อ่านสรุป บทที่ 396.1 น้ำแกงไก่หนึ่งถ้วยยังไม่รู้ จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บทที่ บทที่ 396.1 น้ำแกงไก่หนึ่งถ้วยยังไม่รู้ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
พ้นออกมาจากถนนเส้นเล็กของสวนสิงโต เดินผ่านกอต้นอ้อต้นกกเขียวขจีที่ขึ้นริมทะเลสาบขนาดเล็ก เลี้ยวโค้งอีกทีก็สามารถแยกเข้าไปยังทางหลวงของเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนได้แล้ว ผลคือพออ้อมออกมาจากทางเล็กที่ขึ้นเต็มไปด้วยพงต้นกกต้นอ้อก็เห็นคนผู้หนึ่งนั่งโดยสารรถมาท่าทางเร่งรีบ เขาเพิ่งจะออกจากถนนทางหลวงเข้ามาในทางเส้นเล็ก เพราะถนนคับแคบ พื้นผิวถนนก็ขรุขระ รถเทียมวัวกระเด้งกระดอนหนึ่งที บุรุษชุดเขียวที่นั่งอยู่ด้านหลังก็เกือบจะถูกเหวี่ยงออกมา รถที่โยกคลอนแทบจะทำให้กระดูกเคลื่อน ส่วนสารถีก็คือเด็กหนุ่มลักษณะเหมือนเด็กรับใช้คนหนึ่ง คงเป็นเพราะนายท่านของตนเร่งรัดมาตลอดทาง เดิมทีนิสัยและวัยของเขาก็อยู่ในช่วงใจร้อนอยู่แล้ว บวกกับที่ทักษะในการขับรถเทียมวัวไม่เชี่ยวชาญ สี่ขาของวัวจึงควบตะบึงพุ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาในทางเล็กเส้นนี้ คิดไม่ถึงว่าสุดปลายทางของทางเล็กที่เดิมควรมีเพียงพงต้นกกต้นอ้อของสวนสิงโตจะมีคนกลุ่มหนึ่งโผล่ออกมา แถมคนที่เดินนำหน้ายังเป็นแม่นางน้อยที่ในมือถือไม้เท้าเดินกระโดดโลดเต้นอีกด้วย หากชนเข้าจะไม่มีคนตายหรอกหรือ?
เด็กหนุ่มที่เป็นเด็กรับใช้ตระหนกลน บุรุษที่สวมชุดเขียวก็ยิ่งร้อนใจ คนหนึ่งมือไม้พันกันเป็นพัลวัน อีกคนหนึ่งร้องเตือนเสียงดัง ดังนั้นเผยเฉียนจึงเบิกตากว้างมองวัวแก่ลากรถพาคนโง่สองคนส่ายไปส่ายมา ก่อนจะพุ่งพรวดเข้าไปในทะเลสาบหลังพงต้นกกต้นอ้อ
อันที่จริงเผยเฉียนเบี่ยงตัวหลบพวกเขาตั้งนานแล้ว นางมายืนอยู่กลางพงต้นกกต้นอ้อกอใหญ่ ต่อให้รถเทียมวัวจะพุ่งตรงมาข้างหน้าก็ไม่เป็นไร ไม่มีทางชนนางอย่างแน่นอน
อะไรกัน เช้าตรู่ขนาดนี้ก็มีคนนึกอยากอาบน้ำแล้วหรือ? หรือว่าแท้จริงแล้วนั่นคือเทพเซียนคู่หนึ่ง วัวตัวนั้นก็สามารถลากรถเดินบนน้ำได้ เมื่อทำเช่นนั้นจะมีกลิ่นอายแห่งเซียนมากเป็นพิเศษ? ก่อนหน้านี้นางก็เพิ่งได้ขี่วัวเหลืองที่เป็นเผ่าพันธุ์ของวัวดินนี่นะ มันมหัศจรรย์มาก ขึ้นเขาลงน้ำก็ล้วนมั่นคงปลอดภัย
ทว่าภาพที่เห็นตรงหน้าเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กร้องโวยวายดังระงม จากนั้นเสียงตูมก็ดังขึ้น สะเก็ดน้ำแตกกระจาย แล้วก็มองไม่เห็นเงาพวกเขาอีก
เผยเฉียนขยับเท้ามองไปตามทางเส้นเล็กที่รถเทียมวัวคันนั้นบดพงต้นกกต้นอ้อให้ราบไปเป็นทาง รถทั้งคันพุ่งลงน้ำไปทั้งอย่างนั้น
เผยเฉียนจับคางจมสู่ภวังค์ความคิด ได้ยินว่าขอแค่เทพเซียนบนภูเขาพกไข่มุกหลบน้ำแหวกว่ายลงไปยังหุบเหวลึกใต้น้ำเพื่อจับเจียวจับมังกรก็ล้วนเหมือนเดินอยู่บนพื้นที่ราบ
จูเหลี่ยนและสือโหรวต่างพากันพุ่งตัวไปช่วยทั้งคนและวัว
เฉินผิงอันดึงหูเผยเฉียน “บอกเจ้าแล้วไงว่าให้เดินดูทางด้วย”
เผยเฉียนเขย่งปลายเท้า ร้องวิงวอนเสียงดัง อธิบายว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร วัวตัวนั้นเดินไม่ตรงทางเอง พุ่งส่ายไปส่ายมาเหมือนคนเมาอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายก็พาตัวเองลงน้ำไปเอง โอ้ย เจ็บๆๆ …อาจารย์ ข้าหลบทางให้พวกเขาแล้วจริงๆ นะ…อีกอย่างอาจารย์ท่านก็เคยเห็นรถเทียมวัวเทียมลามาแล้วไม่ใช่หรือ แต่ละคันไม่ควรช้าอืดอาดหรอกหรือ รถเทียมวัวคันนี้กลับเผด็จการนัก แทบจะบินขึ้นไปบนฟ้าอยู่แล้ว…”
เฉินผิงอันปล่อยมือให้เผยเฉียนได้ยืนดีๆ เผยเฉียนแยกเขี้ยว ยื่นมือมาลูบหูตัวเองเบาๆ เจ็บชะมัด
จูเหลี่ยนปากอีกาจริงๆ ก่อนหน้านี้เขาบอกว่าไม่ให้ตนหลงระเริงลำพองตนอะไรสักอย่างนี่แหละ
เฉินผิงอันพอจะโล่งใจได้บ้าง เพราะหลังจากจูเหลี่ยนและสือโหรวลงน้ำไปแล้ว เพียงไม่นานก็พาทั้งนายบ่าวทั้งวัวและรถขึ้นมาบนฝั่งได้
เด็กหนุ่มยังหวาดผวาไม่คลาย นั่งอยู่บนต้นอ้อต้นกกที่ก่อนหน้านี้ถูกรถเทียมวัวบดขยี้เป็นทางราบแล้วร้องไห้โฮเสียงดังลั่น
วัวแก่ขึ้นฝั่งมาแล้วก็สะบัดร่าง หางของมันฟาดเข้าที่ศีรษะของเด็กหนุ่มพอดี คราวนี้เขากลับหยุดเสียงร้องเอาไว้ได้
บุรุษสวมชุดสีเขียวอายุประมาณสามสิบปี หน้าตาไม่แก่ พอถูกช่วยขึ้นมาบนฝั่งแล้วก็กุมมือโค้งตัวขอบคุณสือโหรว
เฉินผิงอันเดินเข้าไปหา กุมหมัดขออภัย
บุรุษชุดเขียวรู้สึกอับอายและละอายใจยิ่งนักจึงรีบคารวะขออภัยติดๆ กันอีกครั้ง
สุดท้ายบุรุษผู้นี้เช็ดคราบน้ำบนใบหน้า ดวงตาพลันเป็นประกาย ถามเฉินผิงอันว่า “ใช่คุณชายเฉินที่ร่วมมือกับเซียนซือนักพรตหญิงช่วยสวนสิงโตของพวกเราไว้หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วลองถามหยั่งเชิง “ท่านคือนายอำเภอหลิ่ว?”
บุรุษชุดเขียวหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ “ข้าน้อยหลิ่วชิงเฟิง คือพี่ชายของหลิ่วชิงซาน”
หลิ่วชิงเฟิงบุตรชายคนโตของรองเจ้ากรมผู้ฒ่าหลิ่ว ตอนนี้รับหน้าที่เป็นนายอำเภอของอำเภอแห่งหนึ่ง ไม่อาจพูดได้ว่าเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน แต่ก็ถือว่าเป็นบัณฑิตที่มีอนาคตราบรื่นยาวไกล
เพียงแต่ว่าเมื่อบิดาของเขาคือหลิ่วจิ้งถิงที่หน้าที่การงานรุ่งโรจน์ มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการนักประพันธ์แล้ว หลิ่วชิงเฟิงจึงกลายเป็นว่าความสามารถธรรมดาสามัญ ตอนที่หลิ่วจิ้งถิงอายุเท่าเขาก็ใกล้จะได้รับหน้าที่เป็นรองเจ้ากรมพิธีการลำดับรองขั้นสามของแคว้นชิงหลวนแล้ว อีกทั้งหลิ่วจิ้งถิงยังได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำแห่งวงการวรรณกรรม ประมุขแห่งบุคคลผู้มีวัฒนธรรม ตอนนี้พอหันกลับมามองหลิ่วชิงเฟิงผู้เป็นบุตรชายอีกครั้ง ก็ไม่แปลกที่บางคนจะทอดถอนใจที่บิดาเป็นพยัคฆ์แต่บุตรกลับเป็นสุนัข
ต้องรู้ว่าเมื่อหลิ่วจิ้งถิงตายไปเขาย่อมได้รับบรรดาศักดิ์ยกย่องย้อนหลังในลำดับต้นๆ จากทางราชสำนักอย่างแน่นอน นี่เป็นเรื่องที่ถูกกำหนดมาไว้แล้ว ส่วนด้านหลังคำว่า ‘บุ๋น’ จะเป็นตัวอักษรอะไร จะเป็นคำว่าเที่ยงตรง หรือจะเป็นคำว่าภักดี หรือบางทีอาจจะเป็นคำว่านอบน้อม สำเร็จ ที่เป็นระดับรองลงมาก็ล้วนมีความเป็นไปได้ ทั้งสองอย่างนี้ล้วนต้องให้ฮ่องเต้เป็นคนออกพระราชโองการ ไม่อาจให้เหล่าขุนนางตัดสินใจกันได้เอง ก่อนหน้านี้คนในราชสำนักรู้สึกว่าความเป็นไปได้ของข้อแรกมีมากกว่า แต่หลังจากที่หลิ่วชิงซานบุตรชายคนรองของเขากลายเป็นคนขาพิการ สิ่งที่คาดการณ์เอาไว้ก็ถูกลดทอนลงไปมาก อย่าว่าแต่ผู้เที่ยงตรงแห่งสายบุ๋นที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในประวัติศาสตร์ของแคว้นชิงหลวนเลย ต่อให้เป็นผู้ภักดีแห่งสายบุ๋นก็ยังไม่น่าจะได้มาครองแล้ว
เฉินผิงอันตะโกนเรียกเผยเฉียนมา
เผยเฉียนที่เหมือนถูกแปะแผ่นยันต์หยุดนิ่งของตระกูลเซียนมาโดยตลอดประหนึ่งได้รับอภัยโทษ วิ่งปรู๊ดมาหยุดข้างกายเฉินผิงอัน ประสานมือคารวะขออภัยหลิ่วชิงเฟิงและเด็กหนุ่มที่เป็นเด็กรับใช้ของเขา อธิบายเสียงดังถึงความผิดมากมายของตนเอง
อันที่จริงในใจเผยเฉียนกลับไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองผิดมากสักเท่าไหร่ แถมยังบ่นความไม่ได้เรื่องของหลิ่วชิงเฟิง เพียงแต่ว่าอาจารย์โกรธแล้ว นางยังจะทำอะไรได้อีก? อย่าว่าแต่เอ่ยคำขอโทษที่ไม่ต้องเสียเนื้อหนังเลย ต่อให้นางต้องควักเงินมาเป็นค่าไถ่โทษ เคลื่อนย้ายสิ่งของที่อยู่ในกล่องเก็บสมบัติออกมาข้างนอก เผยเฉียนก็ได้แต่ทำตามแต่โดยดี
หลิ่วชิงเฟิงรีบช่วยพูดแทนเผยเฉียน เผยเฉียนถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย รู้สึกว่าบัณฑิตที่เป็นนายอำเภอผู้นี้มีคุณธรรมไม่น้อย
หลังจากนั้นก็ย่อมเป็นการชักชวนเฉินผิงอันให้กลับไปสวนสิงโตด้วยกัน เพียงแต่เมื่อเฉินผิงอันบอกว่าจะไปเมืองหลวงเพื่อดูว่าจะไปทันช่วงท้ายของงานโต้วาทีพุทธเต๋าหรือไม่ หลิ่วชิงเฟิงก็เกรงใจเกินกว่าจะเอ่ยเกลี้ยกล่อมได้อีก
เฉินผิงอันช่วยหลิ่วชิงเฟิงซ่อมรถเทียมวัวให้ดีก่อน จากนั้นสองฝ่ายก็บอกลากัน ต่างคนต่างเร่งเดินทางต่ออีกครั้ง
พอเดินแยกเข้ามาบนถนนทางหลวงแล้ว จูเหลี่ยนจึงยิ้มเอ่ยว่า “รู้สึกว่าหลิ่วชิงเฟิงบุตรชายคนโตของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วแห่งสวนสิงโตผู้นี้มีลักษณะเหมาะให้เป็นขุนนางมากกว่าหลิ่วชิงซานผู้เป็นน้องชาย”
เฉินผิงอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
หลิ่วชิงซานมีกลิ่นอายของบัณฑิตเข้มข้นกว่า ความสามารถมากกว่า ความรู้มีอยู่เต็มท้อง การปฏิบัติตัวก็ยิ่งสมกับเป็นวิญญูชนที่แท้จริง ส่วนพี่ชายอย่างหลิ่วชิงเฟิงคล้ายจะไม่มีประกายคมกริบเช่นนั้น แทบจะไม่มีเหลี่ยมมุมใดๆ เลย
แต่เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าพี่น้องทั้งสองคนนี้ต่างก็เป็นบัณฑิตที่โลกใบนี้ต้องการ เพียงแค่นี้เท่านั้น ส่วนในอนาคตใครจะประสบความสำเร็จมากกว่ากัน สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วพวกเขาก็ยังเป็นคนของสวนสิงโต เป็นคนในครอบครัวเดียวกันอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
เฉินผิงอันถาม “เผยเฉียน รู้หรือไม่ว่าจุดที่น่านับถือที่สุดของนายอำเภอหลิ่วผู้นี้อยู่ตรงไหน?”
เผยเฉียนหลุดปากตอบออกไป “เป็นขุนนางแต่นิสัยยังดีอยู่ ไม่มีการวางมาดใดๆ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “คือการกระทำที่ออกมาจากใจจริงของเขา เขายอมให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย แต่ก็ต้องหลีกทางให้เจ้าให้ได้”
ทุกคนคงจินตนาการไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเซียนซือต่างถิ่นอย่างเฉินผิงอันหรือหลิ่วป๋อฉี แม้แต่คนส่วนใหญ่ในสวนสิงโตก็คงไม่รู้เรื่องหนึ่ง นั่นคือหัวใจหลักตามความหมายที่แท้จริงของสวนสิงโตนั้น แท้จริงแล้วคือหลิ่วชิงเฟิงที่ระดับขุนนางไม่สูง ความสามารถและชื่อเสียงก็ธรรมดาสามัญผู้นี้ต่างหาก หาใช่หลิ่วจิ้งถิงที่เป็นประมุขของตระกูลไม่ ตอนนั้นหลิ่วป๋อฉีแอบฟังคนทั้งสามคุยกันในวงสุรา ความสนใจส่วนใหญ่ล้วนถูกหลิ่วชิงซานดึงดูดไป ไม่อาจขบคิดใคร่ครวญได้ถึงความนัยของการ่ำสุราครั้งนั้นออก เพียงแต่ว่าการเปลี่ยนแปลงทางสภาพจิตใจของพ่อลูกสามคนที่เป็นไปตามลำดับขั้นตอน ประดุจน้ำมาคลองก็เสร็จนี้ หาใช่สิ่งที่หลิ่วชิงเฟิงจงใจทำให้เป็นเช่นนั้นไม่ หลิ่วชิงเฟิงบุตรชายคนโตที่เน้นในด้านการปฏิบัติ ศรัทธาในการสร้างคุณความชอบได้รับหน้าที่ซึ่งมีบทบาทคล้ายคลึงกับเค่อชิง (คนต่างแคว้นที่มารับหน้าที่ขุนนางในอีกแคว้นหนึ่ง) หรือไม่ก็กุนซือของหลิ่วจิ้งถิงมานานมากแล้ว เพราะนอกจากหลิ่วชิงซานจะต้องออกไปหาประสบการณ์และสอบเคอจวี่แล้วก็ล้วนมุ่งมั่นศึกษาหาความรู้อยู่ในสวนสิงโตมาโดยตลอด แต่หลิ่วชิงเฟิงนั้นไม่เหมือนกัน ในช่วงเวลาระหว่างที่หลิ่วจิ้งถิงเป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวง บุตรชายคนโตอย่างเขาก็คอยช่วยเหลืออยู่เคียงข้างในจวนที่เมืองหลวงตลอดเวลา ดังนั้นจึงเข้าใจภาระงานด้านการปกครองของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วมากกว่าหลิ่วชิงซาน และยิ่งคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงของคลื่นลมมรสุมในราชสำนักแคว้นชิงหลวนเป็นอย่างดี
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มกล่าว “จดหมายที่ท่านพ่อส่งไปยังที่ว่าการอำเภอ ข้าได้อ่านอย่างละเอียดแล้ว”
หลิ่วชิงซานพบว่าพี่ชายกำลังยิ้มมองตนก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวายไม่เป็นสุข
หลิ่วชิงเฟิงพลันหัวเราะเสียงดังกึกก้อง
หลิ่วชิงซานหน้าแดงน้อยๆ “พี่ใหญ่!”
หลิ่วจิ้งถิงทอดถอนใจกล่าวว่า “เรื่องของเจ้าแม่ต้นหลิ่ว หากยอมฟังคำของเจ้าตั้งแต่เนิ่นๆ พูดคุยกับนางอย่างตรงไปตรงมา ไม่แน่ว่าความสัมพันธ์ก็อาจจะไม่ชะงักงันอย่างในทุกวันนี้”
หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยปลอบใจ “ท่านพ่อ การเป็นคนก็ดี เป็นเทพรับควันธูปก็ช่าง ถึงอย่างไรจิตใจก็เป็นรากฐานของแต่ละคน อันที่จริงไม่ใช่ว่าคำพูดจากใจจริงแค่ไม่กี่คำของฝ่ายพวกเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ที่สวนสิงโตประสบพบเจอในครั้งนี้ได้ โชคดีที่เจ้าแม่ต้นหลิ่วต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่กับสวนสิงโตของพวกเรา หายนะครั้งนี้จึงถือว่าเป็นการตักเตือนนาง ได้พบโชคดีหลังหายนะ นี่ต้องยกคุณความชอบให้กับคุณชายเฉินที่มีจิตใจของจอมยุทธ์ผู้ผดุงธรรม รวมไปถึงนักพรตหญิงที่ชิงซานคุ้นเคยดีผู้นั้น…แซ่หลิ่ว ชื่อว่าอะไรแล้วนะ?”
หลิ่วชิงซานอับอายจนพานเป็นความโกรธ “หลิ่วป๋อฉี! พี่ใหญ่ท่านพูดไม่แล้วไม่เลิกสักทีนะ?!”
หลิ่วชิงเฟิงหุบยิ้ม ถามด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าชอบนางจริงๆ หรือ?”
หลิ่วชิงซานเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย
หลิ่วจิ้งถิงลังเลอยู่ชั่วขณะก็กล่าวอย่างจนใจว่า “ถึงอย่างไรนักพรตหญิงคนนั้นก็เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขา หากพูดถึงแค่เรื่องของสวนสิงโต พวกเราซาบซึ้งในพระคุณของนางอย่างไรก็ล้วนไม่มากเกินไป แต่เกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่ในชีวิตของน้องชายเจ้าอย่างเรื่องของการแต่งงานนี้ เฮ้อ วุ่นวายซะจริง”
ในฐานะรองเจ้ากรมพิธีการผู้เฒ่าแห่งแคว้นชิงหลวน ตระกูลเซียนในอาณาเขตของหนึ่งแคว้นหรือเซียนซือที่เดินทางผ่านมาย่อมไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ บวกกับที่ฮ่องเต้สกุลถังมีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง ดังนั้นต่อให้เผชิญหน้ากับเซียนซือเทียบวงศ์ตระกูลและผู้ฝึกตนอิสระแห่งภูเขาแม่น้ำ รองเจ้ากรมอย่างเขาก็ล้วนหยัดเอวได้ตรงอยู่เสมอ
เพียงแต่ว่าต่อให้เป็นขุนนางที่เที่ยงธรรมแค่ไหนก็ยากจะตัดสินใจเรื่องในบ้านได้
หลิ่วชิงเฟิงใช้สายตาบอกเป็นนัยแก่บิดาว่าเขารู้ดีว่าควรทำเช่นไร ก่อนจะพูดกับหลิ่วชิงซานว่า “ชิงซาน ข้าเชื่อว่าเมื่อเจ้าชอบแล้วก็เป็นความชอบที่มาจากใจจริง รูปร่าง ชาติกำเนิด นิสัยใจคอ สิ่งเหล่านี้เจ้าต้องผ่านการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบมาด้วยตัวเองแล้ว และข้าก็เชื่อในสายตาของเจ้า ข้าผู้เป็นพี่ชายจะไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้ และยิ่งไม่มีทางเข้าไปจู้จี้กับเรื่องของพวกเจ้าสองคน แต่พวกเรามาลองสมมติกันว่าหลังจากนี้เซียนซือนักพรตหญิงจากทวีปอื่นที่ชื่อว่าหลิ่วป๋อฉีผู้นี้อาจแต่งเข้ามาในสวนสิงโตของพวกเรา กลายมาเป็นภรรยาที่แต่งเข้ามาอย่างถูกต้องเปิดเผยของเจ้าชิงซาน ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ต้องพิจารณาสองเรื่อง เรื่องแรก หลิ่วป๋อฉีคือคนบนเส้นทางของการฝึกตน ดังนั้นพวกเราจะไม่เรียกร้องในเรื่องยิบย่อยกับนาง เพียงแต่ว่านางจะเต็มใจมาฝึกตนอยู่ในสวนสิงโต ปฏิบัติกับเจ้าชิงซานตามมารยาทของสามีภรรยาอย่างจริงใจ หรือว่าเมื่ออยู่ด้วยกันนานวันเข้าก็จะอาศัยสถานะเซียนซือบนภูเขาของตนถือตัวอยู่เหนือเจ้าหลิ่วชิงซาน อาจถึงขั้นยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจธุระในสวนสิงโตหรือไม่?”
“ข้อที่สอง ชิงซาน นางเคยพูดอะไรที่เป็นการบอกนัยๆ ให้เจ้าฝึกวิชาเซียนกับนางหรือไม่? ต้องการให้เจ้าละทิ้งตำราอริยะปราชญ์ทั้งหมด ไปจากสวนสิงโต ออกจากวิถีของมนุษย์ปุถุชนขึ้นไปบนภูเขาหรือไม่?”
“ความรักระหว่างชายหญิงบนโลก แรกเริ่มมักจะทำให้คนรู้สึกงดงามเสมอ ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนน่าประทับใจ ก็เหมือนกับสวนสิงโตแห่งนี้ที่สร้างขึ้นระหว่างภูเขาเขียวสายน้ำใส ประหนึ่งแดนสุขาวดีนอกโลกอย่างไรอย่างนั้น แต่พอถึงเวลาเกิดเรื่อง เจ้าแม่ต้นหลิ่วเทพแห่งผืนดินที่ได้รับการยกย่องมาทุกยุคสมัยล่ะเป็นอย่างไร? หากไม่เป็นเพราะเจ้าแม่ต้นหลิ่วไม่อาจย้ายถิ่นฐานได้ เกรงว่านางคงทอดทิ้งสวนสิงโตไปหลบภัยอยู่ไกลๆ นานแล้ว บุญสัมพันธ์และควันธูปที่คนเจ็ดรุ่นของสกุลหลิ่วสร้างไว้ พอถึงเวลา อยู่ต่อหน้าป้ายวิญญาณบรรพบุรุษมากมายในศาลบรรพชน คำพูดของเจ้าแม่ต้นหลิ่วก็ทำร้ายจิตใจคนอย่างถึงที่สุดอยู่ดีไม่ใช่หรือ? ดังนั้นชิงซาน ใช่ว่าข้าจะไม่ต้องการให้เจ้าใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับหลิ่วป๋อฉี เพียงแต่หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ บนภูเขากับล่างภูเขาคือโลกสองใบ ปัญญาชนกับผู้ฝึกตนก็เป็นมนุษย์คนละประเภท เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม หลังจากเจ้าแต่งงานแล้ว จะเป็นนางหลิ่วป๋อฉีที่ย้ายมาอยู่กับเจ้า หรือเป็นเจ้าหลิ่วชิงซานที่ต้องติดตามนาง? เจ้าเคยคิดหรือไม่ หากเคยคิดแล้ว ได้คิดให้กระจ่างแล้วหรือยัง?”
“ใช่ หลิ่วป๋อฉีมีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อสวนสิงโต ไม่เพียงแต่กำจัดปีศาจปราบมาร ช่วยสกุลหลิ่วของพวกเราที่เป็นดั่งอาคารใหญ่ใกล้จะล้มลงเอาไว้ หลังจบเรื่องก็ยิ่งยอมทุ่มเงินก้อนใหญ่จ่ายเงินเทพเซียนตั้งมากมายให้แทนสกุลหลิ่วของพวกเรา แต่ชิงซานเจ้าคิดดีแล้วหรือ ใช่ว่าพระคุณยิ่งใหญ่นี้ของหลิ่วป๋อฉีสกุลหลิ่วของเราจะไม่ยินดีใช้คืน ตั้งแต่ท่านพ่อมาจนถึงพี่ชายอย่างข้า และไปถึงคนทั้งสวนสิงโต ล้วนไม่มีใครต้องการให้เจ้าหลิ่วชิงซานแบกรับไว้คนเดียว คนรุ่นนี้ของสกุลหลิ่วไม่อาจชดใช้พระคุณครั้งนี้คืนได้หมด ถ้าอย่างนั้นก็ให้เป็นคนสองรุ่น คนสามรุ่น ขอแค่หลิ่วป๋อฉียินดีรอ พวกเราก็ยินดีชดใช้ให้ตลอดไป”
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!