กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 392

สรุปบท บทที่ 392.3 วิญญูชนช่วยหรือไม่ช่วย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

บทที่ 392.3 วิญญูชนช่วยหรือไม่ช่วย – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 392.3 วิญญูชนช่วยหรือไม่ช่วย จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

เฉินผิงอันคิดตามแล้วก็พยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ข้าจะลองถามสือโหรวดู เวลาคนอื่นพูดจริงหรือโกหก ข้ายังพอจะวิเคราะห์ออก”

จูเหลี่ยนส่ายหน้ายิ้มๆ “เหตุใดต้องรอพรุ่งนี้ ไม่ถามตอนนี้เลยเล่า? นายน้อยคือเจ้านายของนาง อีกทั้งยังมีพระคุณยิ่งใหญ่ แค่ถามไม่กี่ประโยคจะไม่ได้เชียวหรือ? หากใช้แค่สายตาของบ่าวเฒ่ามองสือโหรว แน่นอนว่าต้องเป็นสายตาของบุรุษลุ่มหลงในรักมองสาวงาม ย่อมรักหยกถนอมบุปผา พูดหนักไปก็เป็นการล่วงเกิน แต่คุณชายท่านไม่ควรมองนางว่าเป็นสตรีบอบบางอ่อนแอถึงเพียงนั้น การกระทำของสือโหรวนั่นต้องเรียกว่าสามวันไม่ตีขึ้นไปรื้อกระเบื้องหลังคา ต้องรู้ว่าคนไร้สติปัญญาบนโลกส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกหวาดเกรงพระเดชไม่เกรงพระคุณ ห่างชั้นจากเผยเฉียนลูกศิษย์ของท่านมากนัก”

เฉินผิงอันหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้ว เจ้าถึงขนาดพูดจาดีๆ ถึงเผยเฉียน”

จูเหลี่ยนทอดถอนใจ “ร้ายก็บริสุทธิ์ ดีก็บริสุทธิ์ เด็กน้อยที่น่าสนใจแบบนี้ รังเกียจไม่ลงจริงๆ”

ประตูห้องหลักถูกเปิดออก สือโหรวเผยกาย

นางมาหยุดอยู่ข้างกายคนทั้งสอง เป็นฝ่ายเปิดปากพูดว่า “ท่านชุยสอนวิชาอภินิหารที่สามารถออกคำสั่งต่อเทพแห่งผืนดินให้ข้าวิชาหนึ่งจริงๆ เพียงแต่ข้ากังวลว่าจะเกิดความเคลื่อนไหวรุนแรงเกินไป จะทำให้ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นเกิดกริ่งเกรงจนคิดมีใจสังหารพวกเราหรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ้มถาม “เหตุผลน่าเชื่อถือ แต่ข้าอยากถามเจ้าสองเรื่องเสียก่อน ข้อแรก เจ้ากังวลว่าใครจะถูกปีศาจจิ้งจอกหมายหัวมากกว่ากัน คือตัวเจ้าสือโหรวเอง หรือว่าพวกเราสามคน ข้อสอง ในเมื่อรู้วิชาข้างเคียงที่สามารถออกคำสั่งเทพแห่งผืนดินได้ จะทำหรือไม่ทำก็อีกเรื่อง แต่เหตุใดไม่พูดถึงเลย?”

จูเหลี่ยนยิ้มตาหยีพูดกระพือลมให้ไฟลุกโหมอยู่ด้านข้าง “ทิ่มแทงใจดำ”

สายตาของสือโหรวหลุกหลิกไม่อยู่นิ่ง

เฉินผิงอันโบกมือ “เจ้าและข้าต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ ห้ามให้มีครั้งหน้า หากยังมีอีก ข้าจะเชิญเจ้าออกจากร่างนี้แล้วกลับเข้าไปอยู่ในยันต์ใหม่อีกครั้ง เมื่อกำหนดเวลาหกสิบปีมาถึง เจ้าก็ยังคืนสู่อิสรภาพได้ดังเดิม”

สีหน้าของสือโหรวเย็นชา

จูเหลี่ยนหัวเราะคิกคักหยิบเอาถุงผ้าแพรใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ พอเปิดออกก็ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งที่พับเป็นรูปม้าออกมา “ก่อนท่านชุยจะจากไปได้มอบของสิ่งนี้ให้แก่ข้า บอกว่าวันใดที่อาจารย์ของเขาโมโหเพราะสือโหรวให้เอาสิ่งนี้ออกมา ให้เขาช่วยพูดดีๆ แทนสือโหรว ใช่แล้ว แม่นางสือโหรว ท่านชุยกำชับข้าว่า ควรเอาให้เจ้าดูก่อน ส่วนจะพูดเนื้อหาที่อยู่ข้างในออกมาหรือไม่ แม่นางสือโหรวต้องตัดสินใจเอาเอง”

จูเหลี่ยนทำเหมือนนิ่งดูดาย แต่ในใจกลับบังเกิดจิตสังหารขึ้นมาแล้ว อีกทั้งยังไม่ปิดบังสือโหรวแม้แต่น้อย

ต่อให้วิญญูชนที่มีพระคุณจะไม่ต้องการการตอบแทน แต่ก็ยากที่จะรับรองได้ว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดี เพราะคนถ่อยมักเห็นข้าวหนึ่งตวงเป็นบุญคุณ ข้าวหนึ่งหาบเป็นความแค้นเสมอ

ผีสาวที่ได้โชควาสนายิ่งใหญ่ตนนี้อาจไม่ได้มีจิตใจเลวร้ายเสมอไป ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นวัตถุหยินที่มีสันดานไม่เลว เพียงแต่ว่าในใจคนมีจุดที่เล็กและละเอียดอ่อนดุจเมล็ดงาอยู่มากมาย หากถูกวัตถุนอกกายขยายใหญ่ออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด ข้อบกพร่องบางอย่างก็อาจถูกขยายจนใหญ่เท่ากระด้ง

คุณธรรมไม่เหมาะกับตำแหน่ง ก็คือต้นตอหายนะที่ทำให้หอสูงใหญ่ล้มครืนลงได้เพียงชั่วข้ามคืน

จิตใจของสือโหรวกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุดนิ่ง พอคลี่ม้ากระดาษแผ่นนั้นออก ร่างของนางก็สั่นสะท้านน้อยๆ

สือโหรวกำหมัดกุมกระดาษที่อยู่ในฝ่ามือแน่น พูดกับเฉินผิงอันเสียงสั่นว่า “บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวจะเรียกเทพแห่งผืนดินออกมาให้นายท่านสอบถามเดี๋ยวนี้ดีหรือไม่?”

สือโหรวเปลี่ยนท่าทีใหม่อย่างแข็งทื่อ เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้เก็บมาเป็นอารมณ์ เพียงพยักหน้ากล่าวว่า “ปีศาจจิ้งจอกเคยมาที่นี่แล้ว เขาเป็นฝ่ายมาท้าทายก่อน เจ้าเรียกเทพแห่งผืนดินออกมาก็คงไม่มีปัญหาอะไร”

สือโหรวเก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้ในชายแขนเสื้อ จากนั้นฝ่าเท้าของนางก็ก้าวว่องไวดุจมีพายุลมกรด มือสองข้างทำมุทรา ระหว่างที่ก้าวเดิน หว่างคิ้วและใต้ฝ่าเท้าของร่างเซียนตู้เม่าก็มีแสงสีทองอร่ามเส้นหนึ่งและปราณอึมครึมดุร้ายเส้นหนึ่งพุ่งออกมา สือโหรวท่องประโยคสุดท้ายในใจว่า ‘ปากเป่าหัวไม้เท้าแทนเสียงฟ้าคำราม หนึ่งเท้ากระทืบพื้นดินกระเทือนรากห้าขุนเขา’ สุดท้ายก็กระทืบเท้าหนักๆ หนึ่งที บนพื้นดินของเรือนหลังเล็กมีภาพยันต์โบราณแผนหนึ่งผุดวาบ

สือโหรวสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ถอยหลังไปหลายก้าว

จากนั้นพื้นดินที่นางยืนอยู่ก่อนหน้านี้ก็มีริ้วน้ำกระเพื่อมขึ้นลง ตามมาด้วยหญิงชราอาภรณ์ขาดวิ่นคนหนึ่งที่กระโดดพรวดออกมาแล้วกลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้นดิน เห็นเพียงว่าหญิงชราสวมมงกุฎกิ่งหลิวสีเขียวมรกตอยู่บนศีรษะ ตรงลำคอ ข้อมือและข้อเท้าทั้งสี่จุดถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือกห้าเส้นสีดำ รัดแน่นจนเกิดเป็นร่องลึกเห็นชัด

หญิงชราลุกขึ้นยืนไม่ไหว นางนอนขดตัวอยู่บนพื้น เงยหน้ามองสือโหรวที่ลากนางออกมาจากกรงขังแล้วขอร้องอย่างยากลำบากว่า “ขอเซียนซือผู้มีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ท่านนี้ช่วยสวนสิงโตด้วย!”

สือโหรวพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้ากราบไหว้พระโพธิสัตว์ผิดองค์แล้ว”

หญิงชราที่สวมมงกุฎกิ่งหลิวหันลำคอ แค่การกระทำเล็กๆ นี้ เชือกตรงลำคอก็รัดแน่นขึ้นอีกหลายส่วน แต่นางกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย สุดท้ายหันไปมองคนหนุ่มชุดขาวที่สะพายกระบี่ “เซียนซือน้อย ขอร้องท่านรีบไปช่วยหลิ่วชิงชิงบุตรสาวคนเล็กของหลิ่วจิ้งถิงด้วยเถอะ ตอนนี้นางถูกปีศาจจิ้งจอกตนนั้นร่ายเวทปีศาจล่อลวงจิตใจ นางไม่ได้รักปีศาจจิ้งจอกตนนั้นจริงๆ! ปีศาจใหญ่ตนนี้ไม่เพียงแต่ตบะสูงส่ง วิธีการที่ใช้ยังโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างถึงที่สุด คิดจะดูดซับชะตาบุ๋นควันธูปทั้งหมดของสกุลหลิ่วแล้วถ่ายโอนมาที่ร่างของหลิ่วชิงชิง เดิมทีนี่ก็เป็นการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว หลิ่วชิงชิงมีร่างเป็นมนุษย์เด็กสาวคนหนึ่งจะสามารถแบกรับสิ่งเหล่านี้ไหวได้อย่างไร…”

หญิงชราถูกเชือกสีดำที่รัดรึงรัดจนพูดอะไรไม่ออก เพียงแต่ว่าหลังจากที่ใบหลิวสีเขียวมรกตใบหนึ่งบนมงกุฎเหนือศีรษะแห้งโรยรา สีหน้าของหญิงชราก็ดีขึ้นเล็กน้อย

เฉินผิงอันยังคงไม่ได้รีบร้อนทำลาย ‘เชือกพันธนาการปีศาจ’ เส้นนั้น เพียงถามว่า “แต่เท่าที่ข้ารู้มา สายของปีศาจจิ้งจอกนั้นเคารพนับถือคำว่ารักมากที่สุด มหามรรคาของพวกเขาก็หนีไม่พ้นคำว่ารักนี้ ในเมื่อปีศาจจิ้งจอกตนนั้นเป็นเซียนดินแล้ว ตามหลักก็ยิ่งไม่ควรทำอะไรตามแต่ใจตัวเอง นี่จะอธิบายอย่างไร?”

หญิงชราที่เป็นเทพแห่งผืนดินของที่แห่งนี้ส่ายหน้า “ไม่กล้าปิดบังเซียนซือ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม คิดจนหัวแทบแตกก็ยังไม่เข้าใจ แต่การเปลี่ยนแปลงของลมและน้ำในสวนสิงโตไม่ใช่เรื่องโกหก! ลูกหลานสกุลหลิ่วสายนี้ บุตรชายคนรองของหลิ่วจิ้งถิงคือคนที่เดิมทีมีหวังว่าจะสร้างความรุ่งโรจน์ให้กับวงศ์ตระกูลมากที่สุด แต่ตอนนี้เส้นทางในอนาคตอันยาวไกลของเขากลับขาดลงแล้ว อีกทั้งร่มเงาบรรพบุรุษและผลบุญในปรโลกของสกุลหลิ่วยังมากมหาศาล ยิ่งมีบรรพบุรุษที่โชคดีได้รับตำแหน่งงานอยู่ในยมโลก ไม่ว่าอย่างไรหลิ่วชิงซานก็ไม่ควรได้รับหายนะที่มาเยือนอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวนี้…”

หญิงชราพูดไม่ออกอีกครั้ง จากนั้นใบหลิวอีกใบก็แห้งกรอบ ก่อนจะสลายหายไปตามลม

เฉินผิงอันหันมามองจูเหลี่ยน ฝ่ายหลังผงกศีรษะรับเบาๆ บอกให้รู้ว่าหญิงชราไม่น่าจะโกหก

เขาตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง แต่กลับมีเพียงกระบี่บินชูอีที่พุ่งออกมาดุจสายรุ้งสีขาว ไล่ฟันเชือกพันธนาการปีศาจห้าเส้นบนร่างของหญิงชราให้ขาดออก

แท่นสังหารมังกรสามก้อนที่วิญญาณกระบี่ทิ้งไว้ให้ สองก้อนถูกยกให้บรรพบุรุษน้อยอย่างชูอีและสืออู่กินจนเต็มอิ่ม สุดท้ายพอเหลือเป็นเพียงหินลับกระบี่แผ่นบางๆ ถึงได้ขายให้กับสุยโย่วเปียน

ตอนนี้ระดับความคมของกระบี่บินทั้งสองเล่มเหนือกว่าในอดีตไปไกลโข

หญิงชราเหมือนได้รับอภัยโทษ ลุกขึ้นยืนตัวสั่นสะท้าน พูดอย่างซาบซึ้งใจว่า “ก่อนหน้านี้เป็นหญิงแก่อย่างข้าที่หูตาฟ้าฟางไปเอง ขอคารวะท่านผู้อาวุโสเซียนกระบี่ไว้ ณ ที่นี้!”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ต้องเกรงใจกันถึงเพียงนี้”

หญิงชราพลันทรุดลงนั่งคุกเข่า พูดเสียงสะอื้นไม่เป็นคำ “ขอผู้อาวุโสเซียนกระบี่โปรดช่วยผดุงคุณธรรมแทนสวรรค์เสียโดยเร็ว ในเมื่อผู้อาวุโสสามารถช่วยหญิงแก่อย่างข้าได้ มีปรมาจารย์ใหญ่เป็นผู้ติดตาม อีกทั้งหนึ่งกระบี่ของเซียนกระบี่ยังสามารถทำลายหมื่นอาคม ช่วยเหลือสวนสิงโตก็เป็นเพียงแค่การกระทำง่ายๆ เหมือนยกฝ่ามือ…”

เฉินผิงอันกำลังจะอ้าปากพูด

หญิงชรากลับเงยหน้าขึ้น จ้องหน้าเขาเขม็ง สีหน้าเศร้าสร้อยทุกข์ระทม “คนสกุลหลิ่วทั้งเจ็ดรุ่นล้วนซื่อสัตย์จงรักภักดี หรือผู้อาวุโสจะทนมองตระกูลปัญญาชนผู้มีความรู้เช่นนี้ย่อยยับในชั่วข้ามคืนคาตาตัวเองได้ลงคอ ท่านจะทนปล่อยให้ปีศาจใหญ่ตนนั้นทำตัวกำเริบเสิบสานไม่เห็นกฎเกณฑ์อยู่ในสายตาได้หรือ?!”

เฉินผิงอันเอ่ยอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สีหน้าเป็นปกติ “ข้ายังมีลูกศิษย์ที่ต้องปลุกให้ตื่น นางต้องอยู่กับข้าเท่านั้น ไม่อย่างนั้นปีศาจจิ้งจอกอาจฉวยโอกาสเล่นงานนาง อีกอย่างการบุกเข้าไปในหอซิ่วโหลวของหลิ่วชิงชิงโดยพลการ ถึงอย่างไรข้าก็ต้องให้คนไปแจ้งรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วสักคำ สองเรื่องนี้ไม่ได้ถ่วงเวลาให้ล่าช้าสักเท่าไหร่…”

ไม่รอให้เฉินผิงอันพูดจบ หญิงชราก็บ่นเสียงขรมขึ้นมา “ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ ท่านเป็นคนบนภูเขา เหตุใดต้องถือสาเรื่องยิบย่อยพวกนี้ ทิ้งคนไว้ให้ดูแลลูกศิษย์ท่านสักคนก็พอแล้ว ส่วนทางฝ่ายของหลิ่วจิ้งถิงนั้น แม้แต่ตระกูลยังใกล้จะล่มจมแล้ว ยังจะถือสาเรื่องพวกนี้ไปอีกทำไม หลังจากนี้ค่อยบอกกับเขาว่าช่วยเหลือบุตรสาวของเขาไว้ได้แล้ว เจ้าหนอนหนังสือผู้นั้นมีแต่จะซาบซึ้งในพระคุณ ไหนเลยจะกล้าถือสาหาความเรื่องจุกจิกพวกนี้!”

จูเหลี่ยนมองใบหน้าด้านข้างของหญิงชรา

เขาเอามือหนึ่งไพล่หลัง เปลี่ยนจากฝ่ามือกำเป็นหมัด เสียงกระดูกลั่นดังกร๊อบๆ

เฉินผิงอันถามว่า “เคยได้ยินคำว่าวิญญูชนไม่ช่วยหรือไม่?”

หญิงชราอึ้งงันเป็นไก่ไม้ เริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมานิดๆ แล้ว

เพียงแต่การกระทำในอันดับถัดมาของเฉินผิงอันกลับทำให้หัวใจที่แล่นมาจุกตรงลำคอของหญิงชรากลับคืนลงไปที่เดิมได้

เขาบอกให้จูเหลี่ยนรีบไปอธิบายเรื่องนี้กับหลิ่วจิ้งถิง

บอกให้สือโหรวไปปลุกเผยเฉียน

เฉินผิงอันช่วยเช็ดฝุ่นบนชายแขนเสื้อให้หญิงชราเบาๆ ตอนที่ก้มหน้าลงเขาพูดเสียงแผ่วต่ำว่า “ต้องช่วยอยู่แล้ว ท่านยายโปรดทำใจให้สบาย หวังเพียงว่าเมื่อสวนสิงโตผ่านพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้ และหากยังเจอกับเรื่องทำนองนี้อีก เมื่อมีกำลังมากพอก็ต้องลองช่วยดูสักครั้ง”

มาถึงใต้หอซิ่วโหลว

จูเหลี่ยนย้อนกลับมาแล้ว เขาผงกศีรษะบอกให้รู้ว่ารองเจ้ากรมหลิ่วตอบรับแล้ว

เฉินผิงอันจึงเดินขึ้นไปด้านบน

เผยเฉียนที่ยังสะลึมสะลือได้แต่เดินตามไปด้านหลัง บนหน้าผากแปะแผ่นยันต์สีเหลือง ขอแค่อยู่ข้างกายอาจารย์ นางก็ไม่รู้สึกกลัวเท่าไหร่

สือโหรวตามไปด้านหลังติดๆ

จูเหลี่ยนยืนอยู่ด้านล่างสุด เนิ่นนานก็ยังไม่ขยับเท้า เพียงแค่มองแผ่นหลังที่เดินขึ้นไปบนหอเรือนของเฉินผิงอัน

ผู้เฒ่าหลังค่อมเงยหน้า เกาหัว รู้สึกว่าอาจารย์ของท่านชุยผู้นี้เดินไปค่อนข้างจะสูงแล้ว

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!