อารามเต๋าตั้งอยู่บนยอดเขาของภูเขาชิงเย่า ทางเดินมีแต่ดินโคลนเฉอะแฉะทำให้เดินลำบาก ตั้งแต่ตีนเขาไปจนถึงประตูใหญ่ของอารามเต๋า จุดที่กว้างที่สุดของทางเส้นเล็กก็ได้แค่ให้คนสามคนเดินเคียงไหล่กันเท่านั้น ไม่ต้องคาดหวังว่าจะให้รถม้าเคลื่อนผ่านไปได้ นี่แสดงให้เห็นว่าอารามจินกุ้ยไม่ค่อยยินดีจะคบค้าสมาคมกับคนด้านล่างภูเขาสักเท่าไหร่
ตำหนักพยัคฆ์เขียวของภูเขาชิงจิ้งที่พวกเฉินผิงอันไปเยือนในคราวนั้นได้สร้างบันไดไว้มากถึงสามพันขั้น เทียบกับบันไดหยกในวังหลวงที่เป็นบ้านของฮ่องเต้แล้วยังดูโอฬารยิ่งใหญ่กว่าเสียอีก
อารามจินกุ้ยมีขนาดไม่ใหญ่ แต่สามารถรองรับนักพรตให้มาฝึกตนได้ถึงสี่สิบห้าสิบคน คนของแต่ละฝ่ายที่นำพาเด็กรุ่นหลังขึ้นเขามาต่างก็จ้างให้คนมาสร้างกระท่อมอยู่กึ่งกลางภูเขาชิงเย่าเพื่อเป็นที่พักอาศัยนานแล้ว สำหรับเรื่องนี้อารามจินกุ้ยไม่ขัดขวาง บางคนที่มีไหวพริบ อีกทั้งยังเป็นคนของกองกำลังในยุทธภพแคว้นชิงหลวนเห็นว่าอารามจินกุ้ยพูดคุยได้ง่ายก็ถึงกับจ้างชายฉกรรจ์หลายสิบคนให้มาบุกเบิกที่ดินสร้างหอเรือนที่ขนาดไม่เป็นรองหอสุราหรือโรงเตี๊ยมในหมู่ชาวบ้านเอาไว้
อารามจินกุ้ยคืออารามในป่าที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก เพียงแต่ว่าหากฟังตามคำกล่าวของนักพรตรูปงาม ทรัพย์สมบัติของอารามแห่งนี้ไม่ได้ตกเป็นของสายระบบเต๋าที่พวกเขาอยู่ทั้งหมด และเมื่อเจ้าอารามรับลูกศิษย์ ถึงเวลานั้นจะได้รับทำเนียบตระกูลหยกทองที่ราชสำนักแคว้นชิงหลวนจัดสรรมาให้ ขอแค่กราบไหว้เข้ามาเป็นลูกศิษย์ของเจ้าอารามจางกั่ว ไม่ใช่เป็นนักพรตที่แค่แขวนชื่อไว้ว่าฝึกตนอยู่ในอารามจินกุ้ยเท่านั้น ก็จะถือว่ากลายเป็นเซียนซือคนหนึ่งในเทียบวงศ์ตระกูล เกรงว่านี่ต่างหากถึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ชนชั้นสูงในยุทธภพและเศรษฐีผู้สูงศักดิ์ยินดีพาลูกหลานในตระกูลแห่กันมาเยือนที่แห่งนี้
มีเพียงตำหนักใหญ่ของลัทธิเต๋าเท่านั้นถึงจะมีสามตูห้าจู่สิบแปดโถวครบตำแหน่ง (คือตำแหน่งผู้ดูแลในด้านต่างๆ มาจากระบบสือฟางฉงหลินหรือระบบบริหารจัดการวัดวาอาราม) อารามจินกุ้ยมีคนแค่สี่สิบห้าสิบคน ย่อมไม่พิถีพิถันมากมายถึงเพียงนั้น เว้นเสียจากเจ้าอารามจางกั่วแล้วก็มีผู้ดูแลสองสามคนและห้าหกโถวซึ่งรวมถึงคู่โถว (มีหน้าที่ทำงานทั่วๆ ไปในวัด ดูแลเรื่องรายรับรายจ่ายด้านธัญพืช เงินทอง สิ่งทอ ข้าวสาร เป็นต้น ตำแหน่งต่ำ แต่ภาระงานหนัก) เป็นหนึ่งในนั้นเท่านั้น สวี่ป๋อรุ่ยนักพรตรูปงามก็คือกู่โถว (คนที่รับผิดชอบตีกลองหยุดกลองหรือตีระฆังของวัด) ของอารามจินกุ้ย ถึงอย่างไรต่อให้อารามจะเล็กแค่ไหน ทั้งกลองและระฆังต่างก็ถือเป็นวัตถุที่ขาดไม่ได้
หากจะพูดถึงวัดลูกหลาน (หรือจื่อซุนเมี่ยวหมายถึงวัดที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก ทรัพย์สินในวัดจะตกเป็นของพระที่อยู่ในวัดทั้งหมด พวกเขาสามารถจัดการกันได้เอง พระสามารถรับลูกศิษย์ได้ด้วยตัวเอง โกนหัวบวชให้ลูกศิษย์ได้ แต่ไม่สามารถประกาศให้พระที่บวชใหม่ถือศีล พระที่บวชใหม่ต้องไปรับศีลที่สือฟางฉงหลินเท่านั้น) ที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้านี้ แน่นอนว่าต้องเป็นจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอย่างไม่ต้องสงสัย
จางกั่วเทพเซียนผู้เฒ่าของอารามเต๋าแห่งนี้จะรับลูกศิษย์ในวันมะรืน ในฐานะที่พรรคต้าเจ๋อของจู๋เฟิ่งเทียนคือหนึ่งในงูเจ้าถิ่นที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นชิงหลวน ก็ได้ทุ่มเงินขาวก้อนใหญ่ถึงหนึ่งแสนกว่าตำลึงมาสร้าง ‘คฤหาสน์หลบร้อน’ ไว้กึ่งกลางภูเขานานแล้ว ท่ามกลางสิ่งปลูกสร้างมากมายจึงดูสะดุดตาอย่างถึงที่สุด ดูท่าเรื่องที่หลานสาวของจู๋เฟิ่งเทียนจะถูกรับเลือกคงเป็นเรื่องแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
เรือนแยนจือเองก็จ้างคนมาสร้างเรือนแห่งหนึ่งที่ประณีตงดงาม ทว่านักพรตสวี่ป๋อรุ่ยกลับพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “หลิวชิงเฉิง จู๋จื่อหยาง พวกเจ้าทั้งสองคนสามารถติดตามข้าผู้เป็นนักพรตเข้าไปในอารามได้เลย อารามจินกุ้ยได้จัดห้องสองห้องไว้ให้แล้ว”
จากนั้นสวี่ป๋อรุ่ยก็หันมายิ้มพูดกับเฉินผิงอันว่า “อารามคับแคบ รับรองทุกท่านได้ไม่ทั่วถึง ตอนนี้เหลือแค่ห้องอยู่สองห้อง หากคุณชายเต็มใจไปเข้าพักเพียงลำพังก็สามารถติดตามข้าผู้เป็นนักพรตขึ้นเขาตอนนี้ได้เลย หากไม่อยากแยกกับสหาย และไม่มีที่อื่นให้ไปพัก ข้าผู้เป็นนักพรตสามารถออกหน้าช่วยพูดกับชนชั้นสูงของแคว้นชิงหลวนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันแทนคุณชาย ให้คุณชายไปพักอาศัยด้วยสักสองสามวันย่อมไม่มีปัญหา ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องดีที่ได้ผูกบุญสัมพันธ์กัน”
จู๋เฟิ่งเซียนหัวเราะเสียงดังกังวาน “ไยนักพรตสวี่ต้องยุ่งยากถึงเพียงนี้ ให้พวกคุณชายมาพักอยู่กับข้าก็ได้แล้ว”
หญิงชราจากเรือนแยนจือก็อยากจะเชื้อเชิญพวกเฉินผิงอันเช่นกัน เสียดายก็แต่พวกนางมีแต่สตรี จำเป็นต้องหลบเลี่ยง ไม่สะดวกจะเอ่ยปากจริงๆ จึงได้แต่มองบุญสัมพันธ์ครั้งใหญ่นี้ถูกผู้ฝึกยุทธ์หยาบกระด้างอย่างคนของพรรคต้าเจ๋อช่วงชิงไปกับตา
ฝนบนภูเขาหยุดลงแล้ว เฉินผิงอันสอบถามสวี่ป๋อรุ่ยว่าวันนี้สามารถไปดูต้นกุ้ยของอารามได้หรือไม่ สวี่ป๋อรุ่ยยิ้มกล่าวว่าไม่มีอะไรที่ไม่ได้ แต่ต้องให้เขาเป็นคนนำทาง ห้ามเดินเพ่นพ่านอยู่ในอารามตามใจชอบ
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงพาเผยเฉียน จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียขึ้นเขาไปด้วยกันต่อ ส่วนสี่คนในภาพวาดกลับติดตามจู๋เฟิ่งเซียน ‘มารเฒ่าแห่งแคว้นชิงหลวน’ ไปยังที่พักของเขา
นักพรตน้อยชอบอยู่ข้างกายเผยเฉียน ในอ้อมอกเขาหอบร่มน้ำมันกอบใหญ่ ช่วยไม่ได้ ในอารามเต๋าก็มีแต่เขาที่อายุน้อยสุด คนอื่นๆ ล้วนเป็นคนแก่ที่อายุมากแล้ว อ้าปากก็เหลือฟันอยู่แค่ไม่กี่ซี่ ไม่อย่างนั้นก็เป็นนักพรตที่เข้มงวดจริงจังอย่างสวี่ป๋อรุ่ยอาจารย์อาน้อยของเขา กว่าจะเจอคนรุ่นเดียวกันที่พูดคุยกันได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นักพรตน้อยย่อมลิงโลดอยู่แล้ว
แต่เผยเฉียนกลับไม่สบอารมณ์นัก เหตุใดต้องมาเจอเจ้านกกระจิบน้อยที่พูดเสียงจ้อยๆ อยู่ข้างหูผู้นี้ด้วย คนที่ฝึกตนบนภูเขาไม่ควรจะเหมือนคนหูหนวกตาบอดและเป็นใบ้หรือไร?
เด็กสาวหลิวชิงเฉิงแห่งเรือนแยนจือ เด็กสาวจู๋จื่อหยางหลานสาวของจู๋เฟิ่งเซียนที่พอพ้นจากการปกป้องคุ้มครองของอาจารย์และผู้อาวุโสแล้ว ฝ่ายแรกค่อนข้างจะขลาดกลัว ฝ่ายหลังกลับไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน สอบถามเรื่องเล่าต่างๆ เกี่ยวกับอารามจินกุ้ยจากนักพรตสวี่ป๋อรุ่ยว่าเป็นจริงเท็จ สวี่ป๋อรุ่ยน่าจะเป็นคนที่มีนิสัยอ่อนโยนคนหนึ่งจึงตอบคำถามนางทีละข้ออย่างอดทน คำตอบของเขาทั้งไม่ใส่เสริมเติมแต่ง แล้วก็ไม่ปิดบังอำพราง ทำให้จู๋จื่อหยางรู้สึกดีต่ออารามจินกุ้ยไปด้วย
หลิวชิงเฉิงปลุกระดมความกล้าถามเด็กสาวหน้ากลมของพรรคต้าเจ๋อเสียงเบา “ที่แท้เจ้าไม่ได้ชื่อ ‘หว่านซ่าง’ หรอกหรือ?”
จู๋จื่อหยางตบหน้าผากตัวเอง “ในยุทธภพมีคนไร้เดียงสาอย่างเจ้าได้ยังไงนะ?”
ไม่ได้พูดออกมาตามตรงว่าเด็กสาวใบหน้ารูปไข่ห่านโง่เขลาก็ถือว่าจู๋จื่อหยางออมฝีปากให้แล้ว
หางตาของจู๋จื่อหยางเหลือบไปเห็นมีดสั้นที่ประณีตงดงามตรงเอวของหลิวชิงเฉิง บนปลอกไม้ไผ่สลักคำว่า ‘จุ้ยเอ่อร์’ นางจึงยิ้มถามว่า “มีดสั้นเล่มนี้ของเจ้าสวยมาก ขอข้าดูหน่อยได้ไหม?”
หลิวชิงเฉิงส่ายหน้า พูดอย่างขลาดๆ “นี่คือของตกทอดที่ท่านย่าบุรพาจารย์ไท่ซ่างของข้าทิ้งไว้ให้ จะมอบให้คนอื่นง่ายๆ ไม่ได้”
จู่จื่อหยางยังจะพูดตื๊อต่อ แต่สวี่ป๋อรุ่ยกลับยิ้มบางๆ กล่าวว่า “จู๋จื่อหยาง ห้ามทำให้คนอื่นลำบากใจ วันหน้าหากฝึกตนอยู่ในสำนักเดียวกันต้องระวังไว้ให้มาก”
สำหรับความรู้สึกที่จู๋จื่อหยางมีต่อนักพรตรูปงามซึ่งเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าอารามจางกั่วนับว่าดีไม่น้อย และอีกไม่นานอีกฝ่ายก็อาจจะกลายมาเป็น ‘ศิษย์พี่’ ของตนในอารามจินกุ้ย ดังนั้นจึงยอมปล่อยแม่นางน้อยแห่งอารามแยนจือที่นิสัยนุ่มนิ่มข้างกายผู้นี้ไป
หลิวชิงเฉิงมองนักพรตหนุ่มด้วยสายตาซาบซึ้งใจ ฝ่ายหลังคลี่ยิ้มให้เป็นการตอบรับ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!