สถานที่ที่เซียนซือพักแรมย่อมต้องเงียบสงบและห่างไกล อีกทั้งเมื่อสร้างสัมพันธ์อันดีกับทางการได้แล้วก็ยังสามารถสร้างค่ายกลที่เก็บรวบรวมน้ำและลมเอาไว้ ปราณวิญญาณจึงเหนือกว่าพื้นที่ทั่วไปในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด
อีกทั้งเทพทวารบาลหลากสีสององค์ที่แปะไว้บนหน้าประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็เป็นยันต์เทพทวารบาลของแท้แน่นอน หากมีภูตผีหรือสิ่งเสนียดจัญไรเข้าใกล้ มัลละเทพที่สวมเสื้อเกราะสีทองก็จะเดินออกมาสยบกำราบกลิ่นอายชั่วร้ายแล้วกลืนกินเหล่าภูตผี
นอกจากนี้ทุกวันบนโต๊ะจะยังมีผลไม้ตระกูลเซียนวางไว้จานเล็กๆ เป็นของดีที่ผู้ฝึกตนสำนักกสิกรรมคนหนึ่งของสวนร้อยบุปผาถนัดที่สุด แล้วก็เป็นป้ายทองเรียกแขกของโรงเตี๊ยมบนภูเขาที่สร้างอยู่ล่างภูเขาแห่งนี้
ตอนที่เผยเฉียนกำลังคัดตัวอักษร มีหลายครั้งที่นางวางพู่กันบิดข้อมือก็จะเห็นว่าเฉินผิงอันนั่งเหม่ออยู่ตรงหน้าพุทราและสาลี่ที่อยู่ในจานนั้น
นางคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ
รู้สึกว่าดูเหมือนอาจารย์จะนึกถึงเรื่องที่ไม่สบายใจอะไรบางอย่าง
พอนางคัดตัวอักษรเสร็จก็พบว่าเฉินผิงอันยังนั่งอยู่ที่เดิม เพียงแต่หันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง
เผยเฉียนค่อนข้างเป็นห่วง จึงเอ่ยหยอกล้อเขา “อาจารย์ ท่านเป็นอะไรไป? คิดถึงอาจารย์แม่หรือ?”
เฉินผิงอันคืนสติกลับมา ยิ้มบางๆ ตอบว่า “อยากคัดเพิ่มอีกห้าร้อยตัวรึ?”
เผยเฉียนหน้าม่อย
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ตบศีรษะเผยเฉียนเบาๆ แล้วเริ่มเดินนิ่งหกก้าววนไปรอบโต๊ะ
เผยเฉียนยิ่งสงสัยใคร่รู้ ทุกวันนี้เฉินผิงอันมักจะฝึกท่าฟ้าดินซึ่งรวมทั้งสามท่าไว้ด้วยกันมากกว่า ไม่ค่อยจะฝึกท่าหมัดที่ง่ายที่สุดและเป็นขั้นเริ่มต้นที่สุดนี้เดี่ยวๆ เท่าไหร่แล้ว
เผยเฉียนเก็บกระดาษและพู่กัน ฟุบตัวลงบนโต๊ะ ถามชวนคุย “อาจารย์ ท่านไม่กลัวผีมาตั้งแต่เลยหรือ?”
เฉินผิงอันเดินนิ่งช้าๆ พลางตอบคำถามไปด้วย “ไม่ค่อยเหมือนกับเจ้าเท่าไหร่ ข้าไม่กลัวผีมาตั้งแต่เด็กแล้ว กลับกันยังหวังให้บนโลกมีพวกภูติผีอยู่จริงๆ จึงมักจะไปที่สุสานเทพเซียนนอกเมืองเล็กของบ้านเกิดคนเดียวเป็นประจำ พอโตขึ้นมาหน่อยก็ติดตามคนอื่นไปตัดไม้ในภูเขาเอามาทำฟืน หรือไม่ก็ไปหาดินที่เหมาะสำหรับนำมาเผาเครื่องปั้น ก็ไม่เคยกลัวมาก่อน”
เผยเฉียนร้องว้าว “อาจารย์ช่างมีพรสวรรค์เลิศล้ำจริงๆ”
เฉินผิงอันเพียงแค่ยิ้มรับ ไม่ได้อธิบายต้นสายปลายเหตุ
ตอนเที่ยงของวันนี้ ลูกจ้างในโรงเตี๊ยมก็นำข่าวตระกูลเซียนอีกข่าวหนึ่งมาบอกให้ เนื้อหาค่อนข้างสะเปะสะปะ มีเรื่องหนึ่งที่ทำให้เฉินผิงอันสนใจที่สุด พอเรียนหมากล้อมกับชุยตงซานเสร็จแล้ว เขาจึงถามความคิดเห็นจากชุยตงซาน
ระหว่างทางที่ผู้บัญชาการใหญ่แคว้นชิงหลวนนำทหารเดินทางขึ้นเหนือได้ผ่านเมืองแห่งหนึ่ง เพราะเรื่องเล็กเรื่องหนึ่งจึงลากตัวขุนนางสองคนที่บกพร่องต่อหน้าที่ออกมาได้ คนหนึ่งคือทหารฝ่ายบู๊ที่ทุจริตและละเมิดกฎหมาย รับสินบนหลายแสนตำลึงเงิน อีกคนหนึ่งเล่นสำนวนบิดเบือนข้อกฎหมายเพื่อยักยอกเงินทอง ผลกลับกลายเป็นว่าฝ่ายแรกแค่ถูกลดขั้น ฝ่ายหลังกลับฆ่าก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลัง
ชุยตงซานหลุดปากตอบโดยที่แทบจะไม่ต้องคิดพิจารณา “นี่ก็คือวิธีการจัดการเรื่องราวของสำนักนิติธรรม สำหรับฝ่ายหลัง คนทั่วไปมักจะมองว่าความผิดเบากว่าฝ่ายแรก แต่สำนักนิติธรรมกลับจะเพิ่มโทษให้หนักขึ้น”
ชุยตงซานยิ้มถาม “อาจารย์นึกถึงจุดที่เชื่อมโยงกันของเรื่องราวนี้ออกหรือไม่?”
เฉินผิงอันตั้งใจใคร่ครวญแล้วก็ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ร้ายกาจจริงๆ”
ชุยตงซานพูดชวนคุย “นอกเหนือจากสามลัทธิที่สามารถตั้งตระหง่านมาเป็นพันปีโดยไม่ล้มมาจนถึงทุกวันนี้ เมธีร้อยสำนักต่างก็มีรากฐานในการหยัดยืนและเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นของตัวเอง ดังนั้นจึงมีคนผู้หนึ่งเคยกล่าวไว้นานแล้วว่า ‘หนึ่งชีวิตของคนสามารถมองเห็นขอบเขต แต่ความรู้นั้นไร้ขอบเขต ใช้ชีวิตที่มีขอบเขตไปไล่ตามแสวงหาความรู้ที่ไร้ขอบเขต อันตรายย่อมใกล้เข้ามา’ คนธรรมดาชอบครึ่งประโยคแรก ผู้ฝึกตนกลับรู้สึกว่าความมหัศจรรย์อยู่ที่ครึ่งประโยคหลัง จะว่าไปแล้ว ความรู้ของสามลัทธิร้อยสำนัก หากศึกษาแค่อย่างเดียว เกรงว่าผู้ฝึกตนใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังไม่กล้าพูดว่าเดินไปถึงปลายทางของความรู้ แค่ต้องดูที่ว่าจะคัดเลือกอย่างไร เลือกมาแล้ว มีความรู้กี่ส่วนที่กลายมาเป็นความสามารถของตัวเองอย่างแท้จริง แล้วส่วนที่ละทิ้งไปเล่า จะกลายเป็นว่าหยิบเมล็ดงาทิ้งเมล็ดแตงหรือไม่”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ชุยตงซานหยิบสาลี่ลูกหนึ่งขึ้นมากิน เสียงพูดจึงอู้อี้คลุมเครือ “เพียงแต่ว่าความรู้ก็คือความรู้ การประพฤติตัวก็คือการประพฤติตัว มีความสัมพันธ์กัน แต่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ตายตัว ดังนั้นถึงมีคำกล่าวที่ว่าโลกนี้ซับซ้อนอย่างไรเล่า คนคนหนึ่งมีชีวิตอยู่อย่างไร กับเล่าเรียนตำราอะไรบ้าง เรียนไปแล้วมีประโยชน์หรือไม่ ล้วนเป็นผลบุญผลกรรมของแต่ละคน คนโง่บนโลกมีมากมายเกินไป พวกเขาต่างก็ไม่รู้ว่าการเรียนหนังสือคือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งที่ทำให้พวกเราได้รู้จักโลกใบนี้มากขึ้น ทำลายความหวังดีของเหล่าอริยะปราชญ์ของสามลัทธิร้อยเมธี อริยะถ่ายทอดความรู้ ตำราคัมภีร์แต่ละเล่มก็คล้ายกับโคมไฟแต่ละดวงที่แขวนไว้ยามราตรี เส้นทางแตกต่าง โคมไฟมีเล็กบ้างใหญ่บ้าง มีสลัวรางมีสวางจ้า เสียดายก็แต่คนบนโลกหูตามืดบอดกันไปเอง”
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
เดิมทีชุยตงซานก็แค่หาเรื่องชวนคุยอยู่แล้วจึงเปลี่ยนหัวข้อไปพูดถึงเรื่องประสบการณ์อันรุ่งโรจน์ของเป่าผิงน้อย
บอกว่าเมื่อปลายปีที่แล้ว เจ้าเด็กทึ่มหลี่ไหวทะเลาะกับเพื่อนร่วมห้อง ตำราเล่มหนึ่งที่ทางสำนักศึกษาเพิ่งแจกให้ถูกเพื่อนร่วมห้องเอาไป บอกว่าเป็นของเขา หลี่ไหวหาหลักฐานมาไม่ได้ ผลคือหลี่เป่าผิงผ่านทางมาพอดีจึงทำหน้าที่ตัดสินคดีเสียเลย นางใช้วิธีการนำตำราเล่มนั้นมาแล้วบอกกับพวกหลี่ไหวสองคนว่า ถึงอย่างไรพูดกันไปก็ไม่เข้าใจ ถ้าอย่างนั้นก็ฉีกแบ่งเป็นสองส่วนแล้วเอาไปกันคนละครึ่ง หลี่ไหวร้อนใจตาแดงก่ำ แต่เด็กอีกคนกลับเห็นด้วยอย่างอารมณ์ดี ดังนั้นหลี่เป่าผิงจึงโยนตำราเล่มนั้นให้หลี่ไหวแล้วซ้อมเด็กอีกคนอย่างแรง จนกระทั่งอาจารย์ท่านหนึ่งที่แอบมองอยู่ไกลๆ หัวเราะร่าเสียงดัง เด็กคนนั้นไม่รู้ว่าปัญหาเกิดขึ้นที่ตรงไหนจึงร้องไห้ไปฟ้องอาจารย์ผู้เฒ่า ผลกลับกลายเป็นว่าถูกตีอีกรอบ
เฉินผิงอันฟังจบก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจ
เผยเฉียนที่นั่งฟังอยู่ด้วยกันทอดถอนใจ “เจ้าคนขโมยหนังสือเล่มนั้นก็โง่เกินไปหน่อยแล้ว เฮ้อ ใต้หล้านี้มีคนโง่เยอะจริงๆ ด้วย ช่วยไม่ได้เลย”
เฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่นาง “ไม่ใช่เรื่องโง่หรือไม่โง่ แต่การขโมยหนังสือก็ผิดมาตั้งแต่แรกแล้ว ขโมยหนังสือแล้วฉลาดจนใครจับพิรุธไม่ได้ ก็ยิ่งไม่ถูกต้อง”
เผยเฉียนกล่าวอย่างน้อยใจ “ข้าไม่ได้บอกสักหน่อยว่าขโมยหนังสือเป็นเรื่องถูก”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “คนที่ทั้งโง่และเลวบนโลกนี้ก็มีไม่น้อยเหมือนกัน คนจำพวกนี้ ความรู้ลัทธิขงจื๊อไม่อาจนำมาสั่งสอนได้”
เผยเฉียนเห็นด้วยอย่างยิ่ง นางพยักหน้ารับ “สำนักนิติธรรมที่พวกท่านเพิ่งพูดกันเมื่อครู่นี้ดีมาก ใช้รับมือกับคนโง่ รู้สึกว่าได้ผลอย่างยิ่ง”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เผยเฉียนก็รีบหุบปากฉับด้วยกลัวว่าเฉินผิงอันจะโกรธ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!