กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 393

สรุปบท บทที่ 393.2 ลมมรสุมมาเยือนหอเรือนที่เต็มไปด้วยยันต์: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปเนื้อหา บทที่ 393.2 ลมมรสุมมาเยือนหอเรือนที่เต็มไปด้วยยันต์ – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บท บทที่ 393.2 ลมมรสุมมาเยือนหอเรือนที่เต็มไปด้วยยันต์ ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

สือโหรวพูดอย่างตรงไปตรงมา

จ้าวหยาที่ได้ฟังถึงกับหน้าซีดขาว

ตอนแรกหลิ่วชิงชิงบังเกิดความหวาดกลัว แต่ก็ยังไม่ยอมจำนนง่ายๆ เพียงไม่นานนางก็หาเหตุผลที่เหมาะสมให้กับตัวเองได้ คิดแค่ว่าสตรีผู้นี้มีวิสัยทัศน์คับแคบ มองความมหัศจรรย์ในส่วนที่ลึกซึ้งกว่านั้นของยาสงบใจไม่ออก

เฉินผิงอันสีหน้ามืดทะมึน

วิชาของตระกูลเซียนประเภทนี้

ไม่เหมือนการเผาเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของถ้ำสวรรค์หลีจูหรอกหรือ?

หากจะบอกว่าก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเปลี่ยนเส้นทางไม่ไปเมืองหลวง แต่เลือกจะมาเหยียบน้ำขุ่นบ่อนี้ของสวนสิงโต ก็เพื่อประโยค ‘ที่ใดมีปีศาจและมารออกอาละวาด ย่อมต้องมีกระบี่ไม้ท้อของเทียนซือ’ ของบัณฑิตที่คนส่งธูปศาลพ่อปู่ลำคลองพูดถึง นั่นเป็นเพราะเฉินผิงอันนึกถึงเพื่อนรักอย่างจางซานเฟิงที่เป็นเทียนซือต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ หากจางซานเฟิงไม่ได้ติดตามอาจารย์ไปที่ภูเขามังกรพยัคฆ์แล้วได้ยินว่ามีเรื่องนี้ก็ต้องมาที่นี่แน่นอน

ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เฉินผิงอันก็ไม่เชื่อแล้วจริงๆ หายนะที่ไม่แน่ว่าแม้แต่สถานะจิ้งจอกก็อาจเป็นเรื่องโกหก หากสามารถก่อกรรมทำเข็ญ ไม่เพียงแต่โยกย้ายโชคชะตาแห่งภูเขาแม่น้ำและชะตาบุ๋นของสกุลหลิ่วไปได้ ยังคิดจะเอาชีวิตของคนอื่น จิตใจชั่วช้าสามานย์ วิธีการอำมหิตโหดเหี้ยม เรียกได้ว่าตายครั้งเดียวก็ยังไม่พอ

เฉินผิงอันเดินไปตรงหน้าประตู บอกให้เผยเฉียนเดินเข้ามาในห้องก่อน จากนั้นค่อยบอกให้จูเหลี่ยนไปขอทองก้อนของราชสำนักจากสวนสิงโตเอามาบดเป็นผงทันที เพื่อจะนำมาทำเป็นสีทองที่มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

เขาจะวาดยันต์สยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะ!

……

หญิงชราที่เป็นเทพแห่งผืนดินในแถบพื้นที่ของสวนสิงโตไม่ได้ขึ้นหอเรือนไปด้วย เหตุผลก็เพราะในหอเรือนมีเฉินเซียนซือเฝ้าพิทักษ์อยู่แล้ว หลิ่วชิงชิงย่อมไม่มีอันตรายใดๆ แน่นอน นางจำเป็นต้องไปปกป้องลูกหลานสกุลหลิ่วคนอื่นๆ ซึ่งรวมไปถึงรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วด้วย

ในศาลบรรพชนของสกุลหลิ่ว หญิงชราที่พอไม่ถูกกักขังด้วยเชือกพันธนาการปีศาจห้าสีของปีศาจจิ้งจอกก็เปี่ยมล้นไปด้วยพลังแห่งความมีชีวิตชีวา

ในความเป็นจริงแล้ว เจ้าประมุขสกุลหลิ่วหลายรุ่นล้วนรู้จักเจ้าแม่ต้นหลิ่วที่อายุมากกว่าสวนสิงโตแห่งนี้เป็นอย่างดี ควันธูปอันโชติช่วงในงานบวงสรวงบรรพบุรุษของทุกปี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องสกุลหลิ่วผู้นี้ล้วนต้องได้รับส่วนแบ่งก้อนใหญ่

เวลานี้ในศาลบรรพชนเต็มไปด้วยผู้คน ส่วนใหญ่เป็นข้ารับใช้ที่เดิมทีไม่มีคุณสมบัติจะเดินเข้ามาในนี้ แต่ก็ยังถูกรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วสั่งให้ผู้เฒ่าจ้าวซึ่งเป็นพ่อบ้านพามา หากเรื่องนี้แพร่ออกไป รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วคงถูกประณามว่า ‘ทำลายความสุภาพสง่างาม ดูหมิ่นบรรพบุรุษ’ อย่างเลี่ยงไม่ได้

รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วและคนสกุลหลิ่วอีกยี่สิบกว่าคน เวลานี้ต่างก็มารวมตัวกันอยู่ในศาลบรรพชนที่เงียบสงบ หลายคนเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก และเพิ่งเคยได้เห็นเจ้าแม่ต้นหลิ่วผู้นี้กับตาของตัวเอง

นอกจากนี้ยังมีคนต่างแซ่สองคนที่พักอาศัยอยู่ในสวนสิงโตมานานหลายปีแล้ว พวกเขายืนอยู่ตำแหน่งนอกสุด ไม่คิดจะสอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในตระกูลหลิ่ว

สวนสิงโตมีโรงเรียนส่วนตัวเป็นของตัวเอง หลังจากที่บัณฑิตใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังและคุณธรรมสูงส่งท่านหนึ่งลาออกไปเมื่อสามสิบปีก่อน ก็ได้เชิญอาจารย์สอนหนังสือที่ไร้สัญชาติไร้นามมาคนหนึ่ง

นี่ก็เป็นเรื่องที่ประหลาดมาก ตอนนั้นราชสำนักและวงการวรรณกรรมต่างก็สงสัยใคร่รู้อย่างยิ่งว่าเป็นผู้รอบรู้คนใดกันแน่ที่ถูกใจรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่ว จนเขาถึงกับเชื้อเชิญให้มาเป็นอาจารย์ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ลูกหลานสกุลหลิ่ว

เพียงแต่ว่าภายหลังบุตรชายคนโตของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วไม่ราบรื่นในการสอบเคอจวี่ ได้เป็นแค่จิ้นซื่อเท่านั้น แถมลำดับยังรั้งท้าย บทความใต้ปลายพู่กันและพรสวรรค์ในการเขียนบทกวีของเขาต่างก็ไม่นับว่าโดดเด่น เมื่อเทียบกับรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วที่จรดพู่กันดุจบุปผาผลิบานแล้วก็เรียกได้ว่าบิดาเป็นพยัคฆ์บุตรเป็นสุนัข ดังนั้นผู้คนจึงไม่สนใจจะคาดเดาตัวตนของอาจารย์คนใหม่ผู้นั้นอีก ขนาดลูกศิษย์ยังอบรมสั่งสอนมาได้ธรรมดาสามัญขนาดนี้ คนเป็นอาจารย์จะดีได้สักเท่าไหร่กันเชียว?

ส่วนหลิ่วชิงซานนั้นเหมือนหลิ่วจิ้งถิงผู้เป็นบิดามาตั้งแต่เด็ก คือเด็กอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปสี่ทิศ ผลงานการประพันธ์เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ทว่าความสามารถของตัวเขาเองนั้นไม่เกี่ยวข้องกับความรู้ของอาจารย์สักเท่าไหร่

ตอนนี้หลิ่วจิ้งถิงกำลังโต้เถียงอยู่กับเจ้าแม่ต้นหลิ่ว

ความเห็นของเจ้าแม่ต้นหลิ่วก็คือไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องพยายามช่วงชิง ต่อให้ต้องไปขอร้องคนหนุ่มแซ่เฉินผู้นั้นอย่างไร้ศักดิ์ศรีก็ต้องทำให้เขาลงมือสังหารปีศาจให้จงได้ ห้ามปล่อยให้เขาช่วยคนไม่ฆ่าปีศาจอะไรนั่นเด็ดขาด จำเป็นต้องให้เขาลงมือตัดรากถอนโคนโดยไม่ทิ้งภัยร้ายไว้เบื้องหลัง

หลิ่วจิ้งถิงจึงพูดถึงเรื่องที่นักพรตหญิงลงมือทำลายภาพมายาของปีศาจจิ้งจอก

เจ้าแม่ต้นหลิ่วตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะเย็นชา นักพรตหญิงต่างถิ่นคนหนึ่ง หากสวนสิงโตนำความหวังทั้งหมดไปฝากไว้ที่ตัวนาง จุดจบจะดีได้สักแค่ไหนกันเชียว

หลิ่วชิงหย่าบุตรสาวคนโตจึงพูดด้วยน้ำเสียงขลาดกลัวขึ้นมาคำหนึ่งว่า แต่เฉินเซียนซือผู้นั้นก็เป็นคนต่างถิ่นเหมือนกันนะ

เจ้าแม่ต้นหลิ่วชำเลืองตามองสตรีผมยาวความรู้สั้นผู้นี้แวบหนึ่ง ทำเอาฝ่ายหลังตกใจกลัวจนต้องหุบปากฉับ

จากนั้นหญิงชราก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้คนคิดลึก “จะดีจะชั่วคนหนุ่มแซ่เฉินผู้นั้นก็เป็นบัณฑิต!”

หลังจากชั่งน้ำหนักอยู่พักหนึ่ง หลิ่วจิ้งถิงก็ยังไม่ยอมใช้วิธีการสกปรกที่ขัดต่อเจตจำนงของตัวเองไปจับคนหนุ่มผู้นั้นมัดไว้กับสวนสิงโต

เจ้าแม่ต้นหลิ่วชี้หน้ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าแล้วด่ากราดอย่างไม่ไว้หน้า “คนสกุลหลิ่วเจ็ดรุ่นก่อตั้งรากฐานกันมาอย่างลำบากลำบนกว่าจะเจริญรุ่งเรืองได้อย่างทุกวันนี้ เจ้าหลิ่วจิ้งถิงตายไปแล้ว ควันธูปขาดสะบั้นด้วยน้ำมือของเจ้า เจ้าจะมีหน้าไปพบบรรพบุรุษหรือ? ไม่รู้สึกผิดต่อชื่อที่เขียนไว้บนป้ายวิญญาณในศาลบรรพชนสวนสิงโตเลยหรือไร? คนที่ต้องตายเพราะถวายคำทัดทานเพื่อปกป้องระบบสืบทอดดั้งเดิมสกุลถัง ตายเพราะถูกโบย ตายเพราะช่วยเหลือขุนนางผู้จงรักภักดี ถูกเนรเทศไปไกลสามพันลี้จนกระทั่งตายไป คนที่ทุ่มเทชีวิตและจิตใจเพื่อสร้างความผาสุกให้กับปวงประชาจนตาย เจ้าต้องให้ข้าร่ายรายชื่อของพวกเขาให้ฟังไหม?”

ใบหน้าหลิ่วจิ้งถิงเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม

หญิงชรายังด่าต่อ “หากเจ้าหน้าไม่หนาพอ ต้องการวางมาดเป็นรองเจ้ากรมผู้เฒ่าผายลมสุนัขอะไรนั่น ถ้าอย่างนั้นสกุลหลิ่วของพวกเจ้าก็ไม่มีทางข้ามผ่านอุปสรรคนี้ไปได้ เจ้าหลิ่วจิ้งถิงตายแล้วก็ตายไป แต่ยังทำร้ายให้สวนสิงโตต้องเปลี่ยนแซ่ ลูกหลานพลัดที่นาคาที่อยู่ ตำราหายากมากมายที่เก็บไว้ในหอเก็บตำรา เมื่อมาถึงช่วงที่คนรุ่นหลิ่วชิงซานแก่ชรา สุดท้ายจะหลงเหลืออยู่สักกี่เล่ม?”

หลิ่วจิ้งถิงไม่อาจตอบได้

คนอื่นๆ ก็ยิ่งไม่กล้าพูดอะไร

เงียบงันกันไปนาน บรรยากาศเคร่งเครียด

สุดท้ายหลิ่วชิงซานที่ขากะเผลกเดินออกมาสองสามก้าว พูดกับหญิงชราว่า “เจ้าแม่ต้นหลิ่ว ดูเหมือนท่านพูดผิดไปเรื่องหนึ่ง”

หญิงชราหรี่ตา “อ้อ? เจ้าหนูน้อยมีอะไรจะสอนข้ารึ?”

ใบหน้าของหลิ่วจิ้งถิงเต็มไปด้วยโทสะเดือดดาล

คิดจริงๆ หรือว่าตลอดหลายปีที่มีชีวิตอยู่ในวงการขุนนาง เขาหลิ่วจิ้งถิงกินแต่หญ้า เทพแห่งผืนดินตรงหน้าผู้นี้ร้อนรนกระวนกระวายขนาดนี้เพราะคิดอะไรอยู่? สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ไม่ใช่เพราะหากควันธูปน้อยนิดของสกุลหลิ่วสวนสิงโตขาดสะบั้นลง จะไปสร้างความเดือดร้อนให้กับมหามรรคาร่างทองของนางหรอกหรือ?!

หญิงชราเห็นว่าหลิ่วจิ้งถิงโมโหอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนก็ลังเลไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ในตำราก็บอกเตือนบัณฑิตอย่างพวกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า วิญญูชนต้องอยู่ให้ห่างไกลจากสถานที่อันตราย เจ้าหลิ่วจิ้งถิงเป็นเพียงบัณฑิตอ่อนแอ จะยกทองก้อนไหวสักกี่ก้อนกันเชียว จะสู้พวกคนหนุ่มที่ทำงานจิปาถะในสวนสิงโตได้อย่างไร เจ้าไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ไม่กลัวว่าปีศาจจิ้งจอกจะจับตัวเจ้าแล้วเอามาข่มขู่สวนสิงโตหรอกหรือ?”

หลิ่วชิงซานพลันเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว “ข้าไปเอง ต่อให้ขนย้ายทองก้อนได้แค่ไม่กี่ก้อน แต่คอยจับตามองอยู่ข้างๆ ก็ช่วยหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดได้”

หลิ่วจิ้งถิงช่วยจัดสาบเสื้อให้บุตรชาย “ระวังตัวหน่อย ไม่เป็นขุนนางแล้วอย่างไร บัณฑิตที่จิตใจไม่เที่ยงตรง แต่กลับละโมบในตำแหน่งสูงก็ไม่ถือว่าเป็นบัณฑิตที่แท้จริงแล้ว บุตรชายข้าขาเป๋ เป็นขุนนางไม่ได้ แต่กลับยังสามารถเป็นบัณฑิตไปได้ชั่วชีวิต ในเมื่อไม่อาจปกครองบ้านเมืองนำพาความสงบสุขมาให้แก่คนใต้หล้า ถ้าอย่างนั้นก็บ่มเพาะปลูกฝังตัวเองให้ดี ดูแลครอบครัวให้ร่มเย็น ทำได้หรือไม่?”

ในที่สุดหลิ่วชิงซานก็ยิ้มออก “ท่านพ่อ เรื่องนี้ไม่ยาก”

หลิ่วชิงซานติดตามพ่อบ้านวัยชราพาคนงานร่างกำยำของสวนสิงโตที่แต่ละคนเดินปรี่ออกมาด้วยสีหน้าห้าวเหิมออกไปจากศาลบรรพชน

หลิ่วจิ้งถิงไม่แม้แต่จะชายตามองหญิงชราผู้นั้น เขาเดินไปหยุดตรงหน้าอาจารย์ต่างแซ่สองท่านที่อยู่กันคนละวัย แล้วคารวะเอ่ยขอบคุณ “ขอบคุณท่านอาจารย์ฝู ท่านอาจารย์หลิวที่ช่วยสั่งสอนให้คนสกุลหลิ่วของข้าเป็นบัณฑิตที่มีปราณเที่ยงธรรมอยู่เต็มตัว”

อาจารย์ผู้เฒ่ายังคงมีสีหน้าเฉยชาดังเดิม แม้แต่จะผงกศีรษะรับเบาๆ ยังไม่ทำ ยังดีที่สวนสิงโตเคยชินกับท่าทางเช่นนี้ของเขาเสียแล้ว เพราะไม่ว่าอยู่ต่อหน้าใครผู้เฒ่าก็มีสีหน้าเคร่งขรึมแบบนี้เสมอ

บุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนคลี่ยิ้ม “ถ่ายทอดวิชาไขข้อข้องใจให้ลูกศิษย์เป็นหน้าที่ของคนเป็นอาจารย์อยู่แล้ว”

……

ในเรือนเล็กแห่งหนึ่งมีจอมยุทธ์ผู้ผดุงธรรมสี่ท่านที่เดินทางมาไกลอาศัยอยู่ เป็นแขกผู้ทรงเกียรติของสวนสิงโตมาก่อนเฉินผิงอันเสียอีก

คุณชายหนุ่มแซ่สองพยางค์ว่าตู๋กูและสาวใช้หน้าตางดงามที่มีชื่อว่าเหมิงหลง บวกกับผู้ฝึกตนที่เป็นอาจารย์และศิษย์ซึ่งคนหนึ่งเลี้ยงจิ้งจอกตัวเล็ก คนหนึ่งเลี้ยงงูสีเขียวมรกต

ทั้งสองฝ่ายมาพบเจอกันโดยบังเอิญ เคยร่วมกันกำราบปีศาจตนหนึ่งที่อาละวาดอยู่บนภูเขา ฝั่งคุณชายตู๋กูลงแรงมากกว่าใคร แต่กลับเลือกของเชลยศึกบางส่วนที่เป็นแค่วัตถุธรรมดาซึ่งไม่ใกล้เคียงกับคำว่าสง่างาม ส่วนสมบัติวิเศษล้ำค่าหลายชิ้นและเงินเทพเซียนกองใหญ่ล้วนยกให้อาจารย์และศิษย์สองคนนั้น

อาจารย์และศิษย์สองคนปรึกษากันเป็นการส่วนตัว รู้สึกว่าชีวิตของพวกเขาทั้งสองรวมกันแล้วน่าจะไม่มีค่าเท่ากับปลาตัวใหญ่ที่คุณชายท่านนั้นปล่อยเบ็ดยาวไว้ จึงทำหน้าหนามาขอใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับนายบ่าวคู่นี้ และภายหลังพวกเขาก็ได้เปรียบในบางเรื่องจริงๆ การกำจัดปีศาจปราบมารทั้งสองครั้งทำให้ได้เงินเกล็ดหิมะหลายร้อยเหรียญเข้ากระเป๋า แน่นอนว่านี่ยังเป็นเพราะผู้ฝึกตนผู้เฒ่ามีใจคิดหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง แล้วก็ได้รู้ว่าคุณชายสูงศักดิ์ที่บอกว่าตัวเองมาจากราชวงศ์จูอิ๋งผู้นี้มีนิสัยไม่ชอบแย่งชิงทรัพย์สินเงินทองกับใครจริงๆ

คุณชายยังไม่เคยลงมือจริงๆ จังๆ บอกว่าเขาเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์มุทะลุที่เรียนวิชายุทธ์มาอย่างงูๆ ปลาๆ อาจารย์และศิษย์สองคนไม่ใช่คนโง่ ย่อมไม่เชื่อในเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่สาวใช้ผู้นั้นลงมืออยู่หลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็น่าตื่นตะลึงจริงๆ

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!