กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 390

เฉินผิงอันนึกถึงเรื่องในอดีตตอนยังเป็นเด็กหนุ่มขึ้นมา นั่นคือเรื่องที่เขา หลิวเสี้ยนหยางและกู้ช่านเจ้าเด็กขี้มูกยืดใช้ถ่านเขียนตัวอักษรในวัดเล็กๆ เพื่อประชันกับชื่อของคนอื่นๆ หลิวเสี้ยนหยางกับกู้ช่านช่วยกันคิดหาสารพัดวิธี สุดท้ายไปขโมยบันไดของครอบครัวหนึ่งมา วิ่งแบกออกมาจากเมืองเล็ก ข้ามสะพานหินโค้งจนมาถึงวัดเล็กแห่งนั้นก็พาดบันได ถึงได้เขียนชื่อของพวกเขาสามคนไว้บนจุดที่สูงที่สุดของผนังวัดเล็กได้ หลิวเสี้ยนหยางเป็นคนไปขโมยบันไดของครอบครัวหนึ่งในตรอกฉีหลง ส่วนกู้ช่านก็ขโมยถ่านไม้ในบ้านตัวเองมา สุดท้ายเฉินผิงอันเป็นคนจับบันได หลิวเสี้ยนหยางเขียนตัวอักษรใหญ่สุด กู้ช่านเขียนไม่เป็น เฉินผิงอันจึงช่วยเขียนให้เขา อักษรตัวช่านนั้น เฉินผิงอันต้องไปถามเพื่อนบ้านจื้อกุยถึงจะรู้ว่าเขียนอย่างไร

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงยิ้มแล้วดึงหูหิ้วตัวนางขึ้นมา ก่อนตัวเองจะทรุดตัวนั่งลงไป บอกให้นางขี่คอตน “เขียนตรงจุดที่สูงที่สุดก็ไม่มีใครเห็นเหมือนกัน”

เผยเฉียนถือพู่กันในมือ นั่งอยู่บนคอของเฉินผิงอัน อีกมือหนึ่งเกาหัว เป็นนานก็ยังไม่กล้าจรดพู่กัน เฉินผิงอันก็ไม่เอ่ยเร่ง

จูเหลี่ยนหัวเราะชั่วร้าย “จอมยุทธ์หญิงใหญ่เผย เจ้าก็เขียนคำว่าหญ้าบนยอดกำแพงที่หยิ่งในศักดิ์ศรี ขับเรือตามลมสินค้าขาดทุนสิ เหมาะกับสถานการณ์ แถมยังเป็นความจริง นี่ก็เป็นหลักการเดียวกับจอมยุทธ์ในนิยายที่ข้ามอบให้เจ้าเล่มนั้นที่ต้องตะโกนเสียงดังว่าข้าเป็นใครๆๆ หลังจากตัดหัวคนชั่วร้ายไปแล้ว แบบนี้ชื่อเสียงจะได้ขจรไกลสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งยุทธภพอย่างไรเล่า ไม่แน่ว่าพอพวกเราไปถึงเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน ทุกคนที่เห็นเจ้าก็อาจกุมหมัดเรียกเจ้าด้วยความเคารพว่าจอมยุทธ์หญิงเผยก็เป็นได้ แบบนั้นจะไม่กลายเป็นเรื่องราวงดงามที่คนกล่าวขานถึงหรอกหรือ?”

เผยเฉียนหันหน้ามา ยู่ใบหน้าเล็กๆ จนยับยุ่ง “จูเหลี่ยนหากเจ้ายังเป็นอย่างนี้อีก ถ้ายังเป็นอย่างนี้อีก ข้าจะ…จะร้องไห้ให้เจ้าดู!”

เฉินผิงอันยกเท้าเตะจูเหลี่ยนหนึ่งที ด่าฉุนๆ ว่า “แก่แล้วยังไม่ทำตัวให้น่านับถือ ดีแต่จะรังแกเผยเฉียนอยู่ได้”

จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ “นายน้อยเปิดปากทั้งที บ่าวเฒ่าก็จะปล่อยนางไปสักครั้ง นังหนูนี่ทุกวันกินอิ่มจนท้องกลมป่องยังจะตินั่นตินี่ บ่าวเฒ่าโมโหนัก”

สือโหรวรู้สึกทนรับหนึ่งเด็กหนึ่งคนแก่คู่นี้ไม่ไหวสักเท่าไหร่

ยกตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้ตอนที่เดินออกจากทางหลวงสายใหญ่ ขึ้นเขาลงห้วยผ่านหมู่บ้านกลางภูเขาบางแห่ง เจอฝูงสุนัขที่เห่าคนแปลกหน้าอย่างพวกเขา นังหนูที่ชื่อเผยเฉียนผู้นี้จะต้องยกไม้เท้าเดินป่าแล้ววิ่งตะบึงเข้าไปแล้วตวัดกวัดแกว่งกระบวนท่ากระบี่มารคลั่งคำรบหนึ่งจนฝุ่นฟุ้งตลบ ตัวคนวิ่งเร็วกว่าสุนัขเสียอีก

ตาแก่บ้ากามจูเหลี่ยนก็อยู่ว่างจัดจนยอมช่วยดักทางให้เด็กหญิง หลังจากกดตัวสุนัขพันธ์พื้นบ้านให้นอนหมอบกับพื้นได้แล้ว เผยเฉียนก็จะนั่งยองกดหัวสุนัขเอาไว้ ถลึงตาถามว่า “ไอ้น้องชาย นี่มันเรื่องอะไรกัน? ยังจะทำตัวดุร้ายอยู่อีกไหม? รีบขอโทษจอมยุทธ์หญิงเผยเร็วเข้า ไม่อย่างนั้นจะตีหัวสุนัขของเจ้าแล้วนะ…”

จากนั้นชาวบ้านและเด็กๆ ในหมู่บ้านเห็นเข้าก็จะวิ่งเข้ามาพร้อมเสียงด่า แล้วเฉินผิงอันก็เป็นคนนำทุกคนวิ่งเผ่นแผล็วหนีไป

สือโหรวไม่เข้าใจ นี่น่าสนุกตรงไหน?

แต่เฉินผิงอันที่เวลาปกติมักจะวางท่าเคร่งขรึมจริงจังกลับดูเหมือนจะ…วิ่งหนีอย่างมีความสุขมาก?

ไม่พูดถึงเผยเฉียนที่เป็นเด็ก พวกเจ้าคนหนึ่งคืออาจารย์ของพญามารชุย อีกคนหนึ่งคือปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกล ไม่อายตัวเองบ้างหรือไร?

ยังมีครั้งหนึ่งเจอห่านขาวตัวใหญ่ริมลำคลอง เจ้าเฒ่าบ้ากามยุแยงให้เผยเฉียนไปประมือกับมัน ผลกลับกลายเป็นว่าเผยเฉียนถูกห่านไล่กวดร้องว้ากๆ เสียงดัง ก้นยังถูกห่านจิกอยู่หลายที พอวิ่งมาถึงข้างกายเฉินผิงอันด้วยเหงื่อที่แตกเต็มหัวก็ทอดถอนใจพูดว่าร้ายกาจเกินไปแล้ว เอาชนะไม่ได้เลย ตอนนั้นเฉินผิงอันหัวเราะดังไม่น้อยไปกว่าจูเหลี่ยนเลย

สือโหรวรู้สึกอยู่ตลอดว่าตนเข้ากับสามคนนี้ไม่ได้เลยสักนิด

ถึงขั้นรู้สึกว่าเวลาตนอยู่ข้างกายชุยตงซาน คล้ายว่าจะดีกว่า?

เวลานี้ในที่สุดเผยเฉียนก็เริ่มยกพู่กันจรดตัวอักษร เพียงแต่ว่าเขียนตัวอักษรบนผนังกับคัดตัวอักษรบนกระดาษเป็นคนละเรื่องกัน ขีดแรกนั้นบิดๆ เบี้ยวๆ เผยเฉียนสูดลมเย็นๆ ดังเฮือก ยื่นมือมาเช็ดเหงื่อบนหน้าทิ้ง ก่อนจะกัดฟันเขียนสี่ตัวอักษรว่า ‘ฟ้าดินผสานเป็นหนึ่ง’ จนเสร็จอย่างยากลำบาก เพียงแต่ว่าหลังจากเขียนครึ่งประโยคนี้เสร็จแล้ว เผยเฉียนที่เอนตัวออกมาด้านหลังเพื่อมองให้ชัดก็รู้สึกว่าไม่ว่ามองอย่างไรก็น่าตลกสิ้นดี ฝีมือไม่ได้ครึ่งของครึ่งเวลาคัดตัวอักษรยามปกติเลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องหันไปมองจูเหลี่ยนนางก็รู้ได้ว่าพ่อครัวเฒ่าผู้นี้ต้องแอบหัวเราะเยาะว่าลายมือของนางมีแต่ผีไม่มีเทพแน่นอน

เผยเฉียนเกิดลังเลใจ สุดท้ายก็ทิ้งครึ่งประโยคนั้นไว้อย่างนั้น

นางขยับพู่กันลงมาข้างล่างเล็กน้อย จุ่มหมึกแล้วเขียนว่า ‘เผยเฉียนและอาจารย์มาเยือนที่แห่งนี้’

เสร็จเรียบร้อย!

เผยเฉียนรู้สึกพึงพอใจไม่น้อย แม้ว่าลายมือจะไม่สวยเท่าไหร่ แต่เนื้อความดียิ่ง

ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์และศิษย์กัน ตอนนั้นที่เฉินผิงอันอยู่ในหมู่บ้านของซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่ผู้เฒ่าแคว้นซูสุ่ยก็เขียนประโยคไร้ความคิดทำนองนี้บนหน้าผาหินด้านหลังน้ำตกเช่นกัน

เฉินผิงอันไม่ได้บังคับให้เผยเฉียนเขียนอะไรเพิ่มอีก เขาวางตัวนางลง หันไปพูดกับจูเหลี่ยน “เจ้าก็เขียนสักหน่อยสิ?”

จูเหลี่ยนถูมือ หัวเราะเสียงระรื่น “อย่าเลยดีกว่า ไม่ได้จับพู่กันมาหลายปีแล้ว มือต้องแข็งแน่นอน มีแต่จะกลายเป็นที่ตลกขบขันของผู้อื่น”

แต่เฉินผิงอันก็ยังคงยื่นพู่กันส่งให้จูเหลี่ยน

จูเหลี่ยนไม่ใช่คนอิดออด รับพู่กันมาแล้วก็ไม่ยืดยาด มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งจับพู่กันจุ่มหมึก ใคร่ครวญถ้อยคำที่จะเขียนอยู่ในใจ

เห็น ‘ฝีมือการเขียนพู่กัน’ ของเด็กหญิงมาก่อนแล้ว อันที่จริงทั้งคนเฝ้าศาล ชายฉกรรจ์คนส่งธูปและสือโหรวต่างก็ไม่คาดหวังในตัวจูเหลี่ยนแล้ว อีกอย่างผู้เฒ่าหลังค่อมยังเรียกตัวเองว่า ‘บ่าวเฒ่า’ ก็แสดงว่าเป็นข้ารับใช้ของตระกูลสูงศักดิ์ อาจจะรู้จักบทความบางอย่าง เขียนพู่กันได้บ้าง แต่จะดีได้ขนาดไหนกันเชียว?

ทว่าเฉินผิงอันกลับรู้รากฐานของจูเหลี่ยนดี

ตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว ก่อนที่จูเหลี่ยนจะบ้าคลั่งไปอย่างสิ้นเชิง ถูกขนานนามให้เป็น ‘คุณชายจูเหลี่ยนผู้สูงศักดิ์ ผู้ที่เจ๋อเซียนยังต้องอาย’

จูเหลี่ยนเขียนบทกวีอันโด่งดังในพื้นที่มงคลดอกบัว ใช้ตัวอักษรฉ่าวซู่ (ตัวอักษรแบบหวัด) จำนวนตัวอักษรมีไม่มาก แค่ร้อยกว่าตัว ตัวอักษรแต่ละตัวดุจดั่งไข่มุก พออยู่บนผนังก็ยิ่งเคลื่อนคล้อยดุจเมฆล่องลอยและไหลระริกดุจสายน้ำหลั่งริน พาให้คนมองรู้สึกตื่นตะลึง

คนเฝ้าศาลเป็นคนรู้จักดูของ พึมพำเบาๆ ว่า “รวมกันดั่งขุนเขา แยกย้ายดั่งลมฝน รวดเร็วปานประหนึ่งสายฟ้า ว่องไวดุจเหยี่ยวโฉบบนนภา…มหัศจรรย์ลึกล้ำ บรรลุถึงแก่นแห่งความสุดยอด ย่อมต้องเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในวงการตำราที่เก็บงำประกายอย่างลึกซึ้งแน่นอน…”

จูเหลี่ยนใช้วิธีการเขียนแบบหมึกจาง ดังนั้นจึงจุ่มหมึกน้อยมาก ท่วงทำนองเชื่อมประสานกันอย่างแนบแน่น เรียกได้ว่าเขียนเสร็จในรวดเดียว

ต่อให้เป็นสือโหรวก็ยังต้องยอมรับว่า…เฒ่าบ้ากามคนหนึ่งเขียนตัวอักษรได้งดงามขนาดนี้ แม้แต่สวรรค์ก็ยากจะทนรับได้!

จูเหลี่ยนคืนพู่กันให้เฉินผิงอัน “นายน้อย บ่าวเฒ่าบังอาจโยนอิฐล่อหยก ขอท่านอย่าได้หัวเราะเยาะ”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ในใจคิดว่านี่เจ้าจูเหลี่ยนไม่ได้ผลักข้าเข้ากองไฟหรือไร?

แล้วสีหน้าของคนทั้งสามในศาลพ่อปู่ลำคลองก็เต็มไปด้วยความคาดหวังจริงๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!