ชุยตงซานนอนไม่หลับ ด้วยความเบื่อหน่ายจึงออกจากโรงเตี๊ยมไปเดินเล่นข้างนอกเงียบๆ
บังเอิญเห็นผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตล่างท่าทางยากจนคนหนึ่งกำลังใช้วิชาผีน้อยขโมยเงินชั้นต่ำบังคับให้ภูตผีตัวจิ๋วสิบกว่าตัวไปขโมยเงินเก็บของชาวบ้านครอบครัวหนึ่งมา มองดูแล้วเหมือนมดกำลังย้ายรัง พวกมันจับกลุ่มกันสองตนสามตนร่วมแรงร่วมใจขนเงินเหรียญทองแดงและเศษเงินเม็ด ผู้ฝึกตนนั่งยองอยู่มุมกำแพง ชั่งน้ำหนักเศษเงินสองสามก้อนที่มีค่ามากที่สุดแล้วยิ้มกว้างจนแทบหุบปากไม่ลง
สะสมทีละเล็กทีน้อยจนมากขึ้น ไม่หมิ่นเงินน้อย
ผลคือพอหันหน้ากลับมามองก็เห็นคนหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งนั่งยองอยู่ข้างกายตน นี่มานั่งชมจันทร์เป็นเพื่อนเขาหรือไร?
ผู้ฝึกตนอิสระตกใจสะดุ้งโหยง
ชุยตงซานยิ้มตาหยีพูดว่า “เจ้าทำลงด้วยหรือ? ทำไมถึงไม่ไปขโมยเงินของตระกูลใหญ่ล่ะ?”
ผู้ฝึกตนอิสระกลืนน้ำลาย พูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เพราะพวกเทพทวารบาลของตระกูลใหญ่รับมือยาก ผีน้อยขนเงินที่ข้าฟูมฟักเลี้ยงดูมาอย่างยากลำบากจะถูกพวกเขาฆ่าตายเสียเปล่าๆ เป็นการค้าที่ขาดทุน”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ก็จริงนะ”
ผู้ฝึกตนอิสระกลอกตาว่องไว คิดจะหาทางหนี ต้องฆ่าเด็กหนุ่มท่าทางประหลาดผู้นี้ปิดปาก? เพื่อเงินแค่ไม่กี่ตำลึง คุ้มกันแล้วหรือ? อีกอย่างสวรรค์เท่านั้นกระมังที่รู้ได้ว่าใครจะฆ่าใครกันแน่?
ชุยตงซานยื่นสองนิ้วไปคีบผีน้อยขโมยเงินที่ร่างสูงเท่านิ้วคนขึ้นมาหนึ่งตน จากนั้นวางไว้กลางฝ่ามือ ประกบนิ้วทั้งสิบเข้าด้วยกัน ปั้นๆ คลึงๆ อย่างไร้กฎเกณฑ์อยู่พักหนึ่ง ทำเอาผู้ฝึกตนอิสระที่ตบะน้อยนิดมองจนหนังตากระตุก ดีนักนะ นี่ถือว่าแม่ทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาตายไปคนหนึ่งแล้ว มันจะทนรับการนวดคลึงบดบี้จากคนแบบนี้ได้อย่างไร ผีน้อยขโมยเงินที่เขาเลี้ยงมาพวกนี้มีระดับขั้นต่ำยิ่ง ไม่อย่างนั้นแม้แต่ด่านของเทพทวารบาลก็คงไม่ถึงขั้นข้ามผ่านไปไม่ได้
ในขณะที่ผู้ฝึกตนอิสระกำลังเสียใจอย่างสุดแสนนั้นเอง ชุยตงซานก็แบฝ่ามือออก บนร่างของผีน้อยขโมยเงินที่แสยะปากแยกเขี้ยวตนนั้นคล้ายจะมีชุดสีแดงเพิ่มขึ้นมาอีกตัว เขาโยนมันลงบนพื้น ออกคำสั่งว่า “ไป ไปขโมยทองก้อนหนึ่งมาจากบ้านเศรษฐี”
สองมือของเจ้าตัวน้อยกำเป็นหมัด อมลมแก้มป่องวิ่งฉิวออกไปอย่างขยันขันแข็ง
ผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป มันก็แบกทองก้อนขนาดเท่าเล็บมือมาได้ก้อนหนึ่งจริงๆ
ผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นมองตาค้าง พอคืนสติกลับมาก็รีบกุมมือคารวะ “เซียนซือมีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ ทำให้คนได้เปิดโลกทัศน์แล้ว”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน ร่างทะยานวูบหายไป หลงเหลือเพียงผู้ฝึกตนอิสระที่ตื้นเต้นเป็นกำลัง
เขาไปเยือนศาลบุ๋นบู๊สองแห่งของอำเภอ ชุยตงซานทนรับความพินอบพิเทาของพวกเขาไม่ไหว ชวนคุยสัพเพเหระอยู่ไม่กี่คำก็จากไป
เพราะว่าเบื่อหน่ายอย่างถึงที่สุด ชุยตงซานจึงใช้วิธีแต้มนัยน์ตามังกรกับภาพเทพทวารบาลหลากสีของครอบครัวหนึ่ง ทำให้เทพทวารบาลสองตนสามารถรวบรวมเค้าโครงร่างทองขึ้นมาได้ ห่างจากการเป็นองค์เทพที่แท้จริงอีกประมาณหนึ่งแสนแปดพันลี้ แต่ก็สามารถข่มขู่วัตถุหยินที่ไร้ประโยชน์ที่สุดได้ และสามารถบดบังลมปราณชั่วร้ายได้มากกว่าเดิม จากนั้นก็ไปเยือนครอบครัวเศรษฐีอันดับสองของอำเภอ แงะรูปปั้นสัตว์บนชายคาของพวกเขาทิ้งเล่น
ไร้เป้าหมาย ทำไปตามใจปรารถนา
เซียนดินท่านหนึ่งกลับเบื่อหน่ายได้ถึงขนาดนี้ก็คงมีแค่ชุยตงซานผู้เดียวแล้ว
ค่ำคืนนี้ หลังจากชุยตงซานพาสือโหรวจากไป เฉินผิงอันที่ฝึกท่าฟ้าดินเสร็จแล้วก็เดินออกไปจากห้อง เคาะประตูห้องด้านข้างเบาๆ พูดอย่างฉุนๆ ด้วยรอยยิ้ม “ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่นอนอีก”
เผยเฉียนกำลังนั่งอ่านนิยายจอมยุทธ์เล่มใหม่ที่เพิ่งได้มาไม่นานอยู่ใต้แสงตะเกียง พอเฉินผิงอันมาเคาะประตูก็รีบเป่าไฟให้ดับ กระโจนตัวลงบนเตียงนอน แสร้งทำเป็นว่าเพิ่งจะสะดุ้งตื่น “นอนแล้วนะ ทำไมอาจารย์ยังไม่นอนอีก? ต้องให้ข้าไปเปิดประตูไหม?”
เฉินผิงอันยิ้ม ไม่ได้ถือสาคำโกหกเล็กๆ น้อยๆ นี้ เพียงเอ่ยเตือนว่า “ไม่ต้องเปิดประตู หนังสืออะไรก็เลิกอ่านได้แล้ว เดี๋ยวจะเสียสายตา พรุ่งนี้พวกเราไม่ต้องเร่งเดินทางต่อ ค่อยอ่านใหม่ตอนกลางวัน”
เฉินผิงอันหมุนตัวเตรียมจะเดินจากไป นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงยืนพูดอยู่หน้าประตูอีกว่า “พอข้าจากไปแล้ว เจ้าห้ามเอาตะเกียงไปซ่อนไว้ใต้ผ้าห่มแอบอ่านหนังสืออีก”
เผยเฉียนที่อยู่ในห้องอ้าปากกว้าง อาจารย์ร้ายกาจจริงๆ เรื่องนี้ก็เดาได้ด้วยหรือ?
นางได้แต่ตอบไปว่า “ทราบแล้ว”
หลังจากที่เฉินผิงอันเดินออกไป แม้ว่าจะยังพะวงถึงบุญคุณความแค้นและแสงดาบเงากระบี่ในนิยายเล่มนั้น แต่เผยเฉียนก็ยังอดทนข่มกลั้นต่อความล่อลวง ล้มตัวลงนอน เพียงแต่ว่าดวงตายังเบิกกว้าง ไม่รู้สึกง่วงแม้แต่น้อย ผ่านไปนานกว่าจะค่อยๆ ผล็อยหลับไป
วันที่สองพอกินอาหารเช้าเรียบร้อย ชุยตงซานก็ยังคงมาสอนเฉินผิงอันเล่นหมากล้อมอยู่ในห้องของเขา ยังคงพัวพันอยู่กับรูปแบบปลายแหลมเล็กนั้นอยู่เหมือนเดิม
ก่อนหน้านี้หลูป๋ายเซี่ยงมานั่งดูด้วย พอดูแล้วก็เพลิดเพลินจนละสายตาไม่ได้ สุดท้ายระหว่างชั่วครู่สั้นๆ ก่อนจะวางเม็ดหมาก เขากลับลุกขึ้นแล้วก้าวจากไปเร็วๆ ไปเรียกสุยโย่วเปียนให้มาดูด้วยกัน บอกว่ามหัศจรรย์จนบรรยายไม่ถูก สุยโย่วเปียนเคยถูกหลูป๋ายเซี่ยงใช้ปลายแหลมเล็กเปิดฉากบนกระดาน จากนั้นก็เข่นฆ่าสังหารจนนางต้องโยนหมวกเหล็กทิ้งเสื้อเกราะ นางไม่ยอมแพ้ ปล่อยให้หลูป๋ายเซี่ยงใช้รูปแบบนี้ติดกันสามครั้ง ผลคือเล่นก่อนแต่กลับสูญสิ้นทั้งหมด แพ้เละเทะราบคาบ เป็นเหตุให้นางยอมแหกกฎวางหมากมั่วซั่วสะเปะสะปะไปเป็นชุดๆ อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่ก็ยังไม่อาจกู้คืนสถานการณ์ ดังนั้นตอนที่หลูป๋ายเซี่ยงพูดว่าก่อนหน้านี้ความเข้าใจที่ตัวเองมีต่อปลายแหลมเล็กหนึ่งในใต้หล้ามีแค่แก่นแท้สามสี่ส่วนของมันเท่านั้น สุยโย่วเปียนจึงบังเกิดความสนใจ เลยตามมาดูด้วยว่าชุยตงซานสอนคนอื่นเล่นหมากล้อมอย่างไร แล้วเฉินผิงอันเรียนหมากล้อมจากคนอื่นอย่างไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!