สรุปตอน บทที่ 389.3 เดินท่องไปสี่ทิศ – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
ตอน บทที่ 389.3 เดินท่องไปสี่ทิศ ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
หลังจากที่ได้พูดคุยกันวันนั้น ลู่ไถที่ได้กุญแจมา แต่กลับไม่ได้เปิดประตูเข้าไปในเรือนด้วยตัวเองก็มักจะมานั่งอยู่ที่นี่เป็นประจำ มีทั้งตอนที่เฉาฉิงหล่างไปโรงเรียน แล้วก็มีทั้งช่วงเช้าที่เฉาฉิงหล่างท่องหนังสืออยู่ในบ้าน ตอนแรกลู่ไถยังนำของกินที่ทำขึ้นอย่างประณีตมาให้เฉาฉิงหล่างที่ยังต้องจุดเตาไฟทำอาหารประเภทโจ๊กกินเองเป็นอาหารมื้อเช้า แต่พอเฉาฉิงหล่างกินไปได้สองครั้ง ในที่สุดครั้งที่สามก็อดไม่ไหว พูดความในใจกับลู่ไถด้วยสีหน้าจริงจังว่า ทุกวันนี้เขาไปรับเงินจากที่ว่าการ แค่ต้องใช้ซื้อของเป็นค่าตอบแทนให้กับอาจารย์ที่โรงเรียนและซื้อข้าวสาร น้ำมัน เกลือ ฟืนก็เพียงพอให้ใช้แล้ว
ลู่ไถอดทนรับฟังความในใจของเด็กชายเฉาฉิงหล่างจนจบก็ยิ้มถามว่า “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าก็จะไม่ได้กินอาหารรสเลิศจากร้านเก่าแก่ร้อยปีเช่นนี้อีกแล้วนะ? จะไม่เสียใจทีหลังหรือ?”
เฉาฉิงหล่างรู้สึกลำบากใจเล็กน้อยจึงยิ้มอย่างเขินอาย กล่าวว่า “หากอยากกินจริงๆ อดไม่ไหวจริงๆ ก็จะบอกพี่ใหญ่ลู่สักคำ”
ลู่ไถหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง บอกว่าไม่มีปัญหา
เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นมา จนกระทั่งถึงวันนี้ ครั้งเดียวที่เฉาฉิงหล่างอยากกินก็ยังคงเป็นเกี้ยวน้ำหนึ่งชามที่เขาซื้อเองไหวเท่านั้น
ดังนั้นวันนี้ลู่ไถจึงอารมณ์ดีไม่น้อย
เขาไม่นึกเลยว่าตัวเองจะได้มาเจอกับเฉาฉิงหล่างที่นิสัยเหมือนเจ้าหมอนั่นในสถานที่เล็กๆ อย่างพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้
น่าสนใจๆ
ในที่สุดลู่ไถก็รู้สึกว่าการเดินทางมาเยือนพื้นที่มงคลดอกบัวทำให้ตนเกิดพลังฮึกเหิมขึ้นมาได้บ้าง
กลับมาถึงบ้านพัก รอบกายรายล้อมไปด้วยเหล่าบุปผางามที่ไม่ว่าจะอ้วนหรือผอมก็มีครบหมด ทุกมุมในเรือนไม่มีฝุ่นสักเม็ด บนพื้นที่ปูด้วยไม้ไผ่ล้วนถูกสาวใช้เหล่านั้นเช็ดถูจนใสเอี่ยมอ่องราวคันฉ่อง
ระหว่างทางที่เดินมามีสาวใช้สามคนที่หลุดพ้นห้วงมหรรณพแห่งความทุกข์เพราะลู่ไถทยอยกันเอ่ยทักทายลู่ไถที่เป็นทั้งผู้มีพระคุณและเจ้านาย
วิธีการออกจะประหลาดอยู่บ้าง พวกนางต่างก็เอ่ยทักทายด้วยถ้อยคำไพเราะที่กวาดมาจากในตำราซึ่งลู่ไถสอนพวกนางเอง เดิมทีเด็กสาวอายุน้อยสามคนก็เป็นคุณหนูในฝ่ายเลี้ยงรับรองของทางการอยู่แล้ว บทกวีและคำประพันธ์ต่างๆ จึงไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับพวกนาง อีกทั้งในบ้านโบราณหลังนี้ก็มีตำราซ่อนไว้มากมาย จึงไม่ใช่เรื่องยาก
ดังนั้นจึงมีคนพูดว่า บทกวีของคุณชายประหนึ่งดอกผุดตานแรกผลิบาน เป็นธรรมชาติน่าพิสมัย
แล้วก็มีสาวใช้หน้าตางดงามอีกคนหนึ่งกล่าวว่า บุคลิกท่วงท่าของคุณชายประดุจเรือใบแล่นอยู่บนทะเลบูรพา ดั่งสายลมและแสงแดดที่งามสง่า
และยังมีเด็กสาวคนหนึ่งพูดว่า รูปโฉมของคุณชายประหนึ่งดอกจือหลัน (จือหลันคือดอกไอริสและดอกกล้วยไม้) และต้นไม้หยก เปล่งรัศมีเรืองรองเต็มห้องโถง
ลู่ไถหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ
ตลอดทางที่เดินมา ลู่ไถถอดรองเท้าหุ้มแข้งเดินเท้าเปล่ามาตามทาง สุดท้ายมานั่งเอนกายอยู่บนเตียงหลัวฮั่นลักษณะเรียบง่ายแต่สะอาดเอี่ยม มีสาวใช้หน้าตางดงามคนหนึ่งจะเดินมาปรนนิบัติ ลู่ไถ่กลับโบกมือไล่ไป
เขาดมกลิ่นสุราในกาเหล้าแล้วจิบเบาๆ หนึ่งคำ แม้ว่าเทียบกับสุราในพื้นที่มงคลดอกบัวแล้วถือว่ารสชาติดีขึ้นไม่น้อย แต่ไหนเลยจะสามารถทัดเทียมกับเหล้าหมักตระกูลเซียนของใต้หล้าไพศาลได้
ลู่ไถโยนกาเหล้าที่ในก้นกายังมีแมลงสุราล้ำค่าตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ไปบนโต๊ะที่ห่างไปไกล กาเหล้าตั้งวางอย่างมั่นคง ไม่มีเหล้ากระฉอกออกมาสักหยด
ครึ่งปีหลังจากนั้น ท่ามกลางเสียงหัวเราะพูดคุยอย่างเบิกบานของบ้านหลังนี้ สายลมขุมใหญ่ก็เริ่มหอบก้อนเมฆก่อตัวเป็นมรสุมขึ้นในพื้นที่มงคลดอกบัว ยุทธภพเป็นเช่นนี้ ราชสำนักและสนามรบก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
ลู่ไถกำลังสอนสาวใช้ฉลาดเฉลียวคนหนึ่งชงชา มีสาวใช้หน้าตางดงามบอกว่ามีผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อมารอเยี่ยมเยียนอยู่นอกบ้าน
ลู่ไถจึงวางกิจกรรมอันสง่างามในมือลง แล้วออกไปต้อนรับอาจารย์ผู้เฒ่าจ้งของโรงเรียนด้วยตัวเอง
ตามคำบอกของเฉาฉิงหล่าง แม้ว่าอาจารย์จ้งจะเข้มงวด แต่สั่งสอนทุกคนในโรงเรียนได้ดีมาก และยิ่งมีน้ำอดน้ำทนต่อเหล่าลูกศิษย์
นอกประตูก็คือราชครูจ้งชิวแห่งแคว้นหนันเยวี่ยน สีหน้าของเขาไม่ค่อยน่ามองนัก ปฏิเสธคำเชื้อเชิญให้เข้าไปในบ้าน บอกว่าพูดคุยธุระที่หน้าประตูเสร็จแล้วก็จะไป
ลู่ไถยิ้มกล่าว “ข้าล้างหูรอฟังคำสั่งสอนจากท่านอาจารย์”
จ้งชิวพูดเสียงหนัก “คุณชายลู่ แม้ว่าเจ้าจะหวังดี แต่กลับกำลังดึงต้นกล้าช่วยให้เติบโต!”
ลู่ไถแสร้งทำเป็นตกตะลึง “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
จ้งชิวพูดอย่างมีโทสะ “คุณชายลู่กล้าทำ แต่ไม่กล้ายอมรับอย่างนั้นรึ?”
ลู่ไถ่สะบัดพัดพับออกดังพรึ่บ พัดเอาลมเย็นมาเบาๆ กล่าวด้วยท่วงท่าทรงเสน่ห์ “ขอถามท่านอาจารย์จ้ง ข้าทำผิดที่ใด?”
จ้งชิวสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง
ในครึ่งปีที่ผ่านมา ลู่ไถผู้นี้สั่งสอนให้เฉาฉิงหล่างรู้จักกับหลักการและเรื่องราวทางโลกมากมาย
หากไม่เป็นเพราะวันนี้ที่โรงเรียน จ้งชิวเห็นเฉาฉิงหล่างกำลังโต้เถียงอยู่กับเพื่อนร่วมห้องโดยบังเอิญ เกรงว่าคงไม่รู้ว่าลู่ไถผู้นี้แอบกรอก ‘ความรู้เบ็ดเตล็ด’ ให้กับเฉาฉิงหล่างมากมายขนาดนั้น
อะไรที่บอกว่าริษยาที่คนอื่นมี เยาะหยันที่คนอื่นไม่มี อะไรที่บอกว่าคนดีเป็นยาก ยากตรงที่มีคนดีน้อยมากที่จะเข้าใจคำว่าวิญญูชนรู้บุญคุณไม่รู้ตอบแทนอย่างแท้จริง ดังนั้นคนดีประเภทนี้จึงเปลี่ยนไปเป็นคนไม่ดีได้ง่ายที่สุด อะไรที่บอกว่าคนดีที่ตั้งโรงทานแจกโจ๊กช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากกำลังทำเรื่องดีอยู่ก็จริง แต่คนทุกข์ยากที่ได้กินโจ๊กกินแผ่นแป้งที่คนเหล่านี้ทำทานมาให้กลับเป็นคนดีที่ร่ำรวยทั้งนั้น นอกจากเรื่องพวกนี้แล้วยังมีเรื่องอีกสะเปะสะปะมากมายที่อยู่นอกเหนือจากความรู้และหลักการ เป็นเรื่องที่แม้แต่จ้งชิวซึ่งมีชื่อเสียงว่ารอบรู้มาโดยตลอดก็ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน อะไรคือวิชากลศึกลัทธิเต๋า วิชากลไกสำนักโม่ ร้อยสมุนไพรชำระร่างทองของสำนักโอสถ และอะไรคือเปลี่ยนจากแก่มาเป็นเด็ก
โชคดีที่หลังจากอาจารย์สอบถามด้วยสีหน้าเมตตาปราณี เฉาฉิงหล่างก็ไม่ได้ปิดบังอำพราง บอกสิ่งที่ตัวเองได้เรียนรู้มาให้เขาฟังทั้งหมด
จ้งชิวระงับอารมณ์แล้วกล่าวเนิบช้าว่า “นิสัยของเฉาฉิงหล่างเป็นเช่นไร?”
ลู่ไถคิดแล้วตอบว่า “บริสุทธิ์เดียงสา จิตใจดีงาม”
จ้งชิวถามอีก “พรสวรรค์ของเฉาฉิงหล่างเป็นเช่นไร?”
ลู่ไถถอนหายใจ “พอใช้ได้”
จ้งชิวถามอีกครั้ง “ปีนี้เฉาฉิงหล่างอายุเท่าไหร่?”
ลู่ไถรู้สึกร้อนตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
จ้งชิวทอดถอนใจ “การเป็นคน หาใช่เพื่อฝึกวรยุทธ์ฝึกวิชา เมื่อทนกับความยากลำบากได้ก็เดินไปข้างหน้าได้ ขึ้นอยู่ว่าช้าหรือเร็วเท่านั้น ไม่ใช่อย่างการฝึกตนของเจ๋อเซียนอย่างพวกเจ้าที่แค่พรสวรรค์ดีก็สามารถเดินได้พันลี้ในวันเดียว แล้วก็ไม่ใช่อย่างชาวลัทธิขงจื๊ออายุมากอย่างพวกข้าที่เวลาสร้างความรู้ต้องแสวงหาสิ่งที่สูงกว่าเดิม ไขว่คว้าในความกว้างไกล ครบถ้วนและแก่นสำคัญ การเป็นคน โดยเฉพาะเด็กที่อายุเท่าเฉาฉิงหล่างนี้ มีเพียงความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเท่านั้นที่สำคัญที่สุด ตอนเด็กเรียนหนังสือ มีข้อสงสัยที่ไม่เข้าใจมากมาย ไม่เป็นไร เขียนตัวอักษรบิดๆ เบี้ยวๆ ไม่มีพลัง ก็ยิ่งไม่เป็นปัญหา แต่ข้าจ้งชิวกล้าพูดว่า ตำราลัทธิขงจื๊อบนโลกใบนี้ แม้ไม่กล้าพูดว่าทุกถ้อยคำทุกประโยคล้วนสอดคล้องกับทุกเรื่อง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นความรู้ที่ไร้ความผิดพลาดมากที่สุด ตอนนี้ยิ่งเฉาฉิงหล่างอ่านเข้าหัวมากเท่าไหร่ เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะยิ่งเดินไปข้างหน้าได้อย่างสบายใจมากเท่านั้น เด็กอายุแค่นี้จะสามารถรับความรู้ที่ปะปนกันมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเป็นหลักการที่แม้แต่คนโตก็ยังไม่แน่ว่าจะเข้าใจด้วย?!”
ลู่ไถหุบพัด กุมมือคารวะขออภัย “ลู่ไถผิดไปแล้ว”
จ้งชิวถอนหายใจ แค่นเสียงพูดว่า “หากเฉินผิงอันอยู่ข้างกายเฉาฉิงหล่าง เขาต้องไม่ทำอย่างเจ้าแน่นอน”
ลู่ไถเงยหน้าขึ้น ไม่เพียงไม่โกรธ กลับกันยังหัวเราะอย่างเบิกบาน “คำสั่งสอนนี้ของอาจารย์จ้งทำให้ข้าลู่ไถได้รับผลประโยชน์มหาศาล เพื่อแสดงคำขอบคุณ วันหน้าข้าจะต้องเอาสุราดีไหใหญ่ไปมอบให้ รับรองว่าเป็นเหล้าหมักเซียนที่ไม่เคยมีปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัวแน่นอน!”
……
อีกครึ่งทางที่เหลือ มีวันหนึ่งพวกเฉินผิงอันก่อไฟทำอาหารอยู่ริมลำคลองที่เงียบสงบ
ห่างไปไกลมีคนผู้หนึ่งกำลังลังเลใจ คล้ายตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเดินมาดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ยังตัดสินใจเดินขยับเข้ามาใกล้พวกเฉินผิงอัน
พออยู่ห่างไปประมาณยี่สิบกว่าก้าว ชายฉกรรจ์ผู้นั้นก็หยุดเดิน สุดท้ายย้ายสายตาไปมองคนหนุ่มชุดขาวที่ปลดหีบไม้ไผ่แล้วแต่ยังสะพายกระบี่อยู่ ใช้ภาษากลางของแจกันสมบัติทวีปถามด้วยรอยยิ้ม “คุณชาย ขอปรึกษาเรื่องหนึ่งได้ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เจ้าว่ามาสิ”
ชายฉกรรจ์คนนั้นขยับเข้ามาใกล้อีกนิด ถามว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายเคยได้ยินเรื่องแผงลอยควันธูปหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “พอจะรู้มาบ้าง เจ้าเป็นคนส่งธูปของวัดวาอารามแห่งใดในแคว้นชิงหลวน? คือธูปภูเขาหรือธูปน้ำ?”
ชายฉกรรจ์โล่งอกได้เล็กน้อย ดูท่าเซียนซือหนุ่มท่านนี้เป็นคนพิถีพิถันไม่น้อย รู้ว่าเรียกตนว่าคนส่งธูปแล้วน่าฟังมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นยังเข้าใจอาชีพนี้เป็นอย่างดี สายตาของตนไม่แย่เลยจริงๆ แม้ว่าคนกลุ่มนี้จะเดินทางด้วยเท้า แต่กลิ่นอายเทพเซียนบนร่างกลับไม่ใช่ของปลอม
แผงลอยควันธูปก็คือกิจการอย่างหนึ่งของพวกผู้ฝึกตนอิสระตามป่าเขา เป็นการซื้อขายที่ต้องเทียวไปเทียวมา ช่วยศาลที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แม่น้ำและภูเขาหรือไม่ก็วัดวาอารามทำหน้าที่เป็นคนพูดโน้มน้าว เชื้อเชิญให้ผู้มีจิตศรัทธาซึ่งมีหวังว่าจะทุ่มทองพันชั่งไปจุดธูปกราบไหว้ โดยทั่วไปแล้วพ่อค้าแผงลอยควันธูปจะพกธูปเทพในจำนวนที่แน่นอนติดตัวไปด้วย ธูปเทพที่ศาลแห่งภูเขาแม่น้ำ เจินเหรินหรือพระสงฆ์สมณศักดิ์สูงตั้งใจทำขึ้นต่างก็มีราคาไม่ธรรมดา หลังจากผู้ฝึกลมปราณจุดธูปแล้วสามารถทำให้จิตใจสงบสุข การดึงดูดปราณวิญญาณก็จะเร็วขึ้น ส่วนพวกแม่ทัพ เสนาบดี ชนชั้นสูงที่หากจุดธูปประเภทนี้กราบไหว้ในศาลบรรพชน ว่ากันว่าสามารถสะสมผลบุญในปรโลกให้กับลูกหลานได้ ระดับขั้นมีสูงมีต่ำ ราคาแตกต่างกันออกไป ธูปภูเขาผลิตจากศาลเทพภูเขาและศาลห้าขุนเขา ธูปน้ำแน่นอนว่าต้องมาจากศาลเทพวารี ศาลพ่อปู่ลำคลองจากสถานที่ต่างๆ
สำหรับเรื่องคนส่งธูปที่ชุยตงซานเคยพูดถึงนี้ เฉินผิงอันจดจำได้อย่างแม่นยำ
ชายฉกรรจ์ชี้ไปยังลำคลองสายใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงแล้วยิ้มพูดว่า “คือธูปน้ำของศาลพ่อปู่ลำคลองในพื้นที่”
เฉินผิงอันวางถ้วยและตะเกียบลง เช็ดมือลุกขึ้นยืน เดินมาหาชายฉกรรจ์คนนั้นแล้วถามว่า “หากข้าอยากจะเชิญธูป ต้องใช้เงินเกล็ดหิมะมากน้อยเท่าไหร่?”
ชายฉกรรจ์ตอบ “ธูปสามก้าน หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ”
เผยเฉียนพลันเบิกตากว้าง หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะก็เท่ากับเงินหนึ่งพันตำลึงเชียวนะ
เฉินผิงอันจึงเชิญธูปน้ำสามชุด ยื่นเงินเกล็ดหิมะส่งให้ชายฉกรรจ์ผู้นั้น ส่วนชายฉกรรจ์ก็มอบกล่องไม้ทรงยาวลักษณะโบราณเรียบง่ายให้เฉินผิงอันสามใบ ด้านในต่างบรรจุธูปสามดอก
เดิมทีหลังจากเชิญธูปแล้วไม่จำเป็นต้องไปจุดธูปที่ศาลทันที แต่จะเลือกไปเวลาใดก็ได้ ถึงขั้นที่ว่าจะไปหรือไม่ไปก็ล้วนไม่บังคับ ไปจุดธูปที่อื่นก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน นอกจากว่าภูเขาและแม่น้ำมีเรื่องอื่นที่ต้องพิถีพิถัน ขอแค่ไม่เชิญธูปภูเขา แต่กลับจุดกราบไหว้เทพวารีก็พอแล้ว จะไปที่วัดวาอารามแห่งใดก็ไม่เป็นไร หรือหากจะเอาไปกราบไหว้บรรพบุรุษในศาลบรรพชน ศาลบุ๋นบู๊ ศาลเทพอภิบาลเมือง ฯลฯ ก็ยิ่งเป็นเรื่องดี
แต่เฉินผิงอันกลับยังบอกให้ชายฉกรรจ์รอครู่หนึ่ง จากนั้นก็บอกให้พวกเผยเฉียนกินข้าวให้เสร็จแล้วเดินทางไปที่ศาลพ่อปู่ลำคลองแห่งนั้นด้วยกัน
ระหว่างที่เดินทางไป เผยเฉียนถามขึ้นเบาๆ ว่า “อาจารย์ ไปที่นั่น พวกเราต้องเดินทางอ้อมกันอีกนะ”
แต่ไม่นานเผยเฉียนก็รู้สึกว่าประโยคนี้ของตนไร้สาระ เพราะดูเหมือนอาจารย์ก็ทำแบบนี้เป็นประจำ ขอแค่เป็นโบราณสถานที่มีชื่อเสียงหรือทัศนียภาพที่งดงามสักหน่อย หากพวกเขาไม่ต้องเร่งเดินทาง อาจารย์ก็จะเดินๆ หยุดๆ เดินอ้อมเดินไกลแบบนี้อยู่แล้ว
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นมองทิศไกล ไม่เอ่ยอะไร
ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น ชายแขนเสื้อของคนหนุ่มชุดขาวพลิ้วไสว เขาเดินไปข้างหน้าช้าๆ พึมพำเบาๆ ว่า “ข้าอยากเห็นให้มากๆ หน่อย”
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!