หลิ่วชิงเฟิงทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “อย่าโทษที่ข้าทำตัวเหมือนพ่อค้าหน้าเลือด ใช้ใจของคนถ่อยไปวัดใจของวิญญูชน แต่เป็นเพราะวันนี้พวกเราคิดให้มากหน่อย ในอนาคตก็จะได้ทุกข์น้อยลง พูดไปร้อยอย่างพันอย่าง สุดท้ายก็แค่หวังให้เจ้าชิงซานมีชีวิตที่ดี ขณะเดียวกันข้าเองก็มีใจเห็นแก่ตัว ขนบธรรมเนียมประจำตระกูลของสกุลหลิ่วสวนสิงโต ข้าที่เป็นพี่ชายคนโตรู้ดีว่าตัวเองไม่มีความสามารถจะแบกรับเอาไว้ จึงต้องให้เจ้าเป็นผู้รับหน้าที่นี้แทน”
หลิ่วชิงซานลุกขึ้นยืน เนื่องจากขาพิการ ไหล่จึงเอียงไปข้างหนึ่ง เขากุมมือคารวะด้วยสีหน้าสง่างาม “ข้าจะไปถามให้แน่ชัดเดี๋ยวนี้”
สายตาหลิ่วชิงเฟิงมีประกายซับซ้อนผ่านไปวูบหนึ่ง พูดเบาๆ ว่า “บนโลกมีเทพเซียนอยู่มากมาย ชิงซาน เจ้าวางใจเถอะ ต้องรักษาหายแน่นอน พี่ใหญ่รับรองกับเจ้า”
หลิ่วชิงซานคิดแค่ว่าพี่ชายกำลังปลอบใจตนจึงจากไปด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วจิ้งถิงกลับมีสายตาเฉียบคมที่ผ่านการฝึกฝนมาจากการเป็นขุนนาง เขารู้จักนิสัยของบุตรชายคนโตดีที่สุดว่าหนักแน่นแตกต่างไปจากคนทั่วไป ใจคอกว้างขวางเหนือกว่าคนธรรมดา ดังนั้นรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วจึงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
หลังจากหลิ่วชิงซานออกไปจากห้องหนังสือและปิดประตูลงแล้ว
หลิ่วชิงเฟิงที่มีสีหน้าเหนื่อยล้าก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ระหว่างที่เดินทางมาได้เจอกับเฉินผิงอันผู้นั้นพอดี”
หลิ่วจิ้งถิงระงับแรงสั่นสะเทือนในหัวใจขุมนั้นเอาไว้ ยิ้มพูดว่า “รู้สึกว่าเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลิ่วชิงเฟิงพยักหน้า “เป็นคนบนภูเขาที่พบเจอได้ยากยิ่ง และยิ่งเหมือนบัณฑิตแท้จริงที่มาจากตระกูลชนชั้นสูง”
หลิ่วจิ้งถิงคลี่ยิ้ม “เป็นเช่นนี้จริง”
หลิ่วชิงเฟิงทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
หลิ่วจิ้งถิงลุกขึ้นยืน ยื่นมือมากดไหล่บุตรชายคนโต “คนครอบครัวเดียวกันไม่พูดจาเกรงใจกัน วันหน้าชิงซานจะเข้าใจความหวังดีของเจ้าเอง ส่วนพ่อน่ะ บอกตามตรง ไม่รู้สึกว่าเจ้าทำถูก แต่ก็ไม่รู้สึกว่าเจ้าทำผิดเช่นกัน”
สีหน้าของหลิ่วชิงเฟิงหม่นหมอง
หลิ่วจิ้งถิงกล่าว “ไปดูชิงชิงหน่อยเถอะ นางสนิทกับชิงซาน แต่กลับเคารพนับถือเจ้ามาก ดังนั้นคำพูดบางอย่างหากเจ้าพูดจะได้ผลที่สุด”
หลิ่วชิงเฟิงพยักหน้ารับ “ข้าจะนั่งอยู่อีกสักพัก เดี๋ยวจะไปพบอาจารย์ทั้งสองท่านก่อนแล้วค่อยไปที่หอซิ่วโหลว”
หลิ่วจิ้งถิงถอนหายใจ “ตามหลักแล้วสมควรทำเช่นนี้”
รองเจ้ากรมผู้เฒ่าเดินออกไปจากห้องหนังสือก่อน
หลิ่วชิงเฟิงนั่งอยู่บนเก้าอี้เพียงลำพัง หันหน้าไปมองกลอนคู่บทนั้น
ใต้พู่กันค่ายพันทัพ บทกวีหมื่นทหารม้า มีคุณธรรมทัดเทียมอดีตและปัจจุบัน เก็บซ่อนตำราสอนลูกหลาน
อันที่จริงคนที่เขียนกลอนบทนี้ไม่ใช่หลิ่วชิงซานผู้เป็นเจ้าของห้องหนังสือ แต่เป็นพี่ชายอย่างเขาหลิ่วชิงเฟิง ปีนั้นที่น้องชายทำพิธีสวมกวาน (พิธีที่แสดงให้รู้ว่าเด็กหนุ่มกลายเป็นบุรุษเต็มตัวแล้ว) เขาเขียนมันด้วยตัวเองแล้วมอบให้หลิ่วชิงซานเป็นของขวัญ
หลิ่วชิงเฟิงเดินออกจากห้องหนังสือด้วยสีหน้าอ้างว้าง ไปเยี่ยมเยียนอาจารย์ผู้เฒ่าฝูเซิงและอาจารย์หลิวชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อ ฝ่ายแรกไม่ได้อยู่ที่โรงเรียน มีเพียงฝ่ายหลังที่อยู่ หลิ่วชิงเฟิงจึงถามข้อสงสัยบางอย่างในด้านความรู้กับฝ่ายหลังแล้วถึงได้บอกลาจากมา ไปหาน้องสาวหลิ่วชิงชิงที่หอซิ่วโหลว
หลังจากหลิ่วชิงเฟิงจากไป อาจารย์ผู้เฒ่าฝูเซิงถึงได้ปรากฎตัวออกมาจากความว่างเปล่า
ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อถามขึ้น “อาจารย์ หลิ่วชิงเฟิงทำเช่นนี้จะลากหลิ่วชิงซานเข้าไปในน้ำวนแห่งการแก่งแย่งช่วงชิงของสามลัทธิแคว้นชิงหลวน เป็นการกระทำที่ถูกหรือว่าผิด?”
ฝูเซิงยิ้มกล่าว “ก็มีคนบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า เรื่องราวของเมื่อวานตายไปเมื่อวาน เรื่องราวของวันนี้เกิดขึ้นวันนี้ ผิดถูกในวันนี้ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะผิดถูกในวันหน้า ยังต้องดูที่คน อีกอย่างนี่เป็นเรื่องของสกุลหลิว ข้าเองก็อยากยืมใช้โอกาสนี้มาลองดูว่าหลิ่วชิงซานอ่านตำราของอริยะปราชญ์เข้าท้องไปกี่มากน้อย เรื่องความหยิ่งในศักดิ์ศรีของบัณฑิตนี้ เดิมทีก็มีเพียงผ่านการขัดเกลาอย่างยากลำบากเท่านั้นถึงจะประสบความสำเร็จได้”
ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนรู้สึกจนใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อาจารย์ใช้คำกล่าวของลัทธิพุทธมาพูดถึงการกระทำของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ไม่ถูกหลักมารยาทเลย เพียงแต่เขาเองก็รู้ดีว่าฐานะของอาจารย์ที่อยู่ในศาลบุ๋นดั้งเดิมของแผ่นดินกลางสูงส่งเท่าไหร่ สิ่งที่สายตาของอาจารย์มองไปเห็นนั้นกว้างไกลอย่างมาก หากไม่เกี่ยวพันกับความเบี่ยงเบนบนมหามรรคาใต้ฝ่าเท้าของหลิ่วชิงซาน อาจารย์ก็จะไม่ยื่นมือเข้าก้าวก่าย หากครั้งนี้ตอนที่อยู่ในศาลบรรพชน หลิ่วชิงซานไม่ได้ออกมาโต้เถียงเจ้าแม่ต้นหลิ่ว ถ้าเช่นนั้นชั่วชีวิตนี้หลิ่วชิงซานก็จะรู้แค่ว่าในโรงเรียนมีอาจารย์สองคนที่อยู่สวนสิงโตมานานหลายปี หลังจากนั้นก็มีวันหนึ่งที่พวกเขาเดินทางกลับบ้านเกิด แล้วก็ไม่มีข่าวคราวส่งมาอีก
อันที่จริงโชควาสนาทั้งหลายในโลกก็ล้วนเป็นเช่นนี้ อาจมีการแบ่งแยกเล็กใหญ่ รวมไปถึงการรับลูกศิษย์ของเมธีร้อยสำนักและตระกูลเซียนบนภูเขาที่ใต้ฝ่าเท้าของแต่ละคนต่างก็มีเส้นทางให้ต้องเดิน จุดเริ่มต้นในการเจาะเข้าหาลูกศิษย์ที่หมายตาก็แตกต่างกันออกไป ทว่าแท้จริงแล้วในด้านของลักษณะกลับเหมือนกัน นั่นคือยังต้องดูว่าคนที่ถูกทดสอบสามารถคว้าโชควาสนานั้นไว้ได้อยู่มือหรือไม่ เทพเซียนลัทธิเต๋าจะชอบใช้วิธีการนี้เป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับการเฝ้ามองไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นของอาจารย์ฝูเซิงแล้ว พวกเขาจะเพิ่มอุปสรรคและความซับซ้อนให้มากขึ้น ทั้งเกียรติยศและความอัปยศล้วนสลับสับเปลี่ยนกันไป การพบพรากจากลา ความรักระหว่างพ่อลูก สามีภรรยา ห่วงพะวงมากมาย ความล่อลวงใจทั้งหลายก็ล้วนอาจต้องทดสอบให้ครบถ้วนไปหนึ่งรอบ ถึงขั้นที่ว่าในประวัติศาสตร์ยังมีขั้นตอนการรับลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงบางอย่างที่กินเวลาอย่างยาวนาน ถึงขนาดเกี่ยวพันไปถึงการมาจุติเกิดใหม่ในครรภ์ รวมไปถึงการฝึกประสบการณ์ในพื้นที่มงคล
น่าตะลึงพรึงเพริด อีกทั้งยังงดงามละลานตาไปหมด
ฝูเซิงพลันเอ่ยขึ้นว่า “อันที่จริงหลิ่วชิงเฟิงเหมาะที่จะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้ามาก”
ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนส่ายหน้า “ข้ารู้ว่าจิตใจของคนผู้นี้ไม่เลว อีกทั้งยังมีปณิธานยิ่งใหญ่ ขณะเดียวกันก็ทำงานยิบย่อยได้ดี น่าเสียดายก็แต่ไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะจะสืบทอดความรู้จากสายเล็กๆ ของข้า”
ฝูเซิงคลี่ยิ้ม ไม่เอ่ยอะไรอีก
เขาไม่ได้พูดชี้ชัด
อาจารย์ถ่ายทอดมรรคาให้ลูกศิษย์
ง่ายดายแค่ลูกศิษย์ตั้งใจรับฟังคำสั่งสอนของอาจารย์เท่านั้นจริงๆ หรือ?
ลูกศิษย์ไม่สามารถตรวจสอบแล้วชดเชยช่องโหว่ของความรู้อาจารย์ได้จริงๆ หรือ?
เพียงแต่ว่าเรื่องพวกนี้ไม่อาจบอกกล่าวแก่คนนอกได้ ต้องคิดได้เองเท่านั้น
ปรมาจารย์มหาปราชญ์เคยมีความกังวลว่า ยิ่งความรู้ของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อสูงเท่าไหร่ ตำแหน่งฐานะก็จะยิ่งสูงเท่านั้น ตำแหน่งเทพจะถูกขยับให้ออกห่างจากโลกมนุษย์ไปเรื่อยๆ แบบนั้นโลกมนุษย์จะทำอย่างไร?
หลี่เซิ่ง หย่าเซิ่งและยังมีเขาฝูเซิง หรือควรจะเรียกว่าฝูเซิ่ง รวมไปถึงรองเจ้าลัทธิขงจื๊อสองคนนั้น ต่างคนต่างก็มีคำตอบเป็นของตัวเอง
เพียงแต่ว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็ยังขมวดคิ้วมุ่นไม่คลาย
ภายหลังจึงมีซิ่วไฉเฒ่าจากตรอกยากจนผู้นั้นโผล่มา
ยุคสมัยนั้นช่างส่องแสงรุ่งโรจน์ชัชวาล
งานโต้วาทีระหว่างสามลัทธิทั้งสองครั้งนั้น เมล็ดพันธ์เต๋าและพุทธสองกลุ่มที่มีความสามารถล้ำเลิศน่าตะลึงซึ่งตัดสินใจแปรพักตร์เข้าไปเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊ออย่างเด็ดเดี่ยวไม่ได้มีแค่คนสองคนเท่านั้น
เคยมีเซียนหนุ่มคนหนึ่งของป๋ายอวี้จิงที่เข้าร่วมการโต้วาทีถามคำถามว่า ‘ในเมื่อลัทธิขงจื๊อของพวกเจ้าศรัทธาในคำกล่าวที่ว่าสันดานเดิมของมนุษย์นั้นดีงาม ในเมื่อทุกคนต่างก็มีจิตใจที่ดีงามแล้ว ถ้าเช่นนั้นคุณความชอบจากการอบรมสั่งสอนของลัทธิขงจื๊อพวกเจ้าจะอยู่ที่ใด?’
ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อพลันเอ่ยถามว่า “หากหลิ่วชิงซานออกเดินทางไกลไปพร้อมกับนักพรตหญิงหลิ่วป๋อฉี สุดท้ายจะได้เป็นสามีภรรยากันอย่างนั้นหรือ?”
อาจารย์ผู้เฒ่าฝูเซิง หรือควรจะเรียกว่าฝูเซิ่งอริยะใหญ่แห่งลัทธิขงจื๊อยิ้มกล่าว “นี่ก็ไม่เห็นเป็นไร ความคิดเห็นของคนในสามลัทธิจะเอาจริงเอาจังก็ต่อเมื่อเป็นเรื่องของความรู้เท่านั้น”
ในใจชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนเกิดข้อสงสัยขึ้นมาอีก
อาจารย์ผู้เฒ่าพยักหน้ารับพลางกล่าวว่า “คาดว่าหลิ่วชิงเฟิงคงจะเดาตัวตนของพวกเราออกแล้ว เพราะสวนสิงโตมีทางให้ถอยแล้ว ดังนั้นถึงได้มีการเดิมพันชะตาบุ๋นระหว่างหลิ่วชิงเฟิงกับซิ่วหู่แห่งต้าหลีในครั้งนี้”
ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนแค่นเสียงหยัน
ทว่าอาจารย์ผู้เฒ่ากลับพูดอย่างสะท้อนใจ “หากปีนั้นในบรรดาลูกศิษย์ของซิ่วไฉเฒ่ามีคนอย่างชุยฉาน หลิ่วชิงซานมากๆ หน่อย ก็คงไม่ถึงขั้นแพ้อย่าง…อาจจะยังแพ้อยู่ แต่อย่างน้อยก็ไม่แพ้อย่างน่าอนาถถึงเพียงนี้”
……
หลิ่วชิงเฟิงยืนอยู่ด้านล่างหอซิ่วโหลว บอกให้สาวใช้จ้าวหยาไปเชิญหลิ่วชิงชิงน้องสาวของเขาลงมาจากหอเรือน
จ้าวหยารู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
หลายวันมานี้หลังจากที่คุณหนูได้รู้ความจริงคร่าวๆ ก็เจ็บปวดร้าวรานใจแทบใจสลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าพี่รองหลิ่วชิงซานเป็นคนพิการเพราะนาง แม้แต่ความคิดจะฆ่าตัวตายก็มีแล้ว หากไม่เป็นเพราะนางค้นพบได้เร็ว รีบย้ายพวกมีดกรรไกรออกไปจนหมดเกลี้ยง เกรงว่าสวนสิงโตที่หลังจากปิติยินดีกันอย่างยิ่งยวดไปแล้วคงต้องเจอกับความทุกข์ตรมเศร้าสร้อยอีกรอบ ดังนั้นนางจึงคอยอยู่ข้างกายคุณหนูทั้งวันทั้งคืนไม่ห่างไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว สองวันมานี้คุณหนูทรุดโทรมเสียยิ่งกว่าตอนที่ประสบหายนะเสียอีก ผ่ายผอมจนแทบจะเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกแล้วจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!