เมื่อดื่มเหล้าดองยาหลอมเล็กในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่จนหมด บวกกับการพักฟื้นตลอดทางที่ผ่านมา ตอนนี้อาการบาดเจ็บของเฉินผิงอันฟื้นตัวมาเกินครึ่งแล้ว ตบะวิถีวรยุทธ์มีระดับพอๆ กับตอนก่อนจะเปิดศึกกับติงอิงในพื้นที่มงคลดอกบัว
แต่หลังจากที่เขียนตัวอักษรลงบนผนังของศาลพ่อปู่ลำคลอง เฉินผิงอันก็ค้นพบได้อย่างเลือนๆ ว่าช่องโพรงจวนน้ำในกายคล้ายจะเกิดการขานรับบางอย่าง ระดับความเร็วของสายน้ำที่ไหลรินเพิ่มสูงขึ้นเยอะมาก ไอหมอกลอยอวลปกคลุมไปทั่วผิวน้ำ บางครั้งยังถึงกับมี ‘เส้นทางน้ำ’ เอ่อล้นออกมาอบอวลไปเต็มช่องโพรงลมปราณ เพียงแต่ว่าถูกสกัดขวางไว้ตรงประตูใหญ่ของจวนน้ำ ช่องทางน้ำที่ย้อนกลับไปบนผนังอีกครั้งจึงกลับคืนสู่ความนิ่งสงบดังเดิม
ดังนั้นวันนี้เฉินผิงอันจึงคิดจะใช้วิชา ‘มองภายใน’ ที่ตื้นเขินของบนภูเขามาตรวจสอบดูสักหน่อย
คิดไม่ถึงว่าเขาเป็นเจ้านาย แต่กลับเกือบจะผ่านประตูเข้าไปไม่ได้ ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ซึ่งฟูมฟักมาจากการเป็นผู้ฝึกยุทธ์พุ่งเข้ามาอย่างดุดัน น่าจะมีรู้สึกประมาณว่า ‘นายได้รับความอัปยศ ลูกน้องสมควรตาย’ จึงต้องการทวงความยุติธรรมให้กับเฉินผิงอัน แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่กล้าปล่อยให้ ‘มังกรเพลิง’ ตัวนี้บุกเข้าประตูไป ไม่อย่างนั้นจะไม่กลายเป็นว่าตัวเองทุบประตูบ้านของตัวเองหรอกหรือ นี่ก็คือสาเหตุสำคัญที่ว่าเหตุใดยอดฝีมือบนโลกสามารถทำได้ แต่กลับไม่ยอมฝึกควบสองเส้นทาง
แค่ปลอบประโลมมังกรเพลิงตัวนั้น เฉินผิงอันก็เกือบจะหัวทิ่มลงพื้น ได้แต่เปลี่ยนจากใช้นิ้วยันพื้นมาเป็นใช้หมัดแทน
หลังจากมังกรเพลิงเคลื่อนย้ายไปอยู่ ‘ทางเดินม้า’ เส้นอื่นแล้ว ลมหายใจของเขาถึงได้ดีขึ้นเล็กน้อย ขณะเดียวกันเทพทวารบาลสององค์ที่อยู่ตรงหน้าประตู เมื่อถูกคนจิ๋วตัวอักษรแผ่นหยกที่สวมชุดสีเขียวมรกตควบคุมก็รีบเปิดประตูใหญ่ให้เฉินผิงอันทันที แล้วทำท่าคารวะขอรับผิดด้วยความละอายใจอย่างสุดซึ้ง หลังจากแสงสว่างจุดเล็กๆ ที่เฉินผิงอันแบ่งเข้ามาสำรวจภายในเดินเข้าไปก็รู้สึกถึงความงดงามชวนตะลึงที่แปลกใหม่ เมื่อเทียบกับตอนที่กวาดตามองสวนสิงโตซึ่งมีภูเขารายล้อมแล้ว มีแต่จะให้ความรู้สึกที่เหนือกว่าไม่มีด้อยกว่า
แผ่นหยกที่ถูกหล่อหลอมได้สำเร็จก่อนหน้าตราประทับอักษรน้ำลอยอยู่กลางจวนน้ำซึ่งเป็นห้องโอสถแห่งนี้ ส่วนตราประทับตัวอักษรน้ำชิ้นนั้นก็ลอยอยู่ในจุดที่สูงยิ่งกว่า
เจ้าตัวน้อยชุดเขียวทั้งหลายยังคงสร้างกระท่อมสร้างบ้านเรือนอย่างขยันขันแข็ง บางคนที่ตัวใหญ่กว่าหน่อยก็จะไปนั่งยองอยู่ริมตลิ่งแม่น้ำสายใหญ่บนผนังดุจจิตรกรเอกที่กำลังวาดเค้าโครงของลูกคลื่น
ไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่ไอน้ำซึ่งคุณภาพไม่บริสุทธิ์กรูผ่านประตูใหญ่เข้ามาในจวน ส่วนใหญ่ล้วนค่อยๆ ไหลรินไปอย่างเชื่องช้า ทุกครั้งจะมีเพียงแค่ส่วนน้อยเล็กบางเหมือนเส้นผมที่บินเข้าไปใน ‘สะเก็ดน้ำ’ ใต้ปลายพู่กันของคนจิ๋วชุดเขียว เมื่อบินเข้าไป สะเก็ดน้ำก็จะมีชีวิตชีวาขึ้นมา มีสัญญาณว่าจะไหลขยับ เพียงแต่ว่าเจ้าตัวน้อยน่ารักสวมชุดเขียวซึ่งอยู่บนผนังส่วนใหญ่ล้วนว่างงาน อันที่จริงพวกมันวาดเส้นสายคลื่นน้ำไปเป็นจำนวนมาก เพียงแต่ว่าส่วนที่มีชีวิตขึ้นมานั้นกลับมีน้อยจนนับนิ้วได้
ดังนั้นเมื่อพวกมันที่อยู่ริมน้ำเห็นเฉินผิงอันจึงพากันทำท่าน้อยเนื้อต่ำใจ คล้ายกำลังพูดว่าต่อให้เป็นแม่บ้านที่ฝีมือดีแค่ไหน แต่ไม่มีวัสดุก็ทำอาหารอร่อยออกมาไม่ได้ เจ้ารีบๆ ดูดซับหล่อหลอมปราณวิญญาณมาเยอะๆ สิ
เฉินผิงอันรู้ดีว่าเมื่อสะพานแห่งความเป็นอมตะหักลง ฐานกระดูกก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก เป็นเหตุให้น้ำอันเป็นต้นกำเนิดของจวนน้ำแห่งนี้มีน้อยเกินไป อีกทั้งความเร็วในการหล่อหลอมยังอยู่ไกลเกินกว่าจะใช้คำว่าผู้มีพรสวรรค์ได้ ทั้งสองอย่างรวมกันก็เหมือนน้ำค้างแข็งที่ตกลงบนหิมะ เป็นเหตุให้เด็กๆ ชุดเขียวได้แต่เสียเวลาไปเปล่าๆ ไม่มีงานให้ง่วนวุ่นวาย เฉินผิงอันจึงได้แต่ถอยออกมาจากจวนอย่างละอายใจ
หลังจาก ‘เฉินผิงอัน’ ออกมาจากจวนน้ำแล้ว เด็กชุดเขียวสองสามตนที่ตัวใหญ่ที่สุดก็มารวมหัวกระซิบกระซาบกัน
เฉินผิงอันไม่ได้ตัดขาดวิธีการสำรวจภายในทันที แต่เริ่มใช้ดวงจิต ‘เดินเล่น’ ไปตามทิศทางการโคจรของมังกรเพลิง
แสงดวงจิตนี้เล็กเท่าเมล็ดงา ทว่ามังกรเพลิงที่เกิดจากการรวมตัวกันของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์กลับพุ่งไปได้ร้อยลี้ในเสี้ยววินาที เมื่อ ‘เฉินผิงอัน’ เดินอยู่บนเส้นทางชีพจรจึงเรียกได้ว่าหนทางยาวไกลพันลี้ แม้จะรู้ว่ามังกรเพลิงตัวนั้นอยู่ที่ไหน แต่กลับไล่ตามไปไม่ทัน
แต่นี่ก็เกี่ยวข้องกับการที่เฉินผิงอันโดนเรือกลืนกระบี่แทงมาก่อน ไม่อย่างนั้นเขาก็สามารถใช้แสงสว่างแห่งดวงจิตจุดนี้บังคับให้มังกรเพลิงลมปราณที่แท้จริงตัวนั้นว่ายวนกลับมา ไม่แน่ว่าอาจจะยังขี่มันเดินทางท่องไปสี่ทิศ
สุดท้าย ‘เฉินผิงอัน’ ย้อนกลับมาที่นอกจวนน้ำ นั่งขัดสมาธิเริ่มหล่อหลอมปราณวิญญาณ
ขยันหมั่นเพียรชดเชยส่วนที่ขาด
เฉินผิงอันเชี่ยวชาญเรื่องนี้ เชี่ยวชาญมาก
ตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่รู้ว่า สามารถทำให้อาเหลียงพูดประโยคว่า ‘หมื่นวิชาหนีไม่พ้นรากฐานดั้งเดิม ฝึกหมัดก็คือฝึกกระบี่’ นั้น ถือเป็นการได้รับการยอมรับที่มากเท่าไหร่
ผู้ฝึกยุทธ์ในใต้หล้ามีนับพันนับหมื่น ทว่าบนโลกกลับมีเพียงเฉินผิงอันคนเดียว
……
เด็กสาวคนหนึ่งอาศัยอยู่ในหอซิ่วโหลวที่งามประณีต
เด็กสาวหน้าตาอิดโรยดุจบุปผาที่แห้งเหี่ยว ภายใต้การประคองจากสาวใช้ประจำกาย นางมานั่งอยู่หน้าคันฉ่อง แม้ว่าจะมีสภาพน่าสงสารเพราะป่วยหนักเต็มที แต่ดวงตาของเด็กสาวกลับยังทอประกายเจิดจ้า ขอแค่ในใจยังมีความหวัง คนก็มีชีวิตชีวา
คนน่าสงสารผู้นี้ก็คือบุตรสาวคนเล็กของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่ว หลิ่วชิงชิง ในเทียบวงศ์ตระกูลของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่ว รุ่นของเขาใช้อักษรตัวจิ้ง ส่วนรุ่นของหลิ่วชิงชิงใช้อักษรตัวชิง
หลิ่วชิงหย่าพี่สาวคนโตที่แม้จะแต่งงานไปแล้ว แต่เพราะได้รับความเดือดร้อนจากน้องสาวอย่างนาง จนทุกถึงวันนี้จึงยังต้องรั้งรออยู่ในสวนสิงโตพร้อมกับสามี
หลิ่วชิงซานพี่ชายคนรอง เดิมทีมักจะมาคุยเล่นกับนางเป็นประจำ เดี๋ยวนี้ไม่เคยมาหานางนานมากแล้ว เด็กสาวสนิทกับพี่ชายคนรองมากที่สุด ดังนั้นจึงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
น้องสามหลิ่วชิงอวี้กลับมาเล่นอยู่กับนางบ่อยๆ เพียงแต่ว่าเขาอายุยังน้อยจึงมักส่งเสียงดังโหวกเหวก ตอนนี้ร่างกายนางอ่อนแอ น้องชายที่นิสัยร่าเริงผู้นี้เป็นคนมือเท้าอยู่ไม่นิ่ง นางกลัวว่าหากน้องชายไม่ระวังจะทำลายหรือไม่ก็เหยียบย่ำของรักบางชิ้นของนางให้แตกเสียหาย จึงทำให้นางปวดหัวมากจริงๆ
สาวใช้ของนางก็คือจ้าวหยาบุตรสาวของผู้ดูแลผู้เฒ่า เด็กสาวที่มีกระตรงปลายจมูก เห็นว่าคุณหนูของตนเข้มแข็งถึงเพียงนี้ จ้าวหยาที่ปรนนิบัติรับใช้คุณหนูมาตั้งแต่ยังเด็กก็ให้เจ็บปวดหัวใจ พยายามสรรหาถ้อยคำมาปลอบใจนาง ยกตัวอย่างเช่นวันนี้สีหน้าคุณหนูดีขึ้นเยอะมาก วันนี้อากาศอบอุ่นขึ้นแล้ว พรุ่งนี้คุณหนูก็ออกจากหอเรือนไปเดินเล่นได้แล้ว
ตอนที่จ้าวหยาขึ้นหอเรือนมาได้ยกน้ำร้อนมาด้วยหนึ่งถัง นัดหมายกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าวันนี้จะสระผมให้คุณหนูหลิ่วชิงชิง
หลิ่วชิงชิงนั่งอยู่บนม้านั่ง ยกมือลูบซีกแก้มที่ผอมตอบ พูดกับจ้าวหยาว่า “หยาเอ๋อร์ วันนี้บอกให้พวกมันมาทำเถอะ เจ้าพักผ่อนสักหน่อย อ่านหนังสือให้ข้าฟังสักบทแล้วกัน”
จ้าวหยาถอนหายใจเบาๆ อย่างที่แทบจะไม่ได้ยิน ก่อนจะเดินเบาๆ ไปเปิดประตูบานเล็กของกรงนกที่ทำขึ้นอย่างประณีต
แม้ว่าด้านในจะมีเสียงจิ๊บๆ จั๊บๆ ฟังแล้วคล้ายจะครึกครื้น แต่อันที่จริงเสียงกลับเบามาก เวลาปกติจึงไม่ดังรบกวนคุณหนู
พูดว่ากรงนก แต่นอกจากรูปร่างคล้ายกรงที่ใช้เลี้ยงนกแล้ว อันที่จริงด้านในกลับสร้างให้เป็นเหมือนหอเรือนย่อส่วนแห่งหนึ่ง นี่ก็คือ ‘กรงหลวน’ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแคว้นชิงหลวนซึ่งคุณหนูในตระกูลใหญ่แทบทุกคนล้วนมีในครอบครอง สิ่งที่เลี้ยงไว้ด้านในไม่ใช่นก แต่เป็นภูติเรือนกายเล็กจิ๋วหลากหลายชนิด มีแม่นางหวีผมที่รูปร่างเหมือนกบ แต่กลับมีศีรษะเป็นสตรี เกิดมาก็ใกล้ชิดกับน้ำสะอาด ชอบใช้กรงเล็บเล็กๆ หวีผมให้สตรีอย่างละเอียดรอบคอบ อีกทั้งยังสามารถช่วยบำรุงเส้นผมให้กับสตรีได้ด้วย สตรีแต่งงานแล้วจะไม่มีทางมีผมขาวก่อนวัยอันควรเด็ดขาด
มีภูตผีเสื้อดอกไม้ที่เชี่ยวชาญด้านการวาดคิ้ว ขอแค่ทำพู่กันขนาดเล็กครบชุดให้พวกมัน แล้วให้พวกมันดูการแต่งหน้าในรูปแบบต่างๆ พวกมันก็จะสามารถวาดคิ้วที่งดงามชวนหลงใหลให้กับสตรีได้
และยังมีภูตน้อยที่ชอบกินเครื่องประทินโฉม มีร่างเป็นคนมีกรงเล็บของนก และมีปีกหนึ่งคู่ สามารถช่วยทาเครื่องประทินโฉมให้กับสตรีได้อย่างละเอียดอ่อน เพิ่มสีสันงดงามให้กับใบหน้าได้ดีกว่าสตรีทำเอง
หลังจากที่สาวใช้จ้าวหยาเปิดกรงออก ภูติประหลาดหลายสิบตัวที่อยู่ในหอเรือนกรงหลวนก็พากันบินออกมาอย่างเป็นระเบียบ แล้วจึงเริ่มสระผมแต่งหน้าให้กับเจ้านายอย่างหลิ่วชิงชิงด้วยความคล่องแคล่วคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด
ส่วนจ้าวหยานั้นพลิกเปิดตำราอยู่ด้านข้าง อ่านออกเสียงด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล หนังสือที่อ่านคือตำรารวมบทกวีเล่มหนึ่งที่เป็นที่นิยมในราชสำนักแคว้นชิงหลวนช่วงล่าสุด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!