให้เฉินผิงอันช่วงระยะเวลาหนึ่ง น้ากุ้ยแทบไม่เคยขึ้นมาบนฝั่ง ทุกปีเกาะกุ้ยฮวาจะเดินทางไปกลับนครมังกรเฒ่ากับภูเขาห้อยหัวอยู่สองครั้ง แม้แต่ผู้เฒ่าหลายคนในศาลบรรพชนตระกูลฟ่านก็ยังไม่เคยพบหน้านางตลอดชีวิต
ผู้เฒ่าต่างถิ่นที่ ‘มุมานะในการอ่านตำรา’ ในสายตาของจูเหลี่ยน เดิมทีนึกว่าวันนี้จะเป็นอีกวันที่น่าเบื่อ แม้แต่สตรีแซ่สุยผู้นั้นก็คงไม่ได้พบหน้า คิดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ จะได้พบเจอสตรีมากมายขนาดนี้ ผู้เฒ่าที่นั่งแทะเมล็ดแตงอยู่หน้าร้านยาขาดแค่ไม่ได้พูดว่าตัวเองเป็นลูกจ้างของร้านยาฮุยเฉินเท่านั้น เขายุ่งวุ่นวายไม่หยุดมือ กระตือรือร้นยิ่ง หลังจากเดินข้ามธรณีประตูใหญ่ของร้านยามาแล้ว น้ากุ้ยมองผู้เฒ่าประหลาดแวบหนึ่ง ผู้เฒ่าเองก็กำลังมองนางอยู่พอดี น้ากุ้ยสะกดความสงสัยในใจ ยิ้มบางๆ ส่งให้อีกฝ่าย ผู้เฒ่าคิดในใจว่าฮูหยินท่านนี้ แม้ว่ารูปโฉมจะธรรมดา แต่นิสัยนุ่มนวลอ่อนโยน คือตัวเลือกแรกที่บุรุษทั่วไปจะสู่ขอกลับไปเป็นภรรยาที่ช่วยเหลือสามีและอบรมสั่งสอนบุตร มิน่าเล่าบุตรชายคนโตที่เจียงซ่างเจินแค่ให้กำเนิด แต่ไม่สนใจจะเลี้ยงดูผู้นั้นถึงต้องเอาชื่อของสำนักมาข่มนาง หวังว่าจะซื้อเกาะกุ้ยฮวาที่บุกเบิกเส้นทางการเดินเรือไปยังภูเขาห้อยหัวจนเกิดความคุ้นเคยจากตระกูลฟ่านให้ได้
ทว่าน้ากุ้ยกลับมองตื้นลึกหนาบางของผู้เฒ่าไม่ออก แค่พอจะรู้สึกได้อย่างเลือนรางว่าผู้เฒ่า ‘บนร่างไร้มลทิน ลมปราณเบาและคล่องตัว สีหน้าอิ่มเอิบ’ หากตอนนี้มีแค่ตบะของเซียนดิน ถ้าอย่างนั้นวันหน้าก็ต้องมีพรสวรรค์ได้เป็นห้าขอบเขตบนอย่างแน่นอน
ถึงอย่างไรในบรรดาเซียนดินก็มีแบ่งสูงต่ำ ซึ่งก็แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวแล้ว
เฉินผิงอันวิ่งเหยาะๆ ออกมาตลอดทางเพื่อมาต้อนรับน้ากุ้ย สำหรับผู้อาวุโสท่านนี้ ในใจเฉินผิงอันซาบซึ้งในบุญคุณมาโดยตลอด ซึ่งนี่ไม่เกี่ยวข้องกับตบะและฐานะของน้ากุ้ย
ครั้งนั้นที่โดยสารเกาะกุ้ยฮวาไปยังภูเขาห้อยหัว ระหว่างทางผ่านร่องเจียวหลง เจอกับหายนะครั้งใหญ่ เฉินผิงอันได้เข้าไปในดินแดนที่โล่งกว้างสว่างแจ่มจ้าที่สุดในเสี้ยววินาที ประหนึ่งพระอรหันต์ที่มองสภาพจิตใจของสรรพสัตว์ ทำให้เฉินผิงอันทำอะไรไม่ถูก รู้สึกราวกับว่าบนโลกมนุษย์มีแต่ความชั่วร้าย เศร้าซึมอยู่ในเรือนเล็กพักหนึ่ง หลังจากนั้นมาเวลาคิดถึงเกาะกุ้ยฮวาก็จะมีความอบอุ่นแค่สองขุมเท่านั้น หนึ่งคือจิตรกรตระกูลฟ่านที่ช่วยวาดภาพสามภาพให้แก่เฉินผิงอัน อีกคนหนึ่งก็คือน้ากุ้ยที่แม้จะผ่านประสบการณ์ทั้งดีและร้ายในโลกมาจนชาชิน แต่ก็ยังรักษาสภาพจิตใจอันนิ่งสงบของตนเอาไว้ได้
ฟ่านเอ้อร์แสร้งทำเป็นเดินไปยังที่พักของเจิ้งต้าเฟิง ผลกลับพบว่าบนผนังไม่มีภาพเหมือนที่ฝีมือการวาดเหนือชั้นภาพนั้นแขวนอยู่
เฉินผิงอันนั่งคุยกับพวกน้ากุ้ยอยู่ในห้องโถงใหญ่ด้านนอก
เจิ้งต้าเฟิงที่อยู่ในห้องกระแอมหนึ่งที พูดอย่างไม่กระโตกกระตากว่า “สะสมพลังความเข้มแข็ง บ่มเพาะอุปนิสัยที่ดี…วันหน้าเรื่องที่ขาดคุณธรรมเช่นนี้ ทำให้น้อยลงหน่อย”
ตอนแรกฟ่านเอ้อร์ยังสงสัยในคำพูดของอาจารย์ตัวเอง เหตุใดยิ่งฟังก็ยิ่งผิดปกติ แต่ครู่เดียวใบหน้าของฟ่านเอ้อร์ก็เต็มไปด้วยโทสะ พูดอย่างคนเสียใจภายหลัง “ต้องโทษจิตรกรคนนั้นที่ตีความความหมายของข้าผิดไป ความหมายเดิมของข้าคือนงรามงามตรู สมคู่สุชน ในเมื่ออาจารย์เลื่อมใสในตัวของเทพธิดาสุย ข้าที่เป็นลูกศิษย์ก็ควรทำอะไรสักอย่าง จึงบรรยายรูปโฉมและท่วงท่าของเทพธิดาสุยให้จิตรกรผู้นั้นฟัง ต้องการให้เขาสะบัดแปรงวาดภาพเหมือน…”
เจิ้งต้าเฟิงปลาบปลื้มใจ ลูกศิษย์ผู้นี้ถือว่าผ่านเกณฑ์แล้ว
ไม่รู้ว่าสุยโย่วเปียนมายืนอยู่หน้าประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “จิตรกรของตระกูลฟ่านท่านนี้ช่างมีฝีมือยอดเยี่ยมซะจริง แค่อาศัยคำพูดของคุณชายฟ่านสองสามคำก็สามารถวาดภาพได้สดใสเหมือนจริงขนาดนี้”
จินซู่ที่เงียบงันมาตลอดขมวดคิ้ว
แม้ว่านางจะไม่มีความรู้สึกฉันท์ชายหญิงกับฟ่านเอ้อร์ แต่ถึงอย่างไรฟ่านเอ้อร์ก็เป็น ‘ตัวเลือกหนึ่งเดียว’ ของเจ้าประมุขตระกูลฟ่านในอนาคต ตอนนี้อันที่จริงเกาะกุ้ยฮวาก็อยู่ในนามของฟ่านเอ้อร์ ผู้ฝึกยุทธ์สาวที่สะพายกระบี่ผู้นี้ ตามคำบอกของเฉินผิงอันคือหนึ่งในผู้ติดตามของเขา หากพูดให้น่าฟังสักหน่อยก็คือผู้ถวายงานของตระกูล พูดไม่น่าฟังสักหน่อยก็คือองค์รักษ์บ่าวรับใช้ เพียงแต่ว่าวันนี้คลื่นลมในนครมังกรเฒ่าแปรเปลี่ยน น้ากุ้ยกำชับนางว่าจะพูดจาหรือทำอะไรต้องระมัดระวัง แม้ว่าสตรีแซ่สุยจะไม่เคารพฟ่านเอ้อร์ ในใจจินซู่รู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไรมาก วันนี้มาเยี่ยมเยียนในวันปีใหม่ นางไม่มีสิทธิ์พูด สำหรับข้อนี้ จินซู่รู้ดีอยู่แก่ใจ ต่อให้นางจะเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของ ‘กุ้ยฮูหยิน’ หนึ่งในเซียนดินของนครมังกรเฒ่าก็ตาม
ความสนใจส่วนใหญ่ของจินซู่ยังคงอยู่ที่ตัวของเฉินผิงอันเสียมากกว่า
จากกันไปแค่สามวัน แต่กลับต้องขยี้ตามองใหม่ คงจะเป็นคำพูดที่ไว้บรรยายคนอย่างเจ้าหมอนี่กระมัง เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ชอบดื่มเหล้าในปีนั้นอีกแล้ว กลิ่นอายความบ้านนอกและกลิ่นอายของเด็กหนุ่มก็หายไปสิ้น แทนที่มาด้วย ความ…เยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน
บนมวยผมปักปิ่นหยกสีขาว บนร่างสวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะ ตรงเอวรัดกาเหล้าสีชาดที่คุ้นตา ตัวสูงขึ้นไม่น้อย นั่งตัวตรงอย่างสำรวม เวลาที่พูดคุยกับคนอื่นจะชอบสบตาผู้คน ในสายตามีเพียงรอยยิ้มจริงใจที่ไร้ซึ่งการทำอย่างขอไปที
จากนั้นจินซู่ก็ยังค้นพบว่ามีก้อนถ่านเล็กๆ ก้อนหนึ่งอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เด็กหญิงร่างผอมแห้งคนนี้มีดวงตาที่โตมากคู่หนึ่ง ดวงตาของนางกลอกกลิ้งรวดเร็ว คอยแอบมองนางจินซู่และยิ่งคอยเหลือบมองกุ้ยฮูหยิน อาจารย์ของนาง
จินซู่คลี่ยิ้มให้นาง
เผยเฉียนก็ยิ้มกว้างกลับมา
ในสายตาของเผยเฉียน พวกพี่สาวที่หน้าตางดงามเหล่านี้ จากเหยาจิ้นจือมาจนถึงสุยโย่วเปียน แล้วก็มาถึงคนที่อยู่ตรงหน้านี้ล้วนเป็นถุงเงินใบใหญ่ ได้ยินเจิ้งต้าเฟิงบอกว่าบนโลกมีของเล่นเล็กๆ อย่างหนึ่งที่เรียกว่าผีน้อยย้ายสมบัติ คือหนึ่งในภูตผี เผยเฉียนรู้สึกว่าเหมือนตัวเองอย่างมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!