อ่านสรุป บทที่ 382.1 โชคชะตาบู๊ของหนึ่งแคว้น จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บทที่ บทที่ 382.1 โชคชะตาบู๊ของหนึ่งแคว้น คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
หลังจากชุยตงซานยืนได้มั่นคงแล้วก็ปาดน้ำตา วิ่งเหยาะๆ มาหา “อาจารย์นอนกลางดินกินกลางทรายมาตลอดทาง เดินทางไกลอยู่ใต้หล้าไม่ใช่แค่หนึ่งล้านลี้ ลำบากท่านแล้ว ลำบากเหลือเกินแล้ว ศิษย์ไม่อาจคอยอยู่เคียงข้างช่วยอาจารย์คลายทุกข์ สมควรตาย สมควรตายจริงๆ”
หลูป๋ายเซี่ยงกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ จำได้ว่าเฉินผิงอันเคยพูดว่าตัวเองมีลูกศิษย์ที่ ‘ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ’ อยู่คนหนึ่งซึ่งเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาซานหยาต้าสุย เล่นหมากล้อมเก่ง มีโอกาสสามารถประลองฝีมือกันได้
เฉินผิงอันหมุนตัวกลับมานั่งที่ม้านั่งตัวยาว เผยเฉียนที่บนหน้าผากยังแปะกระดาษยันต์สีเหลืองลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยกที่นั่งของตัวเองให้อีกฝ่าย แล้วเดินไปนั่งข้างกายสุยโย่วเปียนแทน
ชุยตงซานก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูเข้ามา แต่กลับไม่ได้นั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน เขาเดินไปหยิบชามและตะเกียบจากในห้องครัวมาให้ตัวเองก่อน สุดท้ายนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเดียวกับหลูป๋ายเซี่ยง ชุยตงซานเตรียมจะคีบเต้าหู้ยี้ที่กินกับโจ๊กขึ้นมา แต่จู่ๆ กลับวางตะเกียบลง “ศิษย์ปวดใจจนมิอาจจับตะเกียบได้”
เฉินผิงอันถามเข้าประเด็นทันที “เจ้าตามมาโดยดูจากเนื้อหาในจดหมายที่ข้าส่งไปให้หลี่เป่าผิงฉบับนั้น? แต่เจ้ามาทำอะไรที่แคว้นชิงหลวน ถึงอย่างไรข้าก็ต้องไปหาพวกเจ้าที่สำนักศึกษาซานหยาอยู่แล้ว มาเพื่องานโต้วาทีพุทธเต๋าน่ะหรือ?”
ชุยตงซานยิ้มตอบ “พวกลูกเจี๊ยบที่แย่งกันจิกอาหาร มีอะไรให้น่าดู ข้ากลัวแต่ว่าหากไม่ทันระวัง…”
ภายใต้สายตาของทุกคนที่จับจ้องมองมา เทพเซียนเด็กหนุ่มที่พูดจาใหญ่โตพลันตบบ้องหูตัวเอง “ไม่โม้แล้วจะตายหรือไง”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ไม่ถามอะไรอีก ชุยตงซานจึงจ้วงตะเกียบเร็วราวกับบิน กินไปไม่น้อยเลย
หลังกินอิ่ม จูเหลี่ยนกับเผยเฉียนช่วยกันเก็บโต๊ะ ชุยตงซานถามผู้เฒ่าหลังค่อมว่าต้องการให้ช่วยหรือไม่ จูเหลี่ยนพูดอย่างเกรงใจว่าไม่ต้อง ชุยตงซานจึงร้องอ้อหนึ่งทีแล้วออกไปจากห้องพร้อมกับเฉินผิงอัน เดินไปทางลานบ้านใต้เพดานเปิดโล่งอย่างสง่างาม
หลูป๋ายเซี่ยงเอ่ยถาม “หากมีเวลาว่าง ขอเล่นหมากล้อมกับเจ้าสักตาจะได้ไหม?”
ชุยตงซานไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา เพียงโบกมือกล่าวว่า “เล่นไม่เป็น”
รอจนเด็กหนุ่มชุดขาวออกไปพ้นจากสายตาแล้ว ทุกคนก็พลันรู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
จูเหลี่ยนยืนอยู่หน้าประตูห้องครัว เช็ดคราบน้ำที่มือ มองเว่ยเซี่ยนที่นั่งอยู่บนบันได ถามด้วยรอยยิ้ม “ว่ายังไง?”
เว่ยเซี่ยนเอ่ยอย่างเฉยเมย “เห็นปลาชัดเกินไปย่อมไม่ดี” (ความหมายก็คือหากคนคนหนึ่งสายตาดีเกินไป ไม่ว่าน้ำในลำคลองจะใสหรือขุ่น เขาก็ล้วนมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีปลาอยู่มากน้อยเท่าไหร่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะคนผู้นี้อาจเจอกับอันตรายหรือไม่ก็อาจต้องตาบอด)
ส่วนหลูป๋ายเซี่ยงก็ถามสุยโย่วเปียน “เจ้ารู้สึกว่าเป็นเพราะคนผู้นี้รู้สึกว่าข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะเล่นหมากล้อมกับเขา หรือเป็นเพราะกลัวว่าตัวเองจะขายหน้า?”
สุยโย่วเปียนตอบไม่ตรงคำถาม “เนื้อหนังมังสาร่างนี้ค่อนข้างจะแปลก”
เผยเฉียนผลุบๆ โผล่ๆ หัวอยู่ตรงหน้าประตูของห้องหลักราวกับว่ายังต้องหลบเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาที่สวมชุดขาวพลิ้วไหวคนนั้น กลัวว่าหากกะพริบตาอีกฝ่ายจะวิ่งออกมาจากระเบียงอีก
ดูท่านางจะกลัวคนผู้นี้มากจริงๆ
เพียงแค่ชั่วเวลากินอาหารหนึ่งมื้อ เผยเฉียนก็มองชุยตงซานผู้นี้เป็นสัตว์ร้ายที่มากับน้ำไหลบ่าแล้ว (เปรียบเปรยถึงหายนะ/พิบัติภัยที่ยิ่งใหญ่มาก)
ราวกับว่าในกลุ่มแค่มีผู้ติดตามที่ว่างงานทั้งวันเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งเท่านั้น นอกจากวันที่ปรากฎตัวซึ่งไม่ปกติแล้ว การแสดงออกของชุยตงซานหลังจากนั้นก็สมกับคำว่าอยู่เฉยไม่ทำอะไร ใช้ชีวิตธรรมดาสามัญอย่างแท้จริง ตอนที่หลูป๋ายเซี่ยงเล่นหมากล้อมกับสุยโย่วเปียน เขาก็ไม่ขยับเข้าไปใกล้ ตอนที่เผยเฉียนฝึกท่ากระบี่บ้าคลั่งก็ไม่แม้แต่จะชายตามอง ตอนที่จูเหลี่ยนก่อไฟหุงหาอาหารก็ไม่เคยช่วยเหลือ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำเอาแต่ตามติดอยู่ข้างกายเฉินผิงอันต้อยๆ
วันนี้พวกเขามาถึงอำเภอขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ด้านในมีศาลบุ๋นศาลบู๊ เพียงแต่ว่าควันธูปของศาลบุ๋นหม่นหมอง ควันธูปของสายบู๊รุ่งโรจน์โชติช่วง เล่าลือกันว่าศาลแห่งนี้ศักดิ์สิทธิ์ในการคุ้มครองปกปักษ์และให้โชคให้ลาภ เมื่อเป็นเช่นนี้ควันธูปจะไม่โชติช่วงได้อย่างไร
พอถึงยามค่ำคืน ศาลบู๊ที่ตอนกลางวันคึกคักคลาคล่ำไปด้วยผู้คนก็เงียบสงบขึ้นเยอะมาก ศาลบุ๋นบู๊จะไม่เหมือนกับศาลอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่จะปิดประตูตอนกลางคืน วันนี้เฉินผิงอันหยุดพักแรมในตัวอำเภอ และพอถึงช่วงกลางคืนก็พาชุยตงซานเดินทางไปที่ศาลบุ๋นบู๊ บอกให้คนทั้งสี่ในภาพวาดอยู่โรงเตี๊ยมเพื่อดูแลเผยเฉียน
คนทั้งสองไปที่ศาลบุ๋นก่อน ด้านในศาลบูชาขุนนางบุ๋นที่ได้สมญานามว่าเหวินเจิน (คือสมญานามขั้นสูงสุด เหวินหมายถึงสุภาพอ่อนน้อม เจินหมายถึงความซื่อสัตย์จงรักภักดี) ในประวัติศาสตร์ของแคว้นชิงหลวน เคยเป็นขุนนางที่เคยสร้างความผาสุกให้กับผู้คนในท้องถิ่น ศาลบุ๋นน้อยใหญ่ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงล้วนตั้งเทวรูปบูชาคนผู้นี้
การที่มาเยือนศาลบุ๋นในยามค่ำก็เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันอยู่บนสันเขาห่างไปไกลแล้วมองลงมาที่อำเภอ หากเพ่งตามองจะพอเห็นได้เลือนๆ ว่าในเมืองมีสองสถานที่ที่อากาศเบื้องบนมีก้อนเมฆทะมึน ปราณชั่วร้ายลอยผุดพุ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่วสี่ทิศของอำเภอ พอเฉินผิงอันค้นพบความผิดปกตินี้ ชุยตงซานก็เลยแย้มพรายความลับของที่แห่งนั้น “ศาลบุ๋นถูกเล่นงาน ถูกผู้ฝึกตนนำมาทำเป็นสะพานข้ามแม่น้ำที่บังคับโคจรให้ขโมยโชคลาภของใครบางคน หากชาวบ้านในเมืองที่เกิดมาก็พอจะมีคุณสมบัติในการฝึกตน ไม่แน่ว่าช่วงนี้หากไปจุดธูปกราบไหว้ก็อาจจะมองเห็นเทวรูปอริยะบุ๋นบู๊หลั่งน้ำตาเป็นสายเลือดได้ในเสี้ยววินาที หรือไม่ตอนกลางคืนที่นอนหลับก็อาจมีเทพสององค์ของที่แห่งนี้มาเข้าฝันบอกเตือน”
เพียงแต่ว่าพอพวกเฉินผิงอันไปเยือนที่ศาลบุ๋น นอกจากปราณอึมครึมที่ค่อนข้างจะเข้มข้นแล้ว ก็ไม่มีลางว่าองค์เทพจะแสดงความศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ออกมา เป็นแค่เทวรูปดินเผาไร้ชีวิตที่มีควันธูปบางเบาล้อมเวียนวนเท่านั้นเอง
ตอนที่ออกมา ชุยตงซานยิ้มอธิบายว่า “ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นคนนอก ไม่เคยจุดธูปในศาลบุ๋นแห่งนี้มาก่อน เดิมทีองค์เทพในพื้นที่องค์นี้ก็มีดวงจิตอ่อนแอดุจตะวันที่ใกล้จะลาลับตกดินอยู่แล้ว ต่อให้อยากจะเผยตัวมาคุยกับพวกเราก็ยังยาก อีกทั้งยังมีความกังขาในตัวพวกเรา ก็ไม่สู้หลบซ่อนตัวรอความตาย ยังไงก็ดีกว่าออกจากร่างทองแล้วถูกพวกผู้ฝึกตนที่มีจิตคิดร้ายจับเอาไว้ ใช้วิธีพันธนาการวิญญาณมากักขัง แบบนั้นไม่เท่ากับพาตัวไปติดร่างแหหรอกหรือ ไม่แน่ว่าจุดจบอาจจะอนาถกว่าร่างทองถูกทำลายเสียอีก”
พอมาถึงศาลบู๊ หัวใจของเฉินผิงอันหดรัดเกร็ง เห็นเพียงว่าท่ามกลางภาพบรรยากาศที่มองดูคล้ายจะเจริญรุ่งเรืองกลับมีความเยียบเย็นน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้คนขนลุกขนชันแทรกซอนอยู่ เพิ่มความร้อนแรงให้กับสถานการณ์ย่อมไม่ใช่แผนการในระยะยาว ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ตอนที่เฉินผิงอันไปดูเศษซากก้านธูปที่เหลืออยู่ในกระถาง คีบออกมาท่อนหนึ่ง เพียงไม่นานมันก็สลายกลายเป็นผุยผงอยู่บนปลายนิ้ว มีกลิ่นคาวจางๆ ขุมหนึ่งลอยโชยมา
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!