ผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งลักษณะเหมือนคนอายุสามสิบต้นๆ ยืนอยู่บนหินใหญ่ยักษ์ก้อนหนึ่ง ใบหน้าของเขาเปรอะฝุ่นมอมแมม ถ่มเลือดคำหนึ่งออกมาเบาๆ
การต่อสู้ครั้งนี้มีแต่เรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นมากมาย เวลาคิดบัญชีตอนจบเรื่อง หากจะขอเงินเพิ่มจากเซียนดินโอสถทองผู้นั้นอีกนิดคงไม่เกินกว่าเหตุกระมัง วัตถุดิบวิเศษทั่วร่างของวัวดิน ของดีๆ เจ้าล้วนเอาไปหมด ไม่ว่าจะเป็นโอสถทอง เขาวัว เอ็นและกระดูก ฯลฯ พวกเขาก็ได้แค่เครื่องในและเลือดเนื้อไปเท่านั้น ผลกลับกลายเป็นว่านี่ยังต้องต่อสู้อีกสองรอบ หากแม้แต่เงินร้อนน้อยไม่กี่เหรียญยังไม่เต็มใจจะควักออกมา ก็อย่าโทษหากพวกเขา…ชี้หน้าด่าแม่ลับหลังก็แล้วกัน
ผู้ฝึกลมปราณคนนี้ชื่อว่าลวี่หยางเจิน มีชาติกำเนิดจากชนบท ครอบครัวเป็นนายพรานกันมาหลายรุ่นหลายสมัย ตอนนี้คือผู้ฝึกตนอิสระที่ไร้ที่พักพิงคนหนึ่ง เมื่อปีก่อนเพิ่งจะข้ามผ่านธรณีประตูบานใหญ่มาได้ จึงกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้ำสถิต แม้ว่าจะเป็นขอบเขตที่ต่ำที่สุดของห้าขอบเขตกลาง แต่สำหรับผู้ฝึกตนอิสระแล้ว การได้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตก็คือการเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว ก้าวนี้เดินออกไปก็จะได้ทำหน้าที่ในจวนตระกูลเซียนที่ระบบการสืบทอดถูกต้อง สามารถไปเป็นผู้ถวายงานให้กับฮ่องเต้ของโลกมนุษย์ เป็นเค่อชิงที่ทำงานให้กับจวนของชนชั้นสูงหรือพวกขุนนาง หรือเปลี่ยนมาพูดอีกอย่างหนึ่ง ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตถ้ำสถิตก็ถือว่าเริ่มมีมูลค่าในตัวเองแล้ว
ความฝันของลวี่หยางเจินก็คือหวังว่าตัวเองจะโชคดีกว่าพวกโครงกระดูกผู้ฝึกตนที่เจอตรงโพรงริมหน้าผาตอนนั้นสักหน่อย ได้ตำราเซียนระบบเต๋าเล่มหนึ่งที่ชี้ตรงไปยังขอบเขตเซียนดินบนมหามรรคามาครอบครอง ต่อให้ชีวิตนี้ไม่อาจเป็นเซียนดินโอสถทองที่อยู่สูงเหนือผู้ใด แต่หากได้ยืนอยู่นอกประตู ยื่นมือออกไปก็สามารถสัมผัสกับธรณีประตูของเทพเซียนพสุธาได้ เขาก็พึงพอใจแล้ว
และความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดในส่วนลึกของหัวใจลวี่หยางเจิน หรือควรจะพูดว่าความเพ้อฝัน นั่นคือหวังว่าวันใดวันหนึ่งตนเองซึ่งอายุเกือบหกสิบปีจะพบกับโชคดีใหญ่เทียมฟ้า อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งขึ้นมา ดังนั้นพอลวี่หยางเจินเห็นเซียนซือหนุ่มชุดขาวพลิ้วกายลงบนพื้น มีแสงสองเส้นพุ่งหายเข้าไปในน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดตรงเอว เขาก็พลันตาแดงก่ำ กระบี่บิน ต้องเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตแน่นอน!
ไหนบอกว่า ‘หกสิบปีถ้ำสถิตเฒ่า ร้อยปีเซียนกระบี่ยังคงหนุ่ม’ อย่างไรล่ะ?
หรือว่าคนตรงหน้าผู้นี้คือผู้ฝึกลมปราณใหญ่ที่มีวิชารักษาความเยาว์วัย?
หากเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งก็เจอปัญหาใหญ่เทียมฟ้าแล้ว
หากเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่เก็บตัวสันโดษ คาดว่าการวางแผนอย่างรัดกุมเพื่อล้อมสังหารช่วงชิงสมบัติครั้งนี้คงจะต้องมีคนบาดเจ็บล้มตายกันมหาศาลแล้ว
หลังจากอารมณ์ตื่นเต้นในช่วงสั้นๆ ผ่านไป ลวี่หยางเจินก็สงบสติอารมณ์ลงได้อย่างรวดเร็ว
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่สามารถเลี้ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาได้ หลังเผยกายบนโลก กระบี่บินนั้นยังสามารถต้านทานพายุลมกรดและการขัดเกลาจากปราณชั่วร้ายบนโลก นอกจากความน่ากลัวของตัวพวกเขาเองอย่างพลังการต่อสู้ที่น่าตะลึง ชอบตัดสินเป็นตายในเสี้ยววินาทีเมื่อต้องเข่นฆ่ากับใคร จุดที่ทำให้ผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเขากริ่งเกรงกันมากที่สุดนั้นอยู่ที่ผู้ฝึกกระบี่แทบทุกคนในแจกันสมบัติทวีปล้วนเป็นลูกรักของตระกูลเซียนบนภูเขา ใครกล้าแตะต้องแม้แต่ปลายเล็บก็ต้องสะเทือนไปถึงศาลบรรพจารย์ในสำนักของพวกเขาแน่นอน
ลวี่หยางเจินใช้หางตาชำเลืองมองไปรอบด้าน
นอกจากเซียนดินโอสถทองที่ร่ายเวทอำพรางตาปกปิดโฉมหน้าที่แท้จริงผู้นั้นซึ่งมองการเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าไม่ออกแล้ว
ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ที่เหมือนกับลวี่หยางเจินล้วนมีสภาพจิตใจไม่ต่างกับลวี่หยางเจิน เพียงแต่ว่าบางคนก็ขี้ขลาดกว่า รู้จักบังคับเรือตามลมมากกว่า จึงเก็บอาวุธ หันไปแสดงท่าทีเป็นมิตรกับผู้ฝึกกระบี่ท่านนี้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองกลายเป็นมะพลับนิ่มที่ถูกแขกไม่ได้รับเชิญผู้นี้บีบเล่น โดนอีกฝ่ายปลิดชีพด้วยหนึ่งกระบี่เพื่อแสดงอำนาจบารมี แล้วก็มีบางคนที่ไม่กลัวตาย ซุกซ่อนประกายร้อนแรงในดวงตาไว้อย่างมิดชิด ทว่าการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ที่ลวี่หยางเจินใคร่ครวญออกมาได้ก็ได้เปิดเผยความคิดในใจที่แท้จริงของพวกเขา จัดการไปพร้อมกับวัวดินตัวนั้น หากทำการค้าครั้งใหญ่ที่น่าตะลึงพรึงเพริดนี้ได้สำเร็จก็มากพอจะทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่กลายเป็นเศรษฐีภายในค่ำคืนเดียว! อย่างมากนับแต่บัดนี้ก็ไปให้ไกลจากพื้นที่แคว้นชิงหลวน ผู้ฝึกตนอิสระที่ถูกตระกูลเซียนบนภูเขามองเป็นสุนัขป่าคุ้ยเขี่ยหาอาหาร เดิมทีก็เป็นดั่งจอกแหนไร้รากอยู่แล้ว ฝึกตนอยู่ที่ไหนก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?
อีกอย่างต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีหมวกสูงค้ำให้อยู่
ดังนั้นพวกลวี่หยางเจินจึงพากันเหลือบมองเซียนดินโอสถทองอยู่หลายครั้งตามจิตใต้สำนึก ยอดฝีมือท่านนี้มีที่มาไม่แน่ชัด เมื่อครึ่งปีก่อนก็รวบรวมพวกเขามาเป็นพรรคพวก ถ้อยคำคร่าวๆ ของเขาก็คือสถานที่แห่งนี้มีปีศาจใหญ่วัวดินซึ่งอำพรางตัวอยู่ท่ามกลางเส้นทางมังกรที่ผุพังซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานเส้นหนึ่งเป็นเวลานานถึงสองร้อยกว่าปีแล้ว สั่งสมฝึกตนจนได้ตบะเทียบเท่ากับขอบเขตประตูมังกรของผู้ฝึกลมปราณ หากฝ่าไปถึงขอบเขตโอสถทองได้ ตอนที่สร้างโอสถทอง แคว้นชิงหลวนจะต้องเผชิญหน้ากับโศกนาฎกรรมที่แผ่นดินสะท้านสะเทือนเพราะการพลิกตัวของวัวดิน เมืองหลายแห่งที่อยู่ในอำเภอและเขตการปกครองรอบรัศมีพันลี้จะต้องมีคนบาดเจ็บและล้มตายนับไม่ถ้วน ดังนั้นก่อนหน้าที่มันจะกลายเป็นโอสถทองก็จำเป็นต้องกำราบและสังหารมันให้ได้เสียก่อน หลีกเลี่ยงไม่ให้มันเป็นภัยต่อแคว้น…
ลวี่หยางเจินกับผู้ฝึกตนอิสระสองคนที่จับกลุ่มกันชั่วคราวเพื่อเดินทางตามหาสมบัติได้ยินเหตุผลที่ฟังดูแล้วเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมนี้ ตอนนั้นหากไม่เป็นเพราะกลัวตบะโอสถทองของคนผู้นี้ก็คงหลุดส่งเสียงหัวเราะออกไปแล้ว
การที่เขาจับมือเป็นพันธมิตรกับคนทั้งสองชั่วคราวแล้วเดินทางไปเยือนหลายแคว้นอย่างแคว้นชิงหลวน แคว้นชิ่งซาน ฯลฯ ก็เพราะผู้ฝึกตนสองพี่น้องนั้นมีคนหนึ่งที่เป็นตี้ซื่อซึ่งหายากคนหนึ่ง
ตอนนี้สองพี่น้องต่างก็ขยับเข้ามาใกล้เขาอย่างเงียบเชียบ
ครั้งนี้สามารถแบ่งน้ำแกงหนึ่งถ้วยมาจากจานอาหารของผู้ฝึกตนโอสถทอง ลวี่หยางเจินและผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นต่างก็มีคุณความชอบ ลวี่หยางเจินเชี่ยวชาญค่ายกล สามารถสยบความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเมื่อวัวดินพลิกตัวได้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ตระกูลเซียนที่แท้จริงจับตามองมา ถึงเวลานั้นจะกลับกลายเป็นว่าทุกคนยุ่งกันมาเกินครึ่งวันเพื่อสังหารสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่ง แต่สุดท้ายกลับเป็นการตัดชุดแต่งงานให้คนอื่น
ส่วนวิชาที่ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นเชี่ยวชาญก็คือเงื่อนไขสำคัญที่เซียนดินโอสถทองยินดีรับคนทั้งสามมาร่วมงาน เทพเซียนท่านนี้แค่พอจะระบุขอบเขตที่วัวดินซ่อนตัวได้คร่าวๆ แต่กลับยังคงตามหาไม่เจอว่ามันอยู่ตรงไหนกันแน่ ดังนั้นนักพรตหญิงที่ไม่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าผู้นี้จึงถึงเวลาขึ้นเวทีแสดง
หญิงสาวสวมชุดงดงาม ลักษณะท่าทางเหมือนสตรีแต่งงานแล้ว เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้า พรสวรรค์ไม่ถือว่าดีนัก เพียงแต่ว่าหากอยู่ท่ามกลางผู้ฝึกตนอิสระก็ถือว่าไม่เลว ความประทับใจที่นางมีต่อลวี่หยางเจินก็ดีพอสมควร ครั้งนี้เข้าร่วมแผนการกับเซียนดินโอสถทองคนหนึ่ง อย่างน้อยพวกเขาสองพี่น้องและลวี่หยางเจินก็ถือว่าปฏิบัติต่อกันอย่างจริงใจ เวลานี้ได้ใช้คลื่นเสียงในทะเลสาบหัวใจสื่อสารกัน “ผู้มาเยือนมีเจตนาไม่ดี เห็นได้ชัดว่าเป็นสหายของสองคนนั้น จะเอาอย่างไร?”
ลวี่หยางเจินลูบใบหน้า “นิ่งรอดูสถานการณ์ก่อนเถอะ”
หญิงสาวพยักหน้ารับ การล้อมสังหารครั้งนี้ นางคือคนที่โดดเด่นที่สุด หลังจากศึกใหญ่เปิดฉากขึ้น นางอยู่ว่างสบายยิ่งกว่าพี่ชายและลวี่หยางเจินเสียอีก ถึงขั้นพูดได้ว่าไม่ต้องทำอะไรเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!