กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 376

ก่อนหน้านี้จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียสองคนก็ถือเป็นคนที่ถูกอีกฝ่ายรับสมัครตัวมาเหมือนกัน เพียงแต่ว่าถึงแม้จางซานเฟิงจะตบะไม่สูง แต่กลับเชี่ยวชาญด้านประวัติความเป็นมาของภูตผีแห่งภูเขาและน้ำมากมาย สำหรับรากฐานและนิสัยของวัวดินสีเหลือง เขาก็ยิ่งคุ้นเคยเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงปฏิเสธคำเชื้อเชิญของอีกฝ่าย

ส่วนที่ยุ่งยากอย่างแท้จริงนั้นอยู่ที่จางซานเฟิงรู้ดีว่าหากวัวดินสีเหลืองตัวนั้นเป็นขอบเขตประตูมังกร ห่างจากการสร้างโอสถอีกแค่ก้าวเดียวจริงๆ ถ้าเช่นนั้นหากถูกล้อมสังหาร ขนาดพระโพธิสัตว์ยังมีไฟโทสะ คนซื่อก็ยังมีช่วงที่เลือดลมเดือดพล่าน แล้วนับประสาอะไรกับปีศาจตนหนึ่ง? ดังนั้นจางซานเฟิงจึงกลัวว่าก่อนที่วัวดินจะตายอาจไปชักนำเส้นทางใต้ดิน นั่นก็จะเกิดเหตุการณ์วัวดินพลิกตัวครั้งใหญ่อย่างแท้จริง ในรัศมีพันลี้รอบด้านจะเกิดแผ่นดินไหว เมืองสองแห่งที่อยู่ใกล้ที่แห่งนี้ที่สุด ไม่แน่ว่าอาจมีชาวบ้านผู้บริสุทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนบาดเจ็บล้มตาย

สวีหย่วนเสียขึ้นเหนือล่องใต้มาจนทั่ว ประสบการณ์ค่อนข้างโชกโชน จึงไม่ได้เอ่ยคำพูดที่แสดงถึงการผดุงคุณธรรมบอกให้ผู้ตนอิสระเหล่านั้นล้มเลิกความคิดที่จะล้อมสังหารวัวดินไปโดยตรง แต่อธิบายถึงความเป็นไปได้และความอันตรายที่จะเกิดขึ้นหากวัวดินพลิกตัวให้พวกเขาฟังอย่างละเอียด หวังว่าผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่งที่ตอนนั้นเรียกตัวพวกเขาสองคนมาจะเอาคำพูดนี้ไปบอกแก่คนที่อยู่เบื้องหลัง ให้เขาจ่ายเงินอีกเล็กน้อยจ้างอาจารย์ด้านค่ายกลหลายท่านมา พยายามลดระดับผลกระทบที่เกิดจากวัวดินพลิกตัวให้เหลือต่ำที่สุด อย่างน้อยที่สุดก็อย่าให้ชาวบ้านหลายหมื่นคนต้องตายหรือพลัดพรากจากถิ่นฐาน ถือเป็นการจ่ายเงินสั่งสมบุญ ผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตคนนั้นตบอกรับรองว่าจะนำความไปบอก ตอนนั้นสวีหย่วนเสียแสร้งทำเป็นแกล้งโง่เออออตามไป และยังพูดคุยปราศรัยกับผู้ฝึกตนคนนั้นไปอีกพักหนึ่ง ทว่าหลังจากนั้นเขากับจางซานเฟิงกลับแอบสะกดรอยตามอีกฝ่ายไปอย่างลับๆ จนกระทั่งเขาค้นพบว่าในกลุ่มของเซียนดินโอสถทองมีแค่อาจารย์ค่ายกลคนเดียวที่คอยเฝ้าบัญชาการณ์ค่ายกล ก็รู้แล้วว่านี่ต้องกลายเป็นหายนะที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนแน่นอน

จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียวางแผนร่วมกัน คนสองคนแยกย้ายกันไปทำงาน สวีหย่วนเสียไปตามหาสำนักบนภูเขาที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วบอกเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายรู้อย่างชัดเจน ไม่หวังว่าเซียนซือในทำเนียบวงศ์ตระกูลเหล่านั้นจะลงมือขัดขวางเซียนดินก่อกำเนิดที่ชั่วร้ายผู้นี้ แค่สร้างความกดดันให้อีกฝ่ายก็พอ หรือไม่ก็เตรียมการไว้ก่อนโดยช่วยสยบสถานการณ์อันตรายที่อาจจะเกิดจากเส้นทางใต้ดินที่สั่นสะเทือนไปพันลี้ ส่วนจางซานเฟิงที่เพราะมีสถานะถูกต้อง ถือเป็นนักพรตต่างแซ่สายนอกของภูเขามังกรพยัคฆ์แผ่นดินกลางที่อยู่ในกุรุทวีป ดังนั้นจึงไปเยือนที่ว่าการ ไปหาขุนนางใหญ่ที่มีอำนาจเต็มในการบริหารท้องถิ่น หวังว่าราชสำนักแคว้นชิงหลวนจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ทางที่ดีที่สุดคือฮ่องเต้สกุลถังสามารถส่งผู้ถวายงานของเชื้อพระวงศ์มา ‘คุมค่ายกล’ ของที่แห่งนี้ ต่อให้จะมาเป็นกำลังเสริมแก่เซียนดินโอสถทองคนนั้น หรือพยายามใช้วิธีผูกมัดใจของเขาก็ได้ เพียงแต่ว่าบริเวณโดยรอบที่วัวดินสีเหลืองซ่อนตัวอยู่จำเป็นต้องวางค่ายกลใหญ่แห่งภูเขาและแม่น้ำหลายแห่งไว้แต่เนิ่นๆ

ขุนนางใหญ่ผู้กุมอำนาจอย่างแท้จริงผู้นั้นค่อนข้างจะพูดคุยได้ง่าย เขารับปากว่าจะรายงานเรื่องนี้ให้ทางราชสำนักทราบในทันที จะไปขอความช่วยเหลือจากตระกูลเซียนบนภูเขาที่อยู่ในเขตการปกครองเพื่อให้พวกเขาส่งกระบี่บินไปที่เมืองหลวง

แต่ขุนนางผู้มีอำนาจของแคว้นชิงหลวนคนนี้ค่อนข้างจะเฉลียวฉลาด เปิดปากก็บอกว่าต้องการให้จางซานเฟิงมอบของที่มีค่าออกมาสองชิ้น ไม่อย่างนั้นนี่อาจจะดูเป็นเรื่องที่ตื่นตูมกันไปเอง หรือไม่ก็เป็นคำพูดเหลวไหลจากนักพรตต่างถิ่นอย่างจางซานเฟิง แล้วถึงเวลานั้นเขาจะอธิบายให้เซียนซือบนภูเขาและฮ่องเต้ฟังอย่างไร?

จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียต่างก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล จึงมอบกระบี่อาคม ‘เจินอู่’ และมีดสั้นที่ได้มาจากศึกในแคว้นไฉ่อีเล่มนั้นออกไป

ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือสภาพการณ์ที่เห็นกันอยู่ตอนนี้

คุยกันด้วยเหตุผลไม่รู้เรื่อง

ดูเหมือนว่าการที่ผู้ฝึกตนอิสระไขว่คว้าหาผลประโยชน์จะเป็นหลักการที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน ก็เหมือนกับที่ผู้ฝึกตนโอสถทองคนนั้นพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า ตัดขาดทางทำมาหากินคนอื่น นี่ก็คือการกระทำที่ทำให้ทั้งคนและเทพในกลุ่มผู้ฝึกตนอิสระต่างพากันโกรธแค้น

ส่วนผู้ฝึกลมปราณกลุ่มนี้ที่ ‘หวังผลประโยชน์มาตั้งแต่ต้น’ แน่นอนว่าต้องมีคำพูดที่สนับสนุนการกระทำของตัวเองได้อยู่แล้ว ในสถานที่เงียบสงัดไร้ผู้คนซึ่งแม้แต่นกก็ยังไม่มาขี้ใส่แห่งนี้ แค่ล้อมสังหารปีศาจตนหนึ่ง พวกเขาไม่เคยฆ่าคนชิงทรัพย์ ยิ่งไม่เคยใช้คาถาเทพเซียนหรืออาวุธตระกูลเซียนทำร้ายชาวบ้าน ต่อให้เป็นเซียนซือในทำเนียบวงศ์ตระกูลก็ยังเทียบไม่ได้ หาเงินมือสะอาดขนาดนี้แล้ว ยังจะต้องการอะไรอีก? นักพรตหนุ่มที่ปากไร้หนวด (เปรียบเปรยถึงคนที่ทำอะไรไม่น่าเชื่อถือ เพราะประสบการณ์ยังน้อย) กับผู้ฝึกยุทธ์ในยุทธภพคนหนึ่งที่มีหนวดอยู่ไม่น้อย มาเอ่ยอ้างว่าวัวดินจะชักนำเส้นทางใต้ดิน ก่อให้เกิดแผ่นดินไหวไกลเป็นพันลี้ พวกเจ้าเป็นหอมต้นไหน?

หลังจากนั้นพวกจางซานเฟิงก็แอบติดตามร่องรอยมาถึงที่นี่ เห็นกับตาตัวเองว่าปีศาจวัวดินสีเหลืองร่างใหญ่โตดุจขุนเขาที่มีนิสัยอ่อนโยนได้สลัดก้อนหินและต้นไม้จำนวนนับไม่ถ้วนบนแผ่นหลัง คุมเชิงอยู่กับผู้ฝึกลมปราณยี่สิบกว่าคน ตอนแรกมันยังคิดจะหนี จึงทั้งรบทั้งถอย แต่ก็ยังถูกไล่ฆ่าจนมีสภาพชวนสังเวช นั่นถึงทำให้มันเริ่มจู่โจมกลับ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนฟ้าสะท้านดินสะเทือน

จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียได้แต่ปกป้องอยู่ตรงหน้าวัวดินสีเหลืองตัวนั้น ในขณะที่มันบาดเจ็บสาหัสจนจำต้องเผยร่างจริงซึ่งมีขนาดไม่ต่างจากควาย และหากจู่โจมจนมันตาย สถานการณ์ก็ไม่อาจพลิกฟื้นกลับคืนมาได้แล้วจริงๆ

เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม ปีศาจใหญ่ที่นอนจมอยู่ในกองเลือดเห็นว่าคนทั้งสองไม่เพียงแต่ไม่ได้ลงมือกับมัน กลับยังพยายามช่วยเหลือมันสุดชีวิต ปีศาจพยายามดิ้นรนใช้ความคิดอยู่พักหนึ่ง แม้จะรู้ความคิดของพวกเขาสองคนอย่างคร่าวๆ ว่าคงจะกลัวตนชักนำให้เกิดแผ่นดินไหว เป็นเหตุให้เทือกเขาและแผ่นดินปริแตกยาวไปเป็นพันลี้ สุดท้ายมันจึงไม่ได้เลือกจะให้พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย กลับเพียงแค่ปล่อยให้พลังชีวิตไหลหายไป

เฉินผิงอันมองจางซานเฟิงและสวีหย่วนเสีย

ผู้ฝึกลมปราณกลุ่มนั้นน่าจะคิดว่ากุมชัยชนะไว้ในมือได้มั่นคงแล้วจึงไม่ได้ลงมือสังหารคนทั้งสองให้ตาย

นักพรตหนุ่มได้รับบาดเจ็บภายนอกเล็กน้อย เพียงแต่ว่าถูกกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่แทงทะลุไหล่ เลือดจึงไหลไม่หยุด หลังจากโปะยาลงไปแล้วกลับไม่ได้ผลมากนัก น่าจะบาดเจ็บไปถึงกระดูกและเส้นเอ็น ถึงอย่างไรก็เป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่ง ไม่ใช่แค่สองคำว่าคมกริบจะสามารถอธิบายได้

บนหนวดของชายฉกรรจ์เคราดกเต็มไปด้วยเลือดสดๆ หนวดหลายหย่อมพันกันเป็นก้อนเป็นกระจุก มองดูแล้วน่าตลกไม่น้อย

เวลานี้ผู้ฝึกตนโอสถทองผู้นั้นถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว

จางซานเฟิงกังวลว่าเฉินผิงอันจะรับปาก จึงจับแขนของเขา พูดอย่างร้อนใจว่า “ทำแบบนี้ไม่ได้นะ”

ผู้ฝึกตนโอสถทองยิ้มกล่าว “ตอนนี้ปีศาจตนนั้นแค่รอความตายอย่างเดียวแล้ว และไม่มีวี่แววว่ามันจะดิ้นรนก่อนตายด้วย เหตุใดผู้ผดุงธรรมทั้งสองและเซียนซือที่เพิ่งมาถึงท่านนี้ถึงต้องทำในสิ่งที่เกินความจำเป็น จะต้องเข่นฆ่าคนกันเองไปไย?”

สวีหย่วนเสียประคองตัวเองไม่อยู่แล้วจึงนั่งแปะลงไปบนพื้น สีหน้าดำคล้ำ มือหนึ่งกำดาบวางไว้บนพื้น อีกมือหนึ่งเช็ดหนวด “เหตุผลเป็นเช่นนี้ก็จริง แต่กลับรู้สึกอัดอั้นตันใจอยู่บ้าง”

ชายฉกรรจ์เคราดกหันหน้าไปมองวัวดินสีเหลืองตัวนั้น “ยังคงรู้สึกผิดต่อมัน”

จางซานเฟิงถอนหายใจ เก็บกระบี่ไม้ท้อไว้ด้านหลัง ปล่อยมือข้างที่จับแขนเฉินผิงอัน กล่าวอย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าคงจะทำได้แค่นี้แล้วกระมัง?”

แต่กลับใช้น้ำเสียงสอบถาม

อันที่จริงทุกคนซึ่งรวมถึงผู้ฝึกตนโอสถทองต่างก็สังเกตเห็นผู้ติดตามสี่คนของเซียนกระบี่หนุ่มมานานแล้ว

ทุกคนต่างเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่มีพลังอำนาจน่าตะลึง

เชื่อว่านี่ต่างหากที่เป็นสาเหตุแท้จริงที่พวกเขายังอยู่นิ่งเฉย ยอมพูดคุยกันด้วยเหตุผลดีๆ

เฉินผิงอันตบบ่าจางซานเฟิง “ข้าจะแก้ไขปัญหาให้เอง”

จางซานเฟิงอึ้งตะลึง ก่อนจะยิ้มกว้าง “ไม่ว่าเจ้าจะทำอย่างไร พวกข้าสองคนก็ไม่มีความเห็นต่าง ไม่ทำให้เจ้าลำบากใจหรอก จริงๆ นะ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ หันหน้าไปมองเซียนดินโอสถทองที่บังคับลมยืนอยู่กลางอากาศผู้นั้นแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าเจ้ามาจากตระกูลเซียนบนภูเขาลูกใด หรือว่ามาจากหน่วยบัญชาการทหารสูงสุดของแคว้นชิงหลวน?”

สวีหย่วนเสียที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นยิ้มอย่างรู้ใจ โอ้โหแหะ ตอนนี้เจ้าเด็กน้อยเฉินผิงอันมีไหวพริบและกลอุบายขึ้นไม่น้อย ประโยคเดียวก็ถามโดนทิศทางการคาดเดาในใจตนอย่างจัง

น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าขอบเขตวรยุทธ์จะไม่ขยับเคลื่อนหน้าสักเท่าไหร่ ยังเป็นขอบเขตสามอยู่เหมือนเดิม?

นี่ก็เป็นเรื่องปกติ ครั้งก่อนที่แยกจากกันเพิ่งจะผ่านไปแค่สองปีกว่าๆ ตอนนี้เฉินผิงอันเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง สิบเจ็ดปีกระมัง? รากฐานขอบเขตสามของเขาปูมาดีขนาดนี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว อยู่ในยุทธภพก็สามารถถูกเรียกขานว่า ‘ผู้มีพรสวรรค์ด้านการเรียนวรยุทธ์’ อย่างไม่กระดากใจแล้ว

ด้านนอกคนทั้งสามคือฝูงหมาป่าหมาในที่ล้อมเป็นวง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!