ในขณะที่นักปราชญ์และวิญญูชนแห่งสำนักศึกษากำลังนั่งกินบะหมี่เพียนเอ๋อร์ชวนตรงข้ามกัน ในเมืองหลวงห่างไปไม่ไกลมีอารามเต๋าขนาดเล็กที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังอยู่แห่งหนึ่ง เจ้าอารามคือนักพรตวัยกลางคน ไร้ชื่อไร้สัญชาติในแคว้นชิงหลวน หากนับแค่ฐานะผู้ฝึกตนย่อมไม่มีค่าพอให้พูดถึง เจ้าอารามท่านนี้ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับอารามเต๋าเก่าแก่ทั้งหลายที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาหลายร้อยหรือหลายพันปีในแคว้นชิงหลวน อารามเมฆขาวแห่งนี้เพิ่งจะสร้างขึ้นแค่ร้อยกว่าปี พื้นที่ฮวงจุ้ยดีๆ ในเมืองหลวงล้วนถูกวัดวาอารามที่เป็น ‘ผู้อาวุโส’ ทั้งหลายแบ่งกันไปจนหมดสิ้นแล้ว
อารามเมฆขาวที่มีขนาดเหมือนก้อนเต้าหู้แห่งนี้จึงจำต้องอยู่ติดกับตลาดที่เสียงดังจอแจ ทว่าด้านในอารามกลับมีต้นไม้โบราณอยู่หลายต้น แต่สิ่งที่พอจะเอามาออกหน้าออกตาได้อย่างถูไถนี้กลับสร้างปัญหาใหญ่ให้กับอารามเมฆขาว เด็กๆ ที่อยู่ใกล้กับตลาดชอบเล่นว่าว ว่าวจึงมักจะลอยมาติดอยู่บนต้นไม้ใหญ่ในอารามเป็นประจำ ดังนั้นทุกๆ สามวันห้าวันจึงจะมีสตรีแต่งงานแล้วหรือไม่ก็ชายฉกรรจ์พาเด็กๆ ที่ร้องไห้โยเยมายืนด่าอยู่นอกอาราม ด่าจบก็ค่อยเข้ามาในอารามเต๋าเพื่อตำหนินักพรตน้อยที่ขลาดกลัวทั้งหลาย บอกให้พวกเขานำบันไดพาดต้นไม้แล้วเก็บว่าวกลับมา พอได้ว่าวกลับคืน พวกเด็กๆ ยิ้มทั้งน้ำตา พวกผู้ใหญ่ที่ต้องพักงานในมือเสียเวลามาทำเรื่องไร้สาระส่วนใหญ่จะยังสบถด่าต่อ หนีไม่พ้นประโยคทำนองว่าต้นไม้ผุๆ ที่เป็นตัวปัญหาพวกนี้ ทำไมไม่รู้จักรีบๆ ตัดมาทำเป็นฟืนไปซะ
อันที่จริงทุกครั้งเจ้าอารามวัยกลางคนที่รูปร่างผอมแห้งจะเดินออกมาจากหอหนังสือ แต่ก็แค่กล้ามาแอบยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ไกลๆ เท่านั้น ปล่อยให้ศิษย์น้องหรือไม่ก็ลูกศิษย์รับหน้าที่เป็นหนังหน้าไฟ
มีครั้งหนึ่งนักพรตน้อยของอารามแอบวิ่งออกไปเล่นว่าวกับเด็กละแวกใกล้เคียงที่สนิทกัน ไม่ทันระวังก็ทำให้ว่าวมาติดอยู่บนต้นไม้เหมือนกัน ความคิดในหัวตีกันอยู่พักใหญ่ เพราะเสียดายว่าวตัวนั้นมากจริงๆ จึงฝืนใจมาบอกกับทางอาราม ผลกลับกลายเป็นว่าถูกอาจารย์เจ้าอารามคว้าตัวมาระบายโทสะ ตีจนก้นเกือบลายพร้อย แต่ว่าวันนั้นนักพรตน้อยก็ยิ้มหน้าบาน ที่แท้ไม่รู้ว่าตุ๊กตากระเบื้องที่เขาอยากได้มานานมาอยู่ในผ้าห่มของเขาได้อย่างไร ทำให้เขาเอาไปโอ้อวดกับเด็กๆ คนอื่นได้เป็นนาน
เวลานี้เป็นยามพลบค่ำแล้ว นักพรตวัยกลางคนอยู่ในหอหนังสือขนาดเล็ก เงยหน้าจ้องมองตัวอักษรบนตำราอยู่เป็นนานจนตาเขาเริ่มจะเจ็บเล็กน้อย
บนชั้นหนังสือชั้นหนึ่งในนั้นที่ทั้งสองด้านต่างก็สูงจรดเพดาน นอกจากจะเก็บคัมภีร์เต๋าครบชุดที่มากมายมหาศาลแล้ว อันที่จริงยังปะปนไปด้วยพระไตรปิฎกและคัมภีร์ลัทธิขงจื๊อด้วย
นักพรตวัยกลางคนไล่อ่านอย่างละเอียดจนจบ ลำพังแค่ฉบับร่างของตัวอักษรเล็กๆ ที่สรุปเขียนจากความเข้าใจของตัวเองตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ก็มีมากถึงเก้าแสนกว่าตัว
คนอื่นฝึกตนเพื่อได้ดูแคลนเหล่าผู้สูงศักดิ์ เพื่อบรรลุความเป็นอมตะไม่ดับสลาย เพื่อหลุดพ้นจากกรงขังขนาดใหญ่ของฟ้าดิน ทว่าเจ้าอารามของอารามเต๋าขนาดเล็กท่านนี้กลับเพื่อให้ได้มีชีวิตต่ออีกหลายๆ ปี จะได้อ่านหนังสือได้มากขึ้น
ตำราของอริยะปราชญ์สามลัทธิร้อยสำนักล้วนต้องอ่านให้หนึ่งครบ
……
แม้ว่าตอนนี้กลุ่มของเฉินผิงอันจะถือว่าอาศัยอยู่ใต้ชายคาของพรรคต้าเจ๋อ แต่จู๋เฟิ่งเซียนกลับไม่เคยมาเยือนที่พักของเฉินผิงอันเพื่อตีสนิทเขา แค่เช้าตรู่ของวันชมงานพิธีมาเรียกให้เฉินผิงอันขึ้นเขาไปยังอารามจินกุ้ยที่อยู่บนยอดเขาด้วยกัน
ระหว่างทางที่เดินขึ้นเขา จู๋เฟิ่งเซียนเดินเคียงไหล่ไปกับเฉินผิงอัน เรื่องที่พูดคุยกันก็มีแค่เรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีของแคว้นชิงหลวน
พอไปถึงหน้าประตูอารามจินกุ้ย สวี่ป๋อรุ่ยก็ยิ้มรอต้อนรับอยู่แล้ว เขาพาคนสองกลุ่มของจู๋เฟิ่งเซียนและเฉินผิงอันไปนั่งข้างกันตรงแถวหน้าสุดของสถานที่ที่อารามทำพิธีรับลูกศิษย์
สุดท้ายจางกั่วเซียนซือผู้เฒ่าเจ้าอารามรับลูกศิษย์ไปเก้าคน จู๋จื่อหยางและหลิวชิงเฉิงล้วนเป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย อีกเจ็ดคนที่เหลือ มีสองคนที่เป็นคู่พี่สาวน้องชายซึ่งมีชาติกำเนิดเป็นชาวบ้านธรรมดา อีกห้าคนที่เหลือล้วนเป็นลูกหลานชนชั้นสูงจากสามแคว้นอย่างชิงหลวน ชิ่งซานและอวิ๋นเซียว
เมื่อรวมคนสามคนซึ่งมีสวี่ป๋อรุ่ยเป็นหนึ่งในนั้น เจ้าอารามจางกั่วก็มีลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งหมดสิบสองคน
นักพรตน้อยที่เอาร่มให้เผยเฉียนยืม ตอนนี้กลายเป็นศิษย์พี่ของคนทั้งเก้าที่เข้าสำนักมาพร้อมกันในภายหลัง เขายืนอยู่ด้านหลังสวี่ป๋อรุ่ย ดีใจจนยิ้มกว้างแทบหุบปากไม่ลง
จากนั้นเขาก็รีบหันมามองเผยเฉียน แต่กลับค้นพบว่านางไม่ได้มองตนเลยแม้แต่น้อย นักพรตน้อยจึงอดผิดหวังนิดๆ ไม่ได้
เรื่องที่เซียนซือลัทธิเต๋ารับลูกศิษย์ ใช้คำว่าพิธีการซับซ้อนยิบย่อยก็ไม่เกินจริงไปแม้แต่น้อย ถึงกับเสียเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วยาม
ชมพิธีเสร็จ เหล่าผู้นำของขั้วอิทธิพลต่างๆ อย่างเฉินผิงอัน จู๋เฟิ่งเซียน และหญิงชรา ฯลฯ ทางอารามจินกุ้ยมอบร่มกระดาษน้ำมันกิ่งกุ้ยที่ราคาไม่ธรรมดาให้คนละหนึ่งคัน
จู๋เฟิ่งเซียนยังจะพักอยู่ที่กึ่งกลางภูเขาอีกหลายวัน ถึงอย่างไรจู๋จื่อหยางก็เพิ่งกลายเป็นลูกศิษย์ของจางกั่วเจ้าอารามจินกุ้ย บางทีนางอาจจะยังไม่เคยชินหรือปรับตัวเข้ากับสภาพดินฟ้าอากาศไม่ได้ จู๋เฟิ่งเซียนจึงยังไม่วางใจที่จะลงภูเขาแล้วจากไปทั้งอย่างนี้
ได้ดูพิธีรับลูกศิษย์โดยไม่ต้องเสียเงิน และยังได้ร่มกิ่งกุ้ยมาเปล่าๆ บอกลากับจู๋เฟิ่งเซียนและหญิงชราจากเรือนแยนจือผู้นั้นแล้ว พวกเฉินผิงอันก็ลงจากภูเขาชิงเย่า เร่งเดินทางกันต่ออีกครั้ง เดินไปบนทางเล็กในผืนป่าที่มืดลึกและเงียบสงบ มุ่งหน้าไปยังจวนผู้บัญชาการทหารสูงสุด
วัวดินสีเหลืองเข้ามาร่วมขบวน เผยเฉียนขี่อยู่บนหลังของมัน
ก่อนหน้านี้ครั้งแรกที่เผยเฉียนเรียกร้องว่าจะขี่วัวสีเหลืองก็ถูกเฉินผิงอันเขกมะเหงกแบบเน้นๆ ไปหนึ่งที ทว่าวัวเหลืองกลับไม่ได้ปฏิเสธ ยอมปล่อยให้เผยเฉียนนั่งอยู่บนหลังของตัวเอง
เมื่อเทียบกับคนทั้งสี่ในภาพวาดของพื้นที่มงคลดอกบัว จางซานเฟิงกับสวีหย่วนเสียรู้เรื่องบนภูเขามากกว่า ดังนั้นจึงค่อนข้างจะตกตะลึงมากเป็นพิเศษ
ผ่านไปอีกสิบวัน พวกเขาก็ได้เดินทางผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่สามด้านล้อมรอบด้วยภูเขา ช่วงสนธยา ควันจากการทำอาหารลอยกรุ่น กระเบื้องดำกำแพงขาว คานแกะสลักเสาลงสี งดงามเงียบสงบดุจแดนสุขาวดี
พวกเฉินผิงอันเดินตามทางเล็กๆ บนสันเขาลงไปก็ถึงหมู่บ้าน แต่กลับพบว่าสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ยังดีที่ภายหลังมีอาจารย์สอนหนังสือในหมู่บ้านคนหนึ่งออกมา เขาสื่อสารกับเฉินผิงอันด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปอย่างติดๆ ขัดๆ บังเอิญยิ่งนัก เฉินผิงอันจึงได้รู้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีแต่คนแซ่เฉินแทบทั้งหมด คนแต่ละรุ่นจะต้องฝึกวรยุทธ์ทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกัน แต่ตามกฎบรรพบุรุษที่ตั้งไว้ ต่อให้จะเป็นครอบครัวที่ยากจนแค่ไหน เด็กๆ ก็ต้องเรียนให้จบชั้นประถมปีที่สี่เสียก่อนถึงจะออกจากโรงเรียนไปทำไร่ทำนาได้
ประมุขตระกูลคือผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบปีคนหนึ่ง สีหน้าท่าทางแข็งแรงกระฉับกระเฉง ก้าวเดินรวดเร็วราวกับบิน สวมชุดกว้าตัวยาว (ชุดแบบจีนที่ยาวเกินเข่า) สีเทา สวมรองเท้าผ้า ตามคำบอกของอาจารย์ที่สอนหนังสือคนนั้น ประมุขผู้เฒ่าท่านนี้มีวรยุทธ์สูงส่งที่สุดในพื้นที่รัศมีหลายร้อยลี้นี้ อีกทั้งยังมีชื่อเสียงและคุณธรรมสูงส่ง เพราะปีนั้นมีวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่เคยขวางม้าช่วยชีวิตเด็กในตลาดที่วุ่นวาย ดังนั้นจึงได้รับการขนานนามอย่างให้เกียรติว่า ‘เฉินซุ้มประตู’ (เพราะซุ้มประตูในสมัยศักดินาถูกสร้างขึ้นเพื่อยกย่องผู้ที่ทำความดีความชอบ) พอผู้เฒ่าได้ยินว่าเฉินผิงอันก็แซ่เฉินเหมือนกันก็ดีใจอย่างถึงที่สุด เชื้อเชิญพวกเขาให้ไปเป็นแขกที่บ้านอย่างกระตือรือร้น เดิมทีทุกคนกินข้าวเย็นกันเสร็จแล้ว แต่ผู้เฒ่าก็บอกให้คนในครอบครัวทำอาหารโต๊ะใหญ่มาใหม่ ผู้เฒ่าน้ำเหล้าเกาเหลียงที่หมักเองออกมา แล้วนำพาเฉินผิงอันดื่มเหล้าด้วยกัน
แม้ว่าผู้เฒ่าจะชอบดื่มเหล้า แต่เวลาอยู่ในวงเหล้ากลับไม่ชอบคะยั้นคะยอให้คนอื่นดื่ม เมื่อเป็นเช่นนี้กลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันดื่มจนเพลินเสียเอง
สุดท้ายถึงขั้นไม่รู้ว่ากลับไปที่พักได้อย่างไร ตอนที่ตื่นขึ้นมากลางดึกถึงได้พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงใหญ่ไม่คุ้นตาด้วยท่าทางประหลาด เขาเลิกผ้าห่มออก สวมรองเท้าผลักประตูเดินออกไป เงยหน้ามองด้านบนเห็นโต่วกง (โครงสร้างรับหลังคาแบบจีน มีลักษณะเป็นการเข้าไม้แบบตุ๊กตาหลายๆชิ้นทบซ้อนขึ้นไป) ที่ประณีตงดงาม ตอนนั้นที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวได้ขอตำรากรมโยธาที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสะพานจำนวนมากมาจากราชครูจ้งชิว หนึ่งในนั้นมีเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า ‘รูปแบบมาตรฐานการก่อสร้าง’ ที่เฉินผิงอันเปิดอ่านบ่อยที่สุด ไม่ได้มีแค่เรื่องการสร้างสะพานเท่านั้น ยังมีคำแนะนำถึงการสร้างสิ่งปลูกสร้างอย่างบ้าน หอเรือน ฯลฯ อีกด้วย เฉินผิงอันอ่านจนติดงอมแงม
บ้านเรือนส่วนใหญ่ของหมู่บ้านแห่งนี้เชื่อมติดกัน เป็นเหตุให้ระเบียงยาวมากเป็นพิเศษ พี่น้องแม้จะแยกบ้านไปแล้ว แต่กลับยังเป็นเพื่อนบ้านกัน
เฉินผิงอันเดินออกไปจากระเบียงเส้นนั้น เลียบเส้นทางหินสีดำไปถึงข้างบ่อน้ำแห่งหนึ่ง ยืนนิ่งอยู่ที่นั่นพักใหญ่
อันที่จริงก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก แค่ยืนเหม่อเท่านั้น
วันที่สองก็ยังถูกประมุขตระกูลผู้เฒ่ารั้งตัวเอาไว้อย่างยากที่จะปฏิเสธคำเชื้อเชิญได้
แม้ว่าเผยเฉียนจะพูดภาษาท้องถิ่นไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถเล่นกับคนวัยเดียวกันได้อย่างสนุกสนาน
วันนี้ตอนที่ไปเรียกให้เผยเฉียนมากินข้าว เด็กทั้งกลุ่มกำลังเล่นเหยี่ยวจับลูกเจี๊ยบกันอยู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!