หลังจากเฉินผิงอันซื้อเหล้าบ่อน้ำโบราณมาอีกสองไห คนทั้งกลุ่มก็มุ่งหน้าไปยังจุดชมทัศนียภาพที่มีชื่อเสียงแห่งสุดท้ายของท่าเรือหางผึ้ง ที่นั่นคือต้นซิ่งโบราณพันปีที่แผ่กิ่งก้านใบปกคลุมอาณาเขตหลายไร่ ช่วงโคนต้นไม้ที่กลวงโบ๋เป็นโพรงมีเหรียญทองแดงและเหรียญเงินก้อนทองถูกโยนไว้จนเต็ม เกี่ยวกับต้นไม้ต้นนี้ ชายฉกรรจ์ที่ถือผ้าห่อบุญซึ่งเรียกตัวเองว่าหลิวกานจื่อผู้นั้นเล่าเรื่องที่น่าสนใจให้ฟังเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้าที่แคว้นชิ่งซานจะลุกผงาดขึ้นมาบนซากปรักของแคว้นเหวินจิ่งก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับต้นซิ่งโบราณต้นนี้แล้ว ในอดีตต้นไม้ต้นนี้ได้ถูกฮ่องเต้สกุลถังผู้บุกเบิกแคว้นชิงหลวนแหกกฎแต่งตั้งให้เป็นไม้แห่งจักรพรรดิ ภายหลังฮ่องเต้แคว้นเหวินจิ่งไม่ยอมตกเป็นรองจึงส่งอัครมหาเสนาบดีแห่งราชสำนักท่านหนึ่งให้มาประกาศคำแต่งตั้งที่นี่ แต่ลดระดับขั้นมาหนึ่งระดับ คนในพื้นที่เรียกมันว่าต้นไม้อัครมหาเสนบดี สุดท้ายฮ่องเต้แคว้นอวิ๋นเซียวก็มาร่วมความครึกครื้นด้วย เมื่อสามร้อยปีก่อนก็คือช่วงที่แคว้นอวิ๋นเซียวเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด แม่ทัพผู้มีคุณูปการท่านหนึ่งขี่ม้ามาถึงที่นี่ ตั้งป้ายศิลาจารึกเอาไว้ ดังนั้นทุกวันนี้ชาวบ้านแคว้นอวิ๋นเซียวจึงเคยชินที่จะเรียกมันว่าซิ่งแม่ทัพ
ไม้จักรพรรดิ ต้นไม้อัครมหาเสนบดี ซิ่งแม่ทัพ ต้นไม้หนึ่งต้นถูกแต่งตั้งถึงสามชื่อ เรียกได้ว่าแปลกประหลาดไม่น้อย
ใต้ต้นไม้ เผยเฉียนหยิบถุงหอมใบเล็กที่น้ากุ้ยมอบให้ออกมา ตอนนั้นข้างในถุงหอมนอกจากใบกุ้ยเขียวปลั่งราวจะเค้นน้ำหลายใบ อันที่จริงยังมีกิ่งกุ้ยยาวเท่านิ้วมือของนางอีกหนึ่งกิ่ง บนกิ่งเต็มไปด้วยดอกกุ้ย ต่อให้จะถูกหักออกมาจากลำต้น แต่กลิ่นหอมกลับไม่ลดน้อยลงเลยสักเสี้ยว อีกทั้งดอกกุ้ยสีทองอร่ามแต่ละดอกจะไม่มีทางร่วงโรย ทั้งกิ่งกุ้ยและใบกุ้ยต่างก็ถูกเก็บไว้ในกล่องสมบัติ ยึดพื้นที่ช่องหนึ่งของกล่องไปเพียงลำพัง เอาแค่ถุงหอมมาใส่เงินเกล็ดหิมะที่เฉินผิงอันมอบให้นางเป็นเงินยาสุ้ยและเงินเหรียญทองแดงอีกหลายเหรียญที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นตอนที่สุยโย่วเปียนต่อราคาสิ่งของจากร้านขายสิ่งของที่ใช้ในวันตรุษจีนตอนอยู่นครมังกรเฒ่า ได้ลดหนึ่งครั้ง นางก็ได้เหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ ตอนนั้นนางได้มารวดเดียวเจ็ดแปดเหรียญจึงเอามาใส่ไว้ในถุงหอมใบนี้ทั้งหมด
เพราะเฉินผิงอันบอกว่าถุงหอมไม่ใช่ของธรรมดา ดังนั้นเผยเฉียนจึงไม่กล้าเอามาผูกไว้ที่เอว เวลาปกติแค่เอามาใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ตอนนี้นางแอบใช้สองมือประคองเอาไว้เพราะคิดว่าหากได้ใบซิ่งดอกซิ่งมาเพิ่มอีกก็คงจะดี
คนที่มาท่องเที่ยวตรงต้นซิ่งพันปีแห่งนี้มีไม่มาก ชาวบ้านที่เกิดและเติบโตมาในท่าเรือจะมาโยนเงินขอพรในช่วงปีใหม่หรือช่วงเทศกาลสำคัญเท่านั้น ผู้ที่โดยสารเรือข้ามฟากของท่าเรือหางผึ้งส่วนใหญ่คือเหล่าพ่อค้าบนภูเขาที่มีความคล่องแคล่วคุ้นเคยดี ทั้งยังไม่เชื่อเรื่องนี้ แล้วก็ไม่เต็มใจจะสิ้นเปลืองเงินทอง ดังนั้นเวลานี้จึงมีแค่พวกเฉินผิงอันกับกลุ่มเด็กชาวบ้านที่เล่นขี่ม้าลำไผ่ไล่จับกันอย่างสนุกสนานเท่านั้น ห่างออกไปไกลยิ่งกว่าก็มีกลุ่มเด็กจำนวนบางตากำลังเล่นว่าว บนกิ่งสูงของต้นซิ่งยังมีว่าวกระดาษที่โชคไม่ดีสายป่านขาดแขวนต่องแต่งอยู่หลายอัน
เฉินผิงอันได้เห็นต้นซิ่งที่มีปราณวิญญาณเบาบางไหลวนแล้วก็คิดจะจากไป แต่กลับสังเกตเห็นว่าคนจิ๋วดอกบัวมุดออกมาจากใต้ดิน มายืนอยู่ตรงกลางโพรงของต้นซิ่งที่ใหญ่ราวกับประตูบานหนึ่ง ยื่นหน้าออกมา
ไม่นานก็มีหัวอีกหัวหนึ่งโผล่ออกมาจากในกองเงิน มองสบตากับคนจิ๋วดอกบัว
ฝ่ายหลังปีนออกมาจากภูเขาเงิน ยืดเอวตั้งตรง สองมือเท้าเอวฉับ สีหน้าเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ปกปิดความใคร่รู้และแววลิงโลดในดวงตาของมันไม่อยู่
เจ้าตัวน้อยแต่งกายหรูหราและน่าตลก บนร่างสวมชุดคลุมมังกรสีเหลืองสดตัวจิ๋วน่ารัก ตรงเอวห้อยแผ่นหยกงาช้าง และยังห้อยดาบฝักไม้สีแดงอีกเล่มหนึ่ง
เผยเฉียนกระตุกชายแขนเสื้อเฉินผิงอัน เฉินผิงอันคิดแล้วก็หยิบเหรียญเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งออกมาให้เผยเฉียน พูดด้วยรอยยิ้ม “ไปเถอะ จำไว้ว่าต้องพูดคุยกับเซียนซิ่งตัวจิ๋วอย่างมีมารยาท ห้ามล่วงเกินคนเขา”
เผยเฉียนวิ่งปรู๊ดออกไป แล้วไปนั่งยองอยู่ตรงหน้า ‘ประตูบานเล็ก’
ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา เผยเฉียนก็กระโดดโลดเต้นกลับมาพร้อมของเต็มไม้เต็มมือ เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ไม่พูดไม่จาก็เขกมะเหงกลงไป
เพียงแต่ว่าคราวนี้คนจิ๋วดอกบัวกลับยืนอยู่ข้างเดียวกับเผยเฉียนอย่างที่หาได้ยาก มันโบกมือวุ่นวาย ร้องอือๆ อาๆ พยายามอธิบาย
เผยเฉียนร้อนตัวเล็กน้อยจึงหมุนตัวกลับไปแต่โดยดี คิดจะเอาดินและหน่ออ่อนต้นกล้าที่หอบไว้ในมือไปคืนให้ภูตต้นซิ่งตนนั้น น่าเสียดายยิ่งนัก นางต้องควักเงินเกล็ดหิมะตั้งสองเหรียญเพราะสิ่งนี้ การค้าครั้งนี้นับว่าขาดทุนแล้ว
คนจิ๋วดอกบัวค่อนข้างโง่เขลา แม้แต่พูดก็พูดไม่เป็น ทว่าเจ้าตัวน้อยที่แต่งตัวฉูดฉาดกลับค่อนข้างฉลาด พูดภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปได้คล่องยิ่งกว่าเผยเฉียนเสียอีก เจ้าตัวน้อยพูดคุยหงุงหงิงกับคนจิ๋วดอกบัวอยู่เป็นนาน ตอนนั้นเผยเฉียนฟังไม่รู้เรื่อง แต่จากนั้นคนจิ๋วดอกบัวก็ใช้นิ้วเคาะลงบนรองเท้าหุ้มแข้งของเผยเฉียน ยื่นนิ้วชี้ไปที่เงินเกล็ดหิมะซึ่งเผยเฉียนกำไว้ในมือ ไปๆ มาๆ เผยเฉียนก็เริ่มต่อรองราคากับปีศาจน้อยต้นซิ่งตนนั้น แล้วก็ถือโอกาสคุยโม้ให้มันฟังอีกคำรบหนึ่ง บอกว่าในบ้านเกิดของตนมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นยิ่งกว่าที่แห่งนี้ หนาข้นราวกับน้ำ แค่ดื่มหนึ่งคำก็อิ่มท้องได้ สุดท้ายเจ้าตัวน้อยก็ร่ายต้นกล้าต้นหนึ่งออกมาบนพื้นดินตรงหน้าเผยเฉียนด้วยท่าทางโอ้อวด บอกว่าให้เผยเฉียนเอากลับไปที่บ้านเกิด หาสถานที่แห่งหนึ่งปลูกมันลงไป ห้ามปฏิบัติกับมันแย่ๆ เด็ดขาด จะต้องให้มันได้กินปราณวิญญาณที่เข้มข้นเหมือนน้ำจนอิ่มหนำทุกวัน แม้ปากของเผยเฉียนจะตกปากรับคำ ตบอกรับรองเสียงดังสนั่น แต่อันที่จริงแล้วกลับเตรียมพร้อมสำหรับการกินมะเหงกจนอิ่มไว้แล้ว
เฉินผิงอันเข้าใจต้นสายปลายเหตุทั้งหมดแล้วก็รับดินและต้นอ่อนในมือของเผยเฉียนมา เดินมานั่งยองลงตรงข้างต้นไม้
เจ้าตัวน้อยที่สวมชุดคลุมมังกร ห้อยแผ่นหยกและดาบยืนอยู่ในกองเงิน สายตาเต็มไปด้วยแววระแวดระวังภัย
หลังจากสอบถามกันอยู่พักหนึ่ง เฉินผิงอันถึงได้รู้ความจริง ที่แท้มันใกล้จะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตกลางแล้ว แต่สถานที่แห่งนี้มีปราณวิญญาณไม่เพียงพอ หรือควรจะพูดให้ถูกต้องก็คือมันไม่กล้าดึงเอาปราณวิญญาณมามากเกินไป ถึงอย่างไรผู้ฝึกลมปราณของที่นี่ก็มีมากมาย คือท่าเรือตระกูลเซียน มันสามารถลงหลักปักฐานฝึกตนอยู่ที่นี่ได้ก็แค่อาศัยบรรดาศักดิ์ที่ไม่ถือว่าถูกต้องเหมาะสมสามอย่างนั้น เพราะในความเป็นจริงแล้วราชสำนักของทั้งสามแคว้นต่างก็ไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่ แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีกลุ่มอิทธิพลอยู่เบื้องหลังท่าเรือแห่งนี้ ปราณวิญญาณลดน้อยลงเป็นเรื่องต้องห้ามที่ใหญ่ที่สุดของภูเขาตระกูลเซียน ก็เหมือนอย่างที่ตู้เม่าบังคับดึงเอาปราณวิญญาณที่ซุกซ่อนอยู่ในถ้ำสวรรค์เล็กอู๋ถงออกมาใช้ แม้จะบอกว่ามีใจที่เห็นแก่ตัวมากกว่า เพื่อให้ตัวเองได้บินทะยานไปยังที่แห่งอื่น แต่แท้จริงแล้วหากเขาบินทะยานได้สำเร็จ ตามกฎที่หลี่เซิ่งของใต้หล้าไพศาลตั้งเอาไว้ สำนักใบถงก็ถือว่ามีคุณความชอบติดตัว สถานศึกษาและสำนักศึกษาจะปกป้องคำว่า ‘สำนัก’ นั้นอย่างน้อยก็หนึ่งพันปีโดยที่ไม่อาจปฏิเสธได้ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดที่ตู้เม่ากล้าเสี่ยงบินทะยาน ไม่อย่างนั้นแค่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำสวรรค์อู๋ถงไปตลอดก็พอ จั่วโย่วทำลายค่ายกลใหญ่แห่งภูเขาและแม่น้ำได้ แต่ไม่มีทางทำลายตราผนึกของถ้ำสวรรค์ได้แน่นอน
และเมื่อตู้เม่าบินทะยานล้มเหลว ลูกศิษย์แทบทุกคนของสำนักใบถงก็เปลี่ยนจากความเคารพยำเกรง ความรักความเลื่อมใสอย่างถึงที่สุดมาเป็นเคียดแค้นสุดขีด ใช้คำว่าแค้นเข้ากระดูกดำมาบรรยายก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย เห็นเขาเป็นคนที่ทำผิดมีโทษมหันต์ของสำนักใบถง บรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ผายลมสุนัขอะไรกัน ต้องเรียกว่าบรรพบุรุษผู้สร้างความพินาศวอดวายเผาผลาญรากฐานของบรรพบุรุษถึงจะถูก เจตนาเดิมเล็กๆ ของตู้เม่าที่คิดจะพาตัวไปอยู่ในกรงขังใหญ่แห่งอื่นเพื่อหาทางรอดอีกทางให้แก่สำนักใบถงกลับมีคนน้อยมากที่จะคิดถึง ส่วนเจ้าประมุขสำนักใบถงเซียนกระบี่ชุดม่วงผู้นั้น รวมไปถึงผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตหยกดิบผู้ดูแลทำเนียบวงศ์ตระกูลศาลบรรพชน ไม่รู้ว่าคิดพิจารณาเช่นไร ถึงได้ไม่ห้ามปราม ชี้นำและคลี่คลายอารมณ์โกรธแค้นของทุกคนในสำนัก เป็นเหตุให้สายของตู้เม่า ยกตัวอย่างเช่นลูกหลานสายตรงอย่างตู้เหยี่ยน ไม่เพียงแต่สูญเสียข้ารับใช้ก่อกำเนิดคนหนึ่งไป ยังถูกซักไซ้เอาความผิด ครอบครัวตระกูลตู้เกือบจะถูกพลิกค้นจนเกลี้ยงเพื่อเอามาจ่ายให้สำนัก ชดเชยส่วนที่ขาดหายไป
ไม่ใช่อย่างนี้ก็เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ดำก็เป็นขาว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!