กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 396

สรุปบท บทที่ 396.2 น้ำแกงไก่หนึ่งถ้วยยังไม่รู้: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

บทที่ 396.2 น้ำแกงไก่หนึ่งถ้วยยังไม่รู้ – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 396.2 น้ำแกงไก่หนึ่งถ้วยยังไม่รู้ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

หลิ่วชิงเฟิงทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “อย่าโทษที่ข้าทำตัวเหมือนพ่อค้าหน้าเลือด ใช้ใจของคนถ่อยไปวัดใจของวิญญูชน แต่เป็นเพราะวันนี้พวกเราคิดให้มากหน่อย ในอนาคตก็จะได้ทุกข์น้อยลง พูดไปร้อยอย่างพันอย่าง สุดท้ายก็แค่หวังให้เจ้าชิงซานมีชีวิตที่ดี ขณะเดียวกันข้าเองก็มีใจเห็นแก่ตัว ขนบธรรมเนียมประจำตระกูลของสกุลหลิ่วสวนสิงโต ข้าที่เป็นพี่ชายคนโตรู้ดีว่าตัวเองไม่มีความสามารถจะแบกรับเอาไว้ จึงต้องให้เจ้าเป็นผู้รับหน้าที่นี้แทน”

หลิ่วชิงซานลุกขึ้นยืน เนื่องจากขาพิการ ไหล่จึงเอียงไปข้างหนึ่ง เขากุมมือคารวะด้วยสีหน้าสง่างาม “ข้าจะไปถามให้แน่ชัดเดี๋ยวนี้”

สายตาหลิ่วชิงเฟิงมีประกายซับซ้อนผ่านไปวูบหนึ่ง พูดเบาๆ ว่า “บนโลกมีเทพเซียนอยู่มากมาย ชิงซาน เจ้าวางใจเถอะ ต้องรักษาหายแน่นอน พี่ใหญ่รับรองกับเจ้า”

หลิ่วชิงซานคิดแค่ว่าพี่ชายกำลังปลอบใจตนจึงจากไปด้วยรอยยิ้ม

หลิ่วจิ้งถิงกลับมีสายตาเฉียบคมที่ผ่านการฝึกฝนมาจากการเป็นขุนนาง เขารู้จักนิสัยของบุตรชายคนโตดีที่สุดว่าหนักแน่นแตกต่างไปจากคนทั่วไป ใจคอกว้างขวางเหนือกว่าคนธรรมดา ดังนั้นรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วจึงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

หลังจากหลิ่วชิงซานออกไปจากห้องหนังสือและปิดประตูลงแล้ว

หลิ่วชิงเฟิงที่มีสีหน้าเหนื่อยล้าก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ระหว่างที่เดินทางมาได้เจอกับเฉินผิงอันผู้นั้นพอดี”

หลิ่วจิ้งถิงระงับแรงสั่นสะเทือนในหัวใจขุมนั้นเอาไว้ ยิ้มพูดว่า “รู้สึกว่าเป็นอย่างไรบ้าง?”

หลิ่วชิงเฟิงพยักหน้า “เป็นคนบนภูเขาที่พบเจอได้ยากยิ่ง และยิ่งเหมือนบัณฑิตแท้จริงที่มาจากตระกูลชนชั้นสูง”

หลิ่วจิ้งถิงคลี่ยิ้ม “เป็นเช่นนี้จริง”

หลิ่วชิงเฟิงทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

หลิ่วจิ้งถิงลุกขึ้นยืน ยื่นมือมากดไหล่บุตรชายคนโต “คนครอบครัวเดียวกันไม่พูดจาเกรงใจกัน วันหน้าชิงซานจะเข้าใจความหวังดีของเจ้าเอง ส่วนพ่อน่ะ บอกตามตรง ไม่รู้สึกว่าเจ้าทำถูก แต่ก็ไม่รู้สึกว่าเจ้าทำผิดเช่นกัน”

สีหน้าของหลิ่วชิงเฟิงหม่นหมอง

หลิ่วจิ้งถิงกล่าว “ไปดูชิงชิงหน่อยเถอะ นางสนิทกับชิงซาน แต่กลับเคารพนับถือเจ้ามาก ดังนั้นคำพูดบางอย่างหากเจ้าพูดจะได้ผลที่สุด”

หลิ่วชิงเฟิงพยักหน้ารับ “ข้าจะนั่งอยู่อีกสักพัก เดี๋ยวจะไปพบอาจารย์ทั้งสองท่านก่อนแล้วค่อยไปที่หอซิ่วโหลว”

หลิ่วจิ้งถิงถอนหายใจ “ตามหลักแล้วสมควรทำเช่นนี้”

รองเจ้ากรมผู้เฒ่าเดินออกไปจากห้องหนังสือก่อน

หลิ่วชิงเฟิงนั่งอยู่บนเก้าอี้เพียงลำพัง หันหน้าไปมองกลอนคู่บทนั้น

ใต้พู่กันค่ายพันทัพ บทกวีหมื่นทหารม้า มีคุณธรรมทัดเทียมอดีตและปัจจุบัน เก็บซ่อนตำราสอนลูกหลาน

อันที่จริงคนที่เขียนกลอนบทนี้ไม่ใช่หลิ่วชิงซานผู้เป็นเจ้าของห้องหนังสือ แต่เป็นพี่ชายอย่างเขาหลิ่วชิงเฟิง ปีนั้นที่น้องชายทำพิธีสวมกวาน (พิธีที่แสดงให้รู้ว่าเด็กหนุ่มกลายเป็นบุรุษเต็มตัวแล้ว) เขาเขียนมันด้วยตัวเองแล้วมอบให้หลิ่วชิงซานเป็นของขวัญ

หลิ่วชิงเฟิงเดินออกจากห้องหนังสือด้วยสีหน้าอ้างว้าง ไปเยี่ยมเยียนอาจารย์ผู้เฒ่าฝูเซิงและอาจารย์หลิวชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อ ฝ่ายแรกไม่ได้อยู่ที่โรงเรียน มีเพียงฝ่ายหลังที่อยู่ หลิ่วชิงเฟิงจึงถามข้อสงสัยบางอย่างในด้านความรู้กับฝ่ายหลังแล้วถึงได้บอกลาจากมา ไปหาน้องสาวหลิ่วชิงชิงที่หอซิ่วโหลว

หลังจากหลิ่วชิงเฟิงจากไป อาจารย์ผู้เฒ่าฝูเซิงถึงได้ปรากฎตัวออกมาจากความว่างเปล่า

ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อถามขึ้น “อาจารย์ หลิ่วชิงเฟิงทำเช่นนี้จะลากหลิ่วชิงซานเข้าไปในน้ำวนแห่งการแก่งแย่งช่วงชิงของสามลัทธิแคว้นชิงหลวน เป็นการกระทำที่ถูกหรือว่าผิด?”

ฝูเซิงยิ้มกล่าว “ก็มีคนบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า เรื่องราวของเมื่อวานตายไปเมื่อวาน เรื่องราวของวันนี้เกิดขึ้นวันนี้ ผิดถูกในวันนี้ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะผิดถูกในวันหน้า ยังต้องดูที่คน อีกอย่างนี่เป็นเรื่องของสกุลหลิว ข้าเองก็อยากยืมใช้โอกาสนี้มาลองดูว่าหลิ่วชิงซานอ่านตำราของอริยะปราชญ์เข้าท้องไปกี่มากน้อย เรื่องความหยิ่งในศักดิ์ศรีของบัณฑิตนี้ เดิมทีก็มีเพียงผ่านการขัดเกลาอย่างยากลำบากเท่านั้นถึงจะประสบความสำเร็จได้”

ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนรู้สึกจนใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อาจารย์ใช้คำกล่าวของลัทธิพุทธมาพูดถึงการกระทำของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ไม่ถูกหลักมารยาทเลย เพียงแต่เขาเองก็รู้ดีว่าฐานะของอาจารย์ที่อยู่ในศาลบุ๋นดั้งเดิมของแผ่นดินกลางสูงส่งเท่าไหร่ สิ่งที่สายตาของอาจารย์มองไปเห็นนั้นกว้างไกลอย่างมาก หากไม่เกี่ยวพันกับความเบี่ยงเบนบนมหามรรคาใต้ฝ่าเท้าของหลิ่วชิงซาน อาจารย์ก็จะไม่ยื่นมือเข้าก้าวก่าย หากครั้งนี้ตอนที่อยู่ในศาลบรรพชน หลิ่วชิงซานไม่ได้ออกมาโต้เถียงเจ้าแม่ต้นหลิ่ว ถ้าเช่นนั้นชั่วชีวิตนี้หลิ่วชิงซานก็จะรู้แค่ว่าในโรงเรียนมีอาจารย์สองคนที่อยู่สวนสิงโตมานานหลายปี หลังจากนั้นก็มีวันหนึ่งที่พวกเขาเดินทางกลับบ้านเกิด แล้วก็ไม่มีข่าวคราวส่งมาอีก

อันที่จริงโชควาสนาทั้งหลายในโลกก็ล้วนเป็นเช่นนี้ อาจมีการแบ่งแยกเล็กใหญ่ รวมไปถึงการรับลูกศิษย์ของเมธีร้อยสำนักและตระกูลเซียนบนภูเขาที่ใต้ฝ่าเท้าของแต่ละคนต่างก็มีเส้นทางให้ต้องเดิน จุดเริ่มต้นในการเจาะเข้าหาลูกศิษย์ที่หมายตาก็แตกต่างกันออกไป ทว่าแท้จริงแล้วในด้านของลักษณะกลับเหมือนกัน นั่นคือยังต้องดูว่าคนที่ถูกทดสอบสามารถคว้าโชควาสนานั้นไว้ได้อยู่มือหรือไม่ เทพเซียนลัทธิเต๋าจะชอบใช้วิธีการนี้เป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับการเฝ้ามองไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นของอาจารย์ฝูเซิงแล้ว พวกเขาจะเพิ่มอุปสรรคและความซับซ้อนให้มากขึ้น ทั้งเกียรติยศและความอัปยศล้วนสลับสับเปลี่ยนกันไป การพบพรากจากลา ความรักระหว่างพ่อลูก สามีภรรยา ห่วงพะวงมากมาย ความล่อลวงใจทั้งหลายก็ล้วนอาจต้องทดสอบให้ครบถ้วนไปหนึ่งรอบ ถึงขั้นที่ว่าในประวัติศาสตร์ยังมีขั้นตอนการรับลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงบางอย่างที่กินเวลาอย่างยาวนาน ถึงขนาดเกี่ยวพันไปถึงการมาจุติเกิดใหม่ในครรภ์ รวมไปถึงการฝึกประสบการณ์ในพื้นที่มงคล

น่าตะลึงพรึงเพริด อีกทั้งยังงดงามละลานตาไปหมด

ฝูเซิงพลันเอ่ยขึ้นว่า “อันที่จริงหลิ่วชิงเฟิงเหมาะที่จะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้ามาก”

ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนส่ายหน้า “ข้ารู้ว่าจิตใจของคนผู้นี้ไม่เลว อีกทั้งยังมีปณิธานยิ่งใหญ่ ขณะเดียวกันก็ทำงานยิบย่อยได้ดี น่าเสียดายก็แต่ไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะจะสืบทอดความรู้จากสายเล็กๆ ของข้า”

ฝูเซิงคลี่ยิ้ม ไม่เอ่ยอะไรอีก

เขาไม่ได้พูดชี้ชัด

อาจารย์ถ่ายทอดมรรคาให้ลูกศิษย์

ง่ายดายแค่ลูกศิษย์ตั้งใจรับฟังคำสั่งสอนของอาจารย์เท่านั้นจริงๆ หรือ?

ลูกศิษย์ไม่สามารถตรวจสอบแล้วชดเชยช่องโหว่ของความรู้อาจารย์ได้จริงๆ หรือ?

เพียงแต่ว่าเรื่องพวกนี้ไม่อาจบอกกล่าวแก่คนนอกได้ ต้องคิดได้เองเท่านั้น

ปรมาจารย์มหาปราชญ์เคยมีความกังวลว่า ยิ่งความรู้ของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อสูงเท่าไหร่ ตำแหน่งฐานะก็จะยิ่งสูงเท่านั้น ตำแหน่งเทพจะถูกขยับให้ออกห่างจากโลกมนุษย์ไปเรื่อยๆ แบบนั้นโลกมนุษย์จะทำอย่างไร?

หลี่เซิ่ง หย่าเซิ่งและยังมีเขาฝูเซิง หรือควรจะเรียกว่าฝูเซิ่ง รวมไปถึงรองเจ้าลัทธิขงจื๊อสองคนนั้น ต่างคนต่างก็มีคำตอบเป็นของตัวเอง

เพียงแต่ว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็ยังขมวดคิ้วมุ่นไม่คลาย

ภายหลังจึงมีซิ่วไฉเฒ่าจากตรอกยากจนผู้นั้นโผล่มา

ยุคสมัยนั้นช่างส่องแสงรุ่งโรจน์ชัชวาล

งานโต้วาทีระหว่างสามลัทธิทั้งสองครั้งนั้น เมล็ดพันธ์เต๋าและพุทธสองกลุ่มที่มีความสามารถล้ำเลิศน่าตะลึงซึ่งตัดสินใจแปรพักตร์เข้าไปเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊ออย่างเด็ดเดี่ยวไม่ได้มีแค่คนสองคนเท่านั้น

เคยมีเซียนหนุ่มคนหนึ่งของป๋ายอวี้จิงที่เข้าร่วมการโต้วาทีถามคำถามว่า ‘ในเมื่อลัทธิขงจื๊อของพวกเจ้าศรัทธาในคำกล่าวที่ว่าสันดานเดิมของมนุษย์นั้นดีงาม ในเมื่อทุกคนต่างก็มีจิตใจที่ดีงามแล้ว ถ้าเช่นนั้นคุณความชอบจากการอบรมสั่งสอนของลัทธิขงจื๊อพวกเจ้าจะอยู่ที่ใด?’

ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อพลันเอ่ยถามว่า “หากหลิ่วชิงซานออกเดินทางไกลไปพร้อมกับนักพรตหญิงหลิ่วป๋อฉี สุดท้ายจะได้เป็นสามีภรรยากันอย่างนั้นหรือ?”

อาจารย์ผู้เฒ่าฝูเซิง หรือควรจะเรียกว่าฝูเซิ่งอริยะใหญ่แห่งลัทธิขงจื๊อยิ้มกล่าว “นี่ก็ไม่เห็นเป็นไร ความคิดเห็นของคนในสามลัทธิจะเอาจริงเอาจังก็ต่อเมื่อเป็นเรื่องของความรู้เท่านั้น”

ในใจชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนเกิดข้อสงสัยขึ้นมาอีก

อาจารย์ผู้เฒ่าพยักหน้ารับพลางกล่าวว่า “คาดว่าหลิ่วชิงเฟิงคงจะเดาตัวตนของพวกเราออกแล้ว เพราะสวนสิงโตมีทางให้ถอยแล้ว ดังนั้นถึงได้มีการเดิมพันชะตาบุ๋นระหว่างหลิ่วชิงเฟิงกับซิ่วหู่แห่งต้าหลีในครั้งนี้”

ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนแค่นเสียงหยัน

ทว่าอาจารย์ผู้เฒ่ากลับพูดอย่างสะท้อนใจ “หากปีนั้นในบรรดาลูกศิษย์ของซิ่วไฉเฒ่ามีคนอย่างชุยฉาน หลิ่วชิงซานมากๆ หน่อย ก็คงไม่ถึงขั้นแพ้อย่าง…อาจจะยังแพ้อยู่ แต่อย่างน้อยก็ไม่แพ้อย่างน่าอนาถถึงเพียงนี้”

……

หลิ่วชิงเฟิงยืนอยู่ด้านล่างหอซิ่วโหลว บอกให้สาวใช้จ้าวหยาไปเชิญหลิ่วชิงชิงน้องสาวของเขาลงมาจากหอเรือน

จ้าวหยารู้สึกลำบากใจเล็กน้อย

หลายวันมานี้หลังจากที่คุณหนูได้รู้ความจริงคร่าวๆ ก็เจ็บปวดร้าวรานใจแทบใจสลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าพี่รองหลิ่วชิงซานเป็นคนพิการเพราะนาง แม้แต่ความคิดจะฆ่าตัวตายก็มีแล้ว หากไม่เป็นเพราะนางค้นพบได้เร็ว รีบย้ายพวกมีดกรรไกรออกไปจนหมดเกลี้ยง เกรงว่าสวนสิงโตที่หลังจากปิติยินดีกันอย่างยิ่งยวดไปแล้วคงต้องเจอกับความทุกข์ตรมเศร้าสร้อยอีกรอบ ดังนั้นนางจึงคอยอยู่ข้างกายคุณหนูทั้งวันทั้งคืนไม่ห่างไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว สองวันมานี้คุณหนูทรุดโทรมเสียยิ่งกว่าตอนที่ประสบหายนะเสียอีก ผ่ายผอมจนแทบจะเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกแล้วจริงๆ

หลิ่วชิงเฟิงพลันเอ่ยเรียกน้องชายเอาไว้ กล่าวว่า “ข้าขอบคุณเจ้าแทนบรรพบุรุษสกุลหลิ่วและบัณฑิตทุกคนในแคว้นชิงหลวน ความรู้ที่บริสุทธิ์ของสกุลหลิ่วไม่ลดทอนไปจากในอดีต บัณฑิตแคว้นชิงหลวนก็สามารถเงยหน้ายืดอกตั้งได้ไม่อายใคร”

หลิ่วชิงซานกล่าวอย่างฉงนสนเท่ห์ “เหตุใดต้องกล่าวเช่นนี้? พี่ใหญ่ ท่านกำลังพูดอะไรอยู่กันแน่ ทำไมข้าฟังไม่เข้าใจ?”

หลิ่วชิงเฟิงช่วยจัดสาบเสื้อให้หลิ่วชิงซาน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เด็กโง่ ไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ เจ้าแค่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนหาความรู้อย่างสบายใจก็พอ วันหน้าจะได้เป็นอริยะลัทธิขงจื๊อมาสร้างเกียรติยศให้แก่สกุลหลิ่วของพวกเรา”

หลิ่วชิงซานพูดหยอกล้อ “พี่ใหญ่ ท่านเป็นขุนนางจนทึ่มไปแล้วหรือไร ตอนนี้เพิ่งได้เป็นนายอำเภอเท่านั้น วันหน้าหากท่านเป็นรองเจ้ากรม เป็นเจ้ากรมจะทำอย่างไร?”

หลิ่วชิงเฟิงยิ้มอ่อน “ก็คอยรอดูกัน”

หลิ่วชิงเฟิงถาม “ตอนที่เจ้าไปบอกลาอาจารย์ทั้งสอง ข้าขอคุยกับหลิ่วป๋อฉีหน่อยได้หรือไม่? วางใจเถอะ แค่พูดคุยกันไม่กี่คำเท่านั้น”

หลิ่วชิงซานพยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”

หลิ่วชิงซานจึงไปบอกหลิ่วป๋อฉี หลิ่วป๋อฉีตอบรับ ตอนที่หลิ่วชิงซานไปหาอาจารย์ผู้เฒ่าฝูและอาจารย์หลิว

หลิ่วชิงเฟิงก็พาหลิ่วป๋อฉีเดินไปทางศาลบรรพชนสกุลหลิ่ว

ตลอดทางที่เดินกันไป หลิ่วชิงเฟิงไม่ได้เปิดปากพูดอะไร

ในใจหลิ่วป๋อฉีกลับเกิดความหวาดหวั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

แน่นอนว่าหลักๆ เป็นเพราะเมื่อนางตกหลุมรักหลิ่วชิงซาน ยามที่เผชิญหน้ากับหลิ่วชิงเฟิงหรือหลิ่วจิ้งถิง นางจึงรู้สึกว่าลำดับศักดิ์ของตัวเองต่ำกว่าอีกฝ่ายอยู่เสมอ

แต่หลิ่วป๋อฉีก็มีลางสังหรณ์ที่แปลกประหลาดบางอย่างว่า หลิ่วชิงเฟิงผู้นี้อาจจะไม่ใช่คนธรรมดา

หลิ่วชิงเฟิงหยุดฝีเท้าอยู่ด้านนอกประตูศาลบรรพชน เอ่ยถามว่า “หลิ่วป๋อฉี หากหลิ่วชิงซานน้องชายของข้ามีอายุขัยแสนสั้นดั่งมนุษย์ธรรมดาทั่วไป เจ้าจะทำอย่างไร?”

หลิ่วป๋อฉีตอบ “ตอนนี้ข้ามีตบะเป็นเซียนดินแล้ว วันหน้าจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนไม่ใช่เรื่องยาก ดังนั้นข้ายินดีจะถ่วงเวลารอหลิ่วชิงซานหนึ่งร้อยปี”

หลิ่วชิงเฟิงถามอีก “แล้วหากอนาคตอันรุ่งโรจน์ของหลิ่วชิงซานอยู่ที่สามอมตะ (สูงสุดคือสร้างคุณธรรม รองลงมาคือสร้างคุณประโยชน์ จากนั้นคือรังสรรค์ถ้อยคำ แม้เนิ่นนานก็ไม่เสื่อมสลาย) ของลัทธิขงจื๊อพวกเรา อีกทั้งยังมีหวังว่าจะทำได้ เจ้าจะทำอย่างไร?”

หลิ่วป๋อฉีตอบ “แต่งกับไก่ตามไก่ แต่งกับหมาตามหมา ใครที่กล้าทำลายมหามรรคาของสามีข้าหลิ่วป๋อฉี ก็ต้องถามมีดเทพเจ้าจิ้งและเจี่ยจั้วมีดแห่งชะตาชีวิตของข้าก่อนว่ายอมหรือไม่”

หลิ่วชิงเฟิงส่ายหน้า

หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยเบาๆ “เมื่อเผชิญกับเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะยามที่ต้องเลือกระหว่างความเป็นกับความตาย ข้าหวังว่าเจ้าที่เป็นภรรยาของน้องชายข้าจะสามารถพิจารณาปัญหาโดยยืนอยู่ในมุมมองของหลิ่วชิงซาน ไม่ใช่ว่าความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาก็คือ ‘ข้าหลิ่วป๋อฉีรู้สึกว่าทำเช่นนี้ถึงจะดีต่อหลิ่วชิงซาน ดังนั้นข้าก็จะทำแทนเขา’ มหามรรคาขรุขระเดินได้ยากลำบาก การเข่นฆ่าสังหารเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในเมื่อตัวเจ้าเองก็พูดแล้วว่าแต่งกับไก่ตามไก่ แต่งกับหมาตามหมา ถ้าอย่างนั้นข้าก็ยังหวังว่าเจ้าจะรู้ในสิ่งที่หลิ่วชิงซานคิดและต้องการจริงๆ ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงสามารถพูดกับเจ้าได้อย่างชัดเจนว่า วันหน้าย่อมต้องมีช่วงเวลาที่เจ้าได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจ หรือถึงขั้นได้รับความอยุติธรรมใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

เดิมทีหลิ่วป๋อฉีได้ยินคำว่า ‘ภรรยาของน้องชาย’ ก็ให้รู้สึกพิพักพิพ่วน แต่พอได้ยินคำพูดประโยคหลัง หลิ่วป๋อฉีกลับเหลือเพียงแค่ความเคารพนับถือจากใจจริง นางคลี่ยิ้มกล่าวว่า “วางใจเถอะ คำพูดเหล่านี้ข้าฟังด้วยความนับถือ ยอมศิโรราบให้ทั้งกายและใจ! ข้าผู้นี้เป็นคนค่อนข้างดื้อรั้น แต่ยังฟังออกว่าคำพูดใดหวังดี คำพูดใดประสงค์ร้าย!”

หลิ่วชิงเฟิงรู้สึกเหมือนได้ปลดเปลื้องภาระหนักอึ้งออกจากบ่า ยิ้มกล่าวว่า “น้องชายของข้าคนนี้สายตาดีมาก”

หลิ่วชิงเฟิงผายฝ่ามือไปทางศาลบรรพชน “เจ้าคือเทพเซียนบนภูเขา แค่ไหว้ศาลบรรพชนสกุลหลิ่วของพวกเราสามครั้งก็พอ”

หลิ่วป๋อฉีทำตามคำบอก

แต่กลับค้นพบว่าหลิ่วชิงเฟิงก็คำนับสามครั้งอยู่ไกลๆ เช่นกัน

อารมณ์ของหลิ่วป๋อฉีหนักอึ้งขึ้นมา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!