ชุยตงซานเดินข้ามธรณีประตูใหญ่เข้ามานานแล้ว เขาเอามือสองข้างไพล่หลัง จ้องนิ่งมองไปยังร่างทองของเทวรูปที่สูงหนึ่งจั้ง ถึงอย่างไรก็เป็นการตั้งบูชาในศาลบู๊ของอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่ง จึงไม่มีการปิดทองตกแต่งภายนอกมากนัก ดังนั้นเทวรูปดินเผาเองก็ไม่สูงเท่าไหร่ เวลานี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จมอยู่ในปลักดินโคลนองค์นี้อยู่ในสภาวะหลับสนิท หากไม่ได้กำลังไปเข้าฝันชาวบ้านหรือขุนนางท้องถิ่นก็คงกำลังหาวิธีรับมือกับการแทรกซึมของควันธูปที่ได้มาไม่ถูกวิธีอย่างยากลำบาก
หลังจากที่เฉินผิงอันเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ชุยตงซานก็ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาโบกชายแขนเสื้อ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อาจารย์สามารถอาศัยโอกาสนี้มาดูการเผยตัวของโชคชะตาบู๊ในโลกใบนี้”
เพิ่งจะขาดคำของเขา เฉินผิงอันก็ได้ยินเสียง ‘ติ๋ง’ ดังขึ้นในทะเลสาบหัวใจ
เงยหน้ามองไปก็เห็นว่าตรงจุดสูงมีน้ำสีทองหยดหนึ่งหยดลงมา สุดท้ายร่วงหล่นใส่กระถางธูปที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเทวรูปจึงเกิดริ้วกระเพื่อมเบาๆ
เพียงแต่เฉินผิงอันตั้งใจรออยู่พักใหญ่ก็ไม่เห็นน้ำฝนสีทองหล่นลงมาจากฟ้าอีกแล้ว
ชุยตงซานหลุดหัวเราะพรืด “นี่ก็คือโชคชะตาบู๊แห่งแคว้นชิงหลวนของสกุลถังแล้ว หากเป็นราชวงศ์สกุลหลูในอดีต ไม่ว่าจะเป็นในศาลบู๊แห่งใดก็ล้วนมีภาพที่หยดน้ำหลายหยดร่วงหล่นติดต่อกันมาอย่างรวดเร็วจะแทบจะกลายเป็นเส้นยาว นี่ไม่เกี่ยวข้องกับระดับความสูงต่ำของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่ว่าเชื่อมโยงกับโชคชะตาแคว้นของหนึ่งแคว้นว่าสั้นหรือยาว เกี่ยวพันกับโชคชะตาบู๊ว่าหนาหรือบาง อีกทั้งผู้ฝึกลมปราณทั่วไป ต่อให้เป็นเซียนดินก็ยังได้แค่มองดูดายอยู่ข้างๆ ข้าเองก็แค่พอจะรู้เวทลับยุคบรรพกาลบางอย่าง อีกทั้งยังเรียนรู้วิชาที่เกี่ยวข้องกับควันธูปขององค์เทพมาจากเสินจวินผู้เฒ่าในร้านยามาบ้าง ถึงได้พอจะทำให้มันปรากฏตัวได้ ส่วนพวกแคว้นซูสุ่ย แคว้นไฉ่อีที่อาจารย์เคยเดินทางผ่านนั้น ยังสู้แคว้นชิงหลวนที่มีของเหลวสีทองควันธูปหนึ่งหยดหล่นลงมาภายในเวลาหนึ่งก้านธูปไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่แน่ว่าต้องใช้เวลาถึงสองสามก้านธูปกว่าจะรวบรวมได้หนึ่งหยด”
และพอเฉินผิงอันรอจนครบเวลาหนึ่งก้านธูปก็ได้เห็นฝนควันธูปสีทองอันเป็นสัญลักษณ์ของชะตาบู๊หยดลงมาอีกครั้งจริงๆ
เฉินผิงอันพอจะเข้าใจบ้างแล้ว ตอนนั้นที่อยู่ในนครมังกรเฒ่า วิญญาณกระบี่บอกว่าเผยเฉียนคือ ‘ตัวอ่อนชะตาบู๊’ นั่นเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้ยินคำเรียกนี้
เมื่อเอามาเชื่อมโยงเข้ากับคำพูดของชุยฉานในคืนนี้จึงเริ่มชัดเจนมากขึ้น คิดดูแล้วน่าจะคล้ายคลึงกับการที่เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอมองปราดเดียวก็มองออกว่าแก่นควันธูปของแต่ละเดือนมีกี่จินกี่ตำลึง ส่วนตระกูลเซียนบนภูเขาก็มีต้นไม้และหญ้าวิเศษที่นำมาใช้ช่วยตรวจสอบโชคชะตาภูเขาและแม่น้ำว่ามีมากหรือน้อย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้ากำลังรอให้ข้าถามเจ้าว่าศาลบู๊ของต้าหลีเป็นอย่างไรใช่ไหม?”
ชุยตงซานกุมหมัดคารวะ ก้มหน้าหัวเราะ “อาจารย์ช่างกระจ่างแจ้งในเรื่องทางโลก ครั้งนี้ออกจากบ้านเดินทางไกลมาได้แค่ไม่กี่ปีก็มีจิตใจเช่นนี้แล้ว ไม่เสียแรงที่เป็นผู้มีพรสวรรค์ ดั่งเทพในร่างคน”
เฉินผิงอันมองชุยตงซานปราดหนึ่ง ลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่ก็ยังถามว่า “ราชวงศ์ต้าตวนของแผ่นดินกลางที่มีเทพีสงคราม ภาพบรรยากาศในศาลบู๊ของพวกเขาจะไม่ยิ่งแข็งแกร่งยิ่งใหญ่กว่าแคว้นบ้านเกิดของอวี๋ลู่หรอกหรือ?”
ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “นั่นมันแน่อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นสกุลหลิวเทพเจ้าแห่งทรัพย์สินเงินทองของธวัลทวีปจะยินดีลงเดิมพันข้างราชวงศ์ต้าตวนได้อย่างไร นอกจากสำนักการค้า สำนักจ้งเหิงของเมธีร้อยสำนักแล้ว อันที่จริงยังมีระบบการศึกษาอีกไม่น้อยที่เลือกราชวงศ์ต้าตวน”
แต่แล้วชุยตงซานก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเสียดายเล็กน้อย “นอกจากเรื่อง ‘ศาลบู๊ในท้องถิ่น หยดน้ำมองชะตา’ แล้ว อันที่จริงศาลบู๊ดั้งเดิมที่อยู่ในเมืองหลวงของทุกแคว้นยังสามารถมองตรวจสอบได้มากกว่านี้ หรือถึงขั้นมองเห็นการลด การเพิ่มที่เกิดขึ้นเพราะคนบางคนได้อีกด้วย”
ชุยตงซานเดินมานั่งบนธรณีประตูศาลบู๊ เงยหน้ามองไปยังเทวรูปขุนพลบู๊ที่ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ แสงเรืองรองหม่นมัว พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “ในอดีตเคยได้ยินว่าราชวงศ์ต้าตวนมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีชะตาบู๊น่าตะลึงโผล่มา เขาถูกอาจารย์พากลับไปด้วยกัน วันที่เขาเข้าไปอยู่ในถิ่นกำเนิดของราชวงศ์ต้าตวน ภาพบรรยากาศโชคชะตาบู๊ของศาลบู๊แต่ละแห่งที่เดิมทีก็น่าเหลือเชื่ออยู่แล้วยิ่งเปลี่ยนจากน้ำในลำคลองไปเป็นน้ำตกใหญ่หนึ่งสาย กระถางธูปที่เหมือนกลายมาเป็นอ่างน้ำเกิดสะเก็ดน้ำชะตาบู๊จำนวนนับไม่ถ้วนกระเซ็นขึ้นมาจนก่อให้เกิดเสียงดังครืนครั่น ขอแค่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้อยู่ห่างจากศาลไปไกลก็ยังได้ยินเสียงที่น่าตกตะลึงนี้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คนผู้นั้นชื่อเฉาสือ ข้าเคยพบเขาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ยังได้ต่อสู้กับเขาสามครั้ง แพ้ทุกครั้ง ข้าแพ้อย่างยอมศิโรราบให้ทั้งกายและใจ หวังว่าวันหน้าจะไม่ทิ้งระยะห่างจากเขามากนัก และยังมีโอกาสได้สู้กันอีกสามครั้ง”
ชุยตงซานมองเฉินผิงอันที่มีสีหน้าใจกว้าง ยิ้มจริงใจก็ยกนิ้วโป้งให้พลางพูดชมจากใจจริง “อาจารย์ร้ายกาจ ปณิธานสูงส่งยาวไกล…”
คำพูดยกยอประโยคนี้ฟังดูแล้วไม่ประจบเอาใจที่สุด หากมีคนนอกอยู่ด้วย ยกตัวอย่างเช่นสี่คนในภาพวาด ไม่แน่ว่าอาจจะยังรู้สึกว่าชุยตงซานเหมือนจะพูดดี แต่แท้จริงแล้วกลับจงใจแขวะเฉินผิงอัน แต่เฉินผิงอันกลับรู้ดีว่านี่น่าจะเป็นคำพูดที่จริงใจที่สุดของชุยตงซานแล้ว
เพียงแต่ว่าชุยตงซานกลับถอนหายใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย “อาจารย์อยู่ในยุคสมัยเดียวกับคนผู้นี้ เสียเปรียบยิ่งนัก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!