กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 380

หลังจากที่พวกเฉินผิงอันเข้าพักยังที่พักของตัวเองแล้ว

ในเรือนที่เงียบสงบหลังหนึ่งซึ่งอยู่ลึกเข้าไปยิ่งกว่าต้นกุ้ยที่อยู่ด้านหลังของอารามจินกุ้ย สวี่ป๋อรุ่ยยืนอยู่กลางลานบ้านอย่างนอบน้อม

ระเบียงใต้ชายคากว้างขวางมากทั้งยังสะอาดเอี่ยม ด้านล่างบันไดมีรองเท้าไม้เกี๊ยะสามคู่ถอดวางอยู่ นักพรตเฒ่าที่มีกลิ่นอายของเซียนก็คือเจ้าอารามจางกั่ว ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร

และยังมีแขกอีกสองท่านที่ออกหน้า ‘ช่วยเหลืออย่างมีคุณธรรม’ กำราบเหล่าคนชั่วที่คิดร้าย และอันที่จริงพวกเขาทั้งสองต่างก็มีความเกี่ยวข้องกับเฉินผิงอัน

เจียงอวิ้นชายหนุ่มร่างกำยำ เหวยเลี่ยงผู้บัญชาการใหญ่ของแคว้นชิงหลวน

เวลานี้คนทั้งสามนั่งล้อมโต๊ะตัวหนึ่ง ต่างคนต่างกำลังกินบะหมี่เจใส่หน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิ เห็ดภูเขา บวกกับผักป่าอีกสองสามชนิดที่ขึ้นบนภูเขาช่วงฤดูใบไม้ผลิ หมี่กึงคั่วน้ำมันกับน้ำแกงตุ๋นด้วยไฟอ่อนหนึ่งถ้วย กลิ่นหอมของอาหารตลบอบอวลไปทั่ว

สวี่ป๋อรุ่ยเล่าความรู้สึกที่ตนเองมีต่อคนกลุ่มของเฉินผิงอันให้ฟังคร่าวๆ แล้ว เจ้าอารามจางกั่วก็ยิ้มแล้วบอกให้ลูกศิษย์ผู้นี้กลับไปพักผ่อน

นักพรตเฒ่าเอ่ยถาม “เป็นความบังเอิญ หรือว่าพวกเขาสืบสาวเบาะแสจนตามมาพบที่นี่?”

เหวยเลี่ยงคิดแล้วตอบว่า “น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญกระมัง หากไม่เป็นเพราะสวี่ป๋อรุ่ยหน้าใหญ่ ป่านนี้คนกลุ่มนี้คงไปดักอยู่ที่หน้าประตูจวนข้าแล้ว”

เหวยเลี่ยงหันหน้าไปมองเจียงอวิ้น “ดูจากสีหน้าของเจ้าที่เปลี่ยนไปก่อนหน้านี้ หรือว่ารู้จักคนผู้นี้?”

เจียงอวิ้นพยักหน้ารับ “เขาเป็นคนของถ้ำสวรรค์หลีจู ครั้งแรกที่พบหน้ากันยังเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง หลายปีที่ผ่านมากลับเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดินจนข้าแทบจำเขาไม่ได้ นิสัยเขาไม่เลว แต่ข้าคาดเดาเอาว่าคนผู้นี้น่าจะเกี่ยวพันกับหลายเรื่อง ก่อนหน้านี้ได้เจอกันที่ท่าเรือหางผึ้งแล้ว แต่ข้าก็ยังไม่กล้าพูดคุยกับเขามากนัก”

เหวยเลี่ยงยิ้มกล่าว “ในเมื่อเป็นคนที่เกิดและเติบโตมาในถ้ำสวรรค์หลีจูก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่หรอก”

สำหรับเรื่องนี้เจียงอวิ้นไม่มีความเห็นต่าง

คนต่างถิ่นที่หิ้วเงินเหรียญทองแดงแก่นทองไปหาโชควาสนาอย่างพวกเขา อันที่จริงยังเทียบไม่ได้กับคนในพื้นที่ที่นั่งรอให้โชควาสนาหล่นลงมาใส่หัวเลยด้วยซ้ำ

แต่เขาก็ถือว่าเป็นคนต่างถิ่นที่ค่อนข้างโชคดี สามารถนำโซ่ตรวนมังกรเส้นนั้นกลับมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้ นี่คือความน่ายินดีที่ใหญ่เทียมฟ้า ด้วยตบะของอาจารย์เขาก็ยังรู้สึกตื่นตะลึงเป็นเท่าตัว ดีใจเป็นล้นพ้น ยิ้มพูดว่าไม่แน่ว่าตนอาจช่วงชิงโชคชะตาของสกุลเจียงอวิ๋นหลินไปไม่น้อยถึงได้เจอกับโชควาสนาที่ใหญ่ถึงเพียงนี้ ตอนนั้นเขาหมายตาโซ่เหล็กที่ห้อยย้อยอยู่เหนือปากบ่อของถ้ำสวรรค์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น พอได้มาอยู่ในมือ อาจารย์ก็ไปหาสหายมาให้ช่วยวิเคราะห์ตรวจสอบ ผลสรุปที่ได้ก็คือ อย่างน้อยก็ต้องเป็นของตกทอดที่ล้ำค่าของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตเซียนเหริน หลังจากคลายตราผนึกเวทลับทั้งหมดแล้วก็จะถือว่าเป็นอาวุธกึ่งเซียนของจริงชิ้นหนึ่ง

เล่าลือกันว่าระดับขั้นที่สูงที่สุดของโซ่พันธนาการมังกรเส้นนี้เรียกว่าโซ่สังหารมังกร พลานุภาพเหนือกว่าข้องราชามังกรที่สามารถกักขังเจียวหลงเซียนดินในยุคบรรพกาลเสียอีก ขอแค่ผู้ฝึกตนใหญ่โยนมันออกไปก็สามารถรัดพันเจียวหลงได้อย่างง่ายดาย สะบัดข้อมือหนึ่งครั้งก็สามารถถลกหนังดึงเส้นเอ็นของเจียวหลงได้คาที่ จนกระทั่งเหลือเพียงโครงกระดูกและไข่มุกหนึ่งเม็ดเท่านั้น

ทว่าโชควาสนาที่ใหญ่ที่สุดของถ้ำสวรรค์หลีจูยังคงไม่ใช่พวก ‘วัตถุไร้ชีวิต’ เหล่านี้

แต่เจ้าตัวน้อยทั้งห้านั้นไม่ใช่ว่าใครที่ขุดดินลึกลงไปสามฉื่อแล้วจะหาเจอได้ ได้แต่อาศัยโชคชะตาฟ้าลิขิตเท่านั้น

แม้แต่หน้าของพวกมัน เจียงอวิ้นยังไม่ได้เห็นสักครั้ง

นักพรตผู้เฒ่าจางกั่ววางตะเกียบลง ตบท้อง “เลี่ยงกินธัญพืชมานานหลายปี เพื่อรับรองแขกผู้มีเกียรติอย่างเจ้าทั้งสองจึงยอมแหกกฎหนึ่งครั้ง รู้สึกไม่เลวเลยทีเดียว”

จางกั่วยิ้มตาหยีถามว่า “ผู้บัญชาการใหญ่เหวย ครั้งนี้อารามจินกุ้ยออกแรงไปตั้งมาก ทั้งเปิดภูเขารับลูกศิษย์ ทั้งจงใจเปิดเผยความลับที่ว่าต้นกุ้ยบรรพบุรุษของสำนักข้าสามารถนำมาหลอมเป็นอาวุธกึ่งเซียน เพื่อล่อให้พวกคิดร้ายปะปนเข้ามา ถึงได้ปิดประตูตีสนัข ช่วยแคว้นชิงหลวนของพวกเจ้าสังหารผู้ฝึกตนจากต่างถิ่นไปได้หลายสิบคน ฮ่องเต้สกุลถังไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรบ้างหรือ?”

เหวยเลี่ยงยิ้มกล่าว “แสดงความคิดเห็น? มีสิ นี่ข้าก็นั่งกินบะหมี่เจอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ?”

จางกั่วยื่นนิ้วมาชี้หน้าเหวยเลี่ยง “ปีนั้นบุรพาจารย์ของอารามว่าไว้ไม่ผิดเลย เจ้าคนขี้เหนียว! มิน่าเล่าถึงได้บอกไว้ว่าให้อารามจินกุ้ยคบค้าสมาคมกับจวนผู้บัญชาการให้น้อยๆ หน่อย ”

เหวยเลี่ยงยังกินบะหมี่เจเหลืออีกครึ่งชาม แต่เขากลับวางตะเกียบลงแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าถูกชายร่างกำยำแย่งเอาชามไป เหวยเลี่ยงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น พูดกับเจ้าอารามจางกั่วว่า “เจ้ารู้จักพอซะเถอะ เมื่อแรกเริ่มที่อารามจินกุ้ยถูกสร้างขึ้นก็ไม่มีควันธูปอะไร ใครเป็นคนเชิญให้หลี่ถวนจิ่งมากินบะหมี่เจที่นี่? และยังมีครั้งนี้อีก คุณชายใหญ่ของสกุลเจียงอวิ๋นหลินก็มาด้วย เจ้าจางกั่วเป็นคนเชิญมาเองงั้นรึ? แค่บะหมี่เจชืดๆ ถ้วยหนึ่ง ต่อให้เจ้ายกมาวางไว้ตรงหน้าคนเขา เจียงอวิ้นจะยังเต็มใจจับตะเกียบขึ้นหรือไร?”

เจียงอวิ้นก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ พูดอย่างไม่ไว้หน้าเหวยเลี่ยง “แค่ตะเกียบคู่เดียวก็พอ แต่เอาบะหมี่มาหลายๆ ชามหน่อย”

จางกั่วหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง อารมณ์ดีอย่างยิ่ง

ในความทรงจำของเขา ลูกหลานสกุลเจียงอวิ๋นหลินแต่ละคนเย่อหยิ่งไม่เห็นหัวใคร ผู้ฝึกตนหนุ่มที่ชื่อว่าเจียงอวิ้นผู้นี้กลับต่างออกไป ในเมื่อเดินทางมาพร้อมกับเหวยเลี่ยง อีกทั้งยังสนิทสนมกันมาก ก็น่าจะไม่ได้มีชาติกำเนิดมาจากสกุลเจียงสายรอง แบบนี้ก็น่าสนใจแล้ว

เหวยเลี่ยงลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวว่า “จางกั่ว นังหนูจากเรือนแยนจือผู้นั้น วันหน้าคงต้องรบกวนให้เจ้าช่วยดูแลให้มาก”

จางกั่วยิ้มมีเลศนัย “มีดตัดกระดาษ ‘จุ้ยเอ่อร์’ ที่ห้อยอยู่ตรงเอวของนังหนู น่าจะเป็นของที่ปีนั้นเจ้ามอบให้บุรพาจารย์หญิงบางคนของเรือนแยนจือกระมัง?”

เหวยเลี่ยงถอนหายใจหนึ่งที

จางกั่วไม่คิดได้คืบจะเอาศอก เรื่องราวความรักความแค้นระหว่างชายหญิงเหล่านี้ อันที่จริงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางทุกคนล้วนต้องมีกันมาบ้างไม่มากก็น้อย ย้อนกลับมาดูก็เป็นเพียงแค่หมอกควันที่ลอยผ่านตาไปเท่านั้น

แค่ต้องดูที่ว่าผู้ฝึกตนคนนั้นจะเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนหรือไม่

บุญคุณความแค้นล่างภูเขาในอดีต เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้กลายเป็นตระกูลเซียนแล้ว สถานการณ์จะซับซ้อนอย่างยิ่ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!