เฉินผิงอันมาที่โต๊ะกินข้าวของประมุขสกุลเฉินแล้วนั่งลงตรงตำแหน่งของจางซานเฟิง บอกกับสวีหย่วนเสียอย่างง่ายๆ ว่าจางซานเฟิงถูกอาจารย์ของเขาพาตัวไปแล้ว สำหรับจอมยุทธ์เคราดกแล้ว อย่าว่าแต่เรื่องการจากลาเลย ในอดีตเขาเคยมีชาติกำเนิดอยู่ในสนามรบ เรื่องความเป็นความตายล้วนเห็นมาจนชินแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกเศร้าใจเท่าไหร่นัก เฉินผิงอันดื่มเหล้าร่วมกับสวีหย่วนเสียสองสามจอก ก่อนจะมาที่โต๊ะกินข้าว ในมือเฉินผิงอันหิ้วเหล้าหมักกุ้ยฮวาสองกา กาหนึ่งมอบให้แก่ผู้เฒ่าที่สวมชุดคลุมตัวยาว ส่วนอีกกาหนึ่งเอามาดื่มร่วมกับสวีหย่วนเสีย
ผู้เฒ่าดื่มเหล้าเกาเหลียงที่หมักเองมาทั้งชีวิต ความทรงจำที่มีต่อเหล้าจึงเป็นประมาณว่าแสบร้อนลำคอ เผาไหม้ท้องไส้ แถมยังเป็นคนที่มีนิสัยตรงไปตรงมาจึงบอกให้อาจารย์ที่สอนหนังสือซึ่งนั่งอยู่ข้างกายบอกกับเฉินผิงอันด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปว่าเหล้านี่น่าจะแพงมาก เพียงแต่รสชาติอ่อนนุ่มไปหน่อย ไม่แรงพอ ขาดรสชาติบางอย่างไป ให้สตรีในหมู่บ้านดื่มน่าจะกำลังดี สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันก็ได้แต่จนใจ สวีหย่วนเสียรู้ดีถึงความล้ำค่าของเหล้าหมักกุ้ยฮวาว่าเป็นเหล้าตระกูลเซียนที่สามารถต่ออายุขัยให้คนธรรมดาได้ เหล้ากาเล็กกานี้ ต่อให้เอาเหล้าเกาเหลียงทั้งหมู่บ้านมารวมกันก็ยังซื้อไม่ได้ ผลกลับถูกผู้เฒ่าชุดคลุมยาวพูดซะเสียหาย ชายฉกรรจ์เคราดกได้ยินแล้วเกือบจะสำลักตาย
พอกินอาหารแล้ว เฉินผิงอันกับสวีหย่วนเสียก็ไปเดินเล่นอยู่ในหมู่บ้านที่เงียบสงบ หลังจากเฉินผิงอันคืนมีดสั้นเล่มนั้นแล้ว สวีหย่วนเสียก็เก็บมีดสั้นลงไป ได้ยินคำอธิบายถึงอาจารย์ของจางซานเฟิงจากปากเฉินผิงอัน สวีหย่วนเสียก็ตกตะลึงอย่างมาก “การย่อพื้นที่ให้หดสั้นของผู้ฝึกลมปราณ เดิมทีก็มีต้นกำเนิดมาจากก้าวลมกรดของลัทธิเต๋า จางซานเฟิงคือนักพรตต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ อาจารย์ของเขาเชี่ยวชาญวิชานี้ไม่น่าแปลกใจ เพราะสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังคงเป็นวิชาของสำนักตัวเอง ประเด็นสำคัญคือต้องดูที่ว่าใช้วิชาอภินิหารครั้งหนึ่งสามารถไปได้ไกลแค่ไหน หนึ่งครั้งไปได้สิบกว่าจั้งกับหลายสิบจั้ง ทั้งสองฝ่ายย่อมต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่หากจะบอกว่าสามารถวาดยันต์ไว้ใต้ฝ่าเท้า พาคนจากไปด้วยกันได้ กลับยังไม่เคยได้ยินมาก่อน”
สวีหย่วนเสียกล่าวต่อ “หากแค่นี้ก็แล้วไปเถิด ทว่าการที่เขาวาดยันต์กลางฝ่ามือจางซานเฟิงก็สามารถเอากระบี่เจินอู่และมีดสั้นกลับมาได้จากระยะทางยาวไกลนับพันลี้ นั่นมันคือวิชาอะไร?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ไม่รู้เหมือนกัน”
สวีหย่วนเสียยิ้มกล่าว “ไม่ว่าจะอย่างไรก็ถือเป็นเรื่องดีที่จางซานเฟิงมีอาจารย์ที่มีวิชาล้ำเลิศเช่นนี้ เพียงแต่เจ้าหมอนั่นไม่มีคุณธรรมสักเท่าไหร่ เอาแต่ปิดบังไว้ ทำให้ข้าเข้าใจผิดมาตลอดว่าเขาคือลูกศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักบนภูเขาที่ไม่เข้าขั้นของอุตรกุรุทวีป ถึงอย่างไรพวกนักต้มตุ๋นที่บอกว่าตัวเองเป็นเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ ลงจากภูเขามากำจัดปีศาจปราบมารก็มีมากมาย ตลอดทางที่เดินทางกันมาข้าเป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา คอยหยั่งเชิงถามอยู่หลายครั้ง อยากจะแน่ใจว่าเขาเข้าไปอยู่ในสำนักที่ขุดหลุมดักเงินของคนอื่นหรือไม่ หากไปกราบไหว้นักต้มตุ๋นที่มีความรู้งูๆ ปลาๆ เป็นอาจารย์เข้าจริงๆ ก็ควรจะกลับตัวเสียแต่เนิ่นๆ ไม่ต้องย้อนกลับไปที่อุตรกุรุทวีปแล้ว ดีนะที่ตอนนั้นข้าไม่ได้อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นคงถลึงตามองจนตาแทบหลุดออกจากเบ้าไปแล้ว”
เฉินผิงอันหัวเราะเหมือนคนมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
สวีหย่วนเสียยังลังเลใจอีกเล็กน้อย
คนทั้งสองเดินเลียบเส้นทางหินดำของบ่อน้ำไปอย่างเชื่องช้า เฉินผิงอันกล่าวว่า “พี่ใหญ่สวีมีอะไรก็พูดมาตามตรงเถอะ ระหว่างพวกเรายังจะต้องเกรงใจอะไรกันอีก”
สวีหย่วนเสียจึงเอ่ยว่า “การเดินทางมาแคว้นชิงหลวนครั้งนี้ แรกเริ่มเป็นจางซานเฟิงที่เอาเถ้าอัฐิของสหายโกศนั้นมาส่งเป็นเพื่อนข้า ภายหลังเป็นข้าที่ไปชมงานสัมมนามหายานและพิธีหลัวเทียนร่วมกับจางซานเฟิง ตอนนี้จางซานเฟิงไปจวนเทียนซือที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกับอาจารย์ของเขาแล้ว ข้าเลยเริ่มคิดถึงบ้านขึ้นมาบ้างแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นก็รีบกลับไป”
สวีหย่วนเสียหยุดเดิน ยื่นฝ่ามือออกมาลูบเคราข้างแก้ม “พเนจรอยู่นอกบ้านมานานหลายปี นอกจากส่งเงินที่ได้จากการเป็นทหารและจดหมายกลับไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าที่บ้านเกิดเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างแล้ว”
เฉินผิงอันถามเบาๆ “ให้ข้าไปกับท่านดีไหม? หากท่านรู้สึกว่าพวกเว่ยเซี่ยนสี่คนไม่ควรไป ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพาเผยเฉียนไปกับท่านแค่คนเดียว ให้พวกเว่ยเซี่ยนรออยู่ที่เมืองหลวงแคว้นชิงหลวนก่อน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!