กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 395

ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนหยุดยืนอยู่ห่างไปไกล

มีเพียงอาจารย์ผู้เฒ่าที่เดินมาหยุดข้างกายเผยเฉียน ถามด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางน้อย ขอข้าอ่านตัวอักษรบนแผ่นไม้ไผ่ได้หรือไม่?”

เผยเฉียนลุกขึ้นยืนแล้วประสานมือคารวะอย่างเข้าท่าเข้าที เรียกอีกฝ่ายคำหนึ่งว่าอาจารย์ผู้เฒ่าฝู ครุ่นคิดแล้วก็ทรุดตัวกลับไปนั่งดังเดิม โบกมือกล่าวว่า “เชิญท่านอ่านเถอะ ไม่ได้มีอะไรที่น่าอับอายเสียหน่อย มีแต่เรื่องดีๆ ด้วยซ้ำ อาจารย์ของข้าคัดลอกมาจากในตำราอย่างยากลำบาก หากไม่ใช่ประสบการณ์จากการเดินทางไกลไปทั่วทิศก็เป็นเรื่องที่ได้ยินได้ฟังคนอื่นเขาเล่ามาอีกที”

ก็เหมือนประโยคเหลวไหลที่จูเหลี่ยนหลุดปากเมื่อไม่นานมานี้ว่า ชีวิตคนคือตำราแห่งความทุกข์ยาก สามารถสอนคนได้ดีที่สุด

แล้วเฉินผิงอันก็ยังเอามาสลักลงบนแผ่นไม้ไผ่ครบถ้วนทุกตัวอักษร แต่เผยเฉียนไม่ชอบไม้ไผ่แผ่นนี้มากที่สุด ดังนั้นจึงวางมันไว้ริมขอบนอกสุด ปล่อยให้มันโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพัง

ถึงอย่างไรนางก็รู้สึกว่าไม้ไผ่แผ่นนี้เทียบกับไม้ไผ่แผ่นอื่นทุกแผ่นของอาจารย์ไม่ได้

เผยเฉียนเชิดศีรษะขึ้นสูง พูดอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่า ตกลงกันก่อนว่า ให้ท่านดูสมบัติที่อาจารย์ของข้าเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีเหล่านี้แล้ว หากอาจารย์ของข้าโกรธขึ้นมา ท่านต้องแบกรับไว้ด้วย ท่านไม่รู้อะไร อาจารย์เข้มงวดกับข้ามาก เฮ้อ ช่วยไม่ได้ อาจารย์ชอบข้านี่นะ ทั้งคัดตำราเอย ทั้งเดินนิ่งเอย ช่างเถิด เรื่องเหล่านี้พูดไปท่านอาจารย์ผู้เฒ่าก็คงไม่เข้าใจ ก็ท่านเป็นอาจารย์ที่สร้างความรู้อยู่ในห้องหนังสือนี่นะ คงไม่รู้หรอกว่าหมั่นโถวลูกหนึ่งขายได้กี่อีแปะ”

เผยเฉียนเอ่ยเตือนอย่างจริงจังอีกครั้ง “อาจารย์ผู้เฒ่า ท่านห้ามตอบแทนความหวังดีของข้าด้วยประสงค์ร้ายนะ ตกลงไหม?”

ผู้เฒ่าชุดเขียวคลี่ยิ้ม “ตกลง!”

ดังนั้นพอเด็กน้อยนั่งยองอยู่ที่เดิม คนแก่ก็นั่งยองตามไปด้วย ไล่สายตาอ่านไปตามไม้ไผ่แผ่นแล้วแผ่นเล่า บางครั้งก็หยิบขึ้นมาเบาๆ แล้ววางลงอย่างระมัดระวัง

นี่ทำให้เผยเฉียนคลายใจลงได้

หลังจากไล่อ่านแผ่นไม้ไผ่ไปได้ประมาณครึ่งหนึ่ง ผู้เฒ่าก็ยิ้มถามว่า “หมัดใหญ่คือเหตุผลที่ใหญ่ที่สุดในโลก แม่นางน้อย เจ้าเชื่อคำพูดนี้หรือไม่?”

เผยเฉียนตอบอย่างไม่ลังเล “เชื่อสิ ไม่อย่างนั้นเหตุใดข้าเพิ่งตัวแค่นี้ก็ต้องฝึกเดินนิ่ง ฝึกวิชาหมัด ฝึกวิชากระบี่และวิชาดาบทุกวันแล้วเล่า? ยุทธภพอันตรายอย่างมาก มีแต่คนชั่วร้ายอยู่เต็มไปหมด”

เดิมทีเผยเฉียนอยากจะเอ่ยถ้อยคำห้าวเหิมที่เกี่ยวกับปณิธานอันยิ่งใหญ่ของตน แต่จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเหล่าเว่ยเคยบอกว่า การพูดจาจริงใจกับคนที่ไม่สนิทสนมเป็นข้อต้องห้ามใหญ่ของยุทธภพ ดังนั้นนางจึงอดทนไว้ไม่พูดออกมา คำพูดที่เหมือนควักหัวใจให้ดูเช่นนี้เอาเก็บไว้ในใจตัวเองจะดีกว่า แค่อาจารย์รู้คนเดียวก็พอแล้ว

ชาวขงจื๊อวัยกลางคนที่อยู่ห่างไปไกลขมวดคิ้วด้วยความเคยชิน

แต่ผู้เฒ่ากลับหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างชอบใจ

เผยเฉียนไม่เข้าใจว่ามีอะไรให้น่าหัวเราะ ขยับไปพลิกไม้ไผ่บางส่วนที่อยู่ใกล้มาตากแดดใหม่ ทำงานหนักพลางพูดชวนคุยไปด้วยว่า “แต่อาจารย์สอนข้าว่า หากจะพูดหลักการข้อนี้ให้ชัดเจนก็ต้องพูดถึงลำดับขั้นตอนก่อน จะให้ลำดับขั้นตอนผิดพลาดไปไม่ได้ นั่นคือเป็นคนต้องมีเหตุผลก่อน จากนั้นเมื่อหมัดใหญ่แล้ว เวลาที่พูดเหตุผลกับคนที่ไร้เหตุผลถึงจะสะดวกมากขึ้น ไม่ใช่บอกให้คนเอาแต่สนใจว่าหมัดแข็งพอหรือไม่ แล้วก็มีอะไรอีกมากมาย อย่างเช่นเวลาอยู่คนเดียวห้ามลืมระวังตัวเอง หมั่นสำรวมทบทวนตน ถามใจตนเองไม่ละอาย ฯลฯ เฮ้อ อาจารย์บอกว่าข้าอายุยังน้อย จำเรื่องพวกนี้ได้ก็พอแล้ว ส่วนจะเข้าใจหรือไม่ ในตำราก็รอข้าอยู่”

สุดท้ายเผยเฉียนให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงว่า “ดังนั้นประโยคนี้ของอาจารย์นั้นมีเหตุผล เพียงแต่ว่าไม่ครบถ้วน”

นี่ถึงทำให้สีหน้าของชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนดีขึ้นมาได้เล็กน้อย

ส่วนผู้เฒ่ากลับไม่ได้หัวเราะเยาะเผยเฉียน แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร

สายตาเผยเฉียนเป็นประกายวาววับ “อาจารย์ผู้เฒ่า ความรู้ของอาจารย์ข้ายิ่งใหญ่มากเลยใช่ไหม?”

ผู้เฒ่าตอบกลับ “อาศัยแค่ไม่กี่ประโยคนี้ของอาจารย์เจ้า มองไม่ออกว่าความรู้ของเขายิ่งใหญ่หรือไม่ แต่อย่างน้อยเขาก็…พูดได้ถูกมาก อืม ก็คือไม่มีข้อผิดพลาด ฟังดูเหมือนง่าย แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ง่ายเลย และการปฏิบัติตามหลักการนี้ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่”

เผยเฉียนเลิกคิ้วสูง เอาตัวมาบังสายตาที่ไล่อ่านแผ่นไม้ไผ่ของผู้เฒ่าอย่างขุ่นเคือง ยกสองมือกอดอก “ถ้าอย่างนั้นท่านอาจารย์ผู้เฒ่าก็อย่าอ่านแผ่นไม้ไผ่พวกนี้สิ”

ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “โอ้โห แม่หนูน้อยเจ้าเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นเหมือนกันหรือนี่”

เผยเฉียนพยักหน้ารับ “เคารพคนแก่รักเมตตาเด็ก ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าท่านอายุมาก ข้าอายุน้อย พวกเราสองคนถือว่าเท่าเทียมกันแล้ว ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าห้ามคิดจะอาศัยว่าตนอายุมากกว่ามาทำตัวอาวุโสใส่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง”

ผู้เฒ่าได้แต่พูดว่า “อาจารย์ของเจ้าสอนได้ถูกต้อง ส่วนที่หาได้ยากยิ่งและล้ำค่าก็คือ เขายังคงรักษาจิตใจอันบริสุทธิ์ของเจ้าเอาไว้ได้ อาจารย์ของเจ้าร้ายกาจมาก”

ตอนแรกเผยเฉียนก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี แต่จากนั้นก็ส่ายหน้า “อาจารย์ผู้เฒ่าพูดอย่างนี้เพราะอยากอ่านแผ่นไม้ไผ่ให้มากขึ้นสินะ? ก็ได้ๆ อ่านเถอะๆ ข้าล่ะกลัวคำพูดมีไมตรีทั้งหลายแหล่ของพวกอาจารย์อย่างท่านแล้ว เฮ้อ กลุ้มจริง”

พอนางเอ่ยเช่นนี้ ต่อให้เป็นชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนก็ยังคลี่ยิ้มอย่างห้ามไม่ได้

ปรมาจารย์มหาปราชญ์เคยเขียนตำราหนึ่งเล่ม วัตถุประสงค์ของเขามีแค่สามคำว่าไม่คิดอกุศลเท่านั้น

เป็นเหตุให้อริยะใหญ่รุ่นหลังคนหนึ่งที่เพื่อรักษาคุณธรรมอันไร้ข้อบกพร่องของปรมาจารย์มหาปราชญ์แล้ว ไม่อาจแต่งตำราขึ้นมาเองโดยพลการได้อีก ดังนั้นจึงได้แต่เขียนอรรถาธิบายอย่างยากลำบากแทน

นี่ทำให้อาจารย์ฝูท่านนี้ตลกขบขันอยู่พักใหญ่

ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนผู้นี้เห็นด้วยอย่างยิ่ง

ราวกับว่าสามลัทธิร้อยสำนัก กษัตริย์ขุนนาง ตลอดทั้งใต้หล้าล้วนมีปัญหาข้อนี้

แต่ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนรู้สึกว่าอาจารย์ฝูในวันนี้แตกต่างไปจากปกติ ถึงขนาดทั้งยิ้มทั้งหัวเราะ

อยู่ในสวนสิงโตมานานขนาดนี้ เขายังไม่เคยยิ้มเลยสักครั้ง

อ่านแผ่นไม้ไผ่ครบถ้วนแล้ว อาจารย์ผู้เฒ่าก็ลุกขึ้นยืน มองเด็กหญิงผิวดำเป็นถ่านที่ยังคงพลิกไม้ไผ่อย่างขยันขันแข็งก็คิดจะช่วย แต่เผยเฉียนกลับรีบโบกมือห้าม ใช้หลังมือเช็ดคราบเหงื่อบนหน้าผากอย่างสะเปะสะปะ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเคารพผู้ใหญ่อย่างมากเลยนะ ไม่ต้องให้อาจารย์ผู้เฒ่าช่วยเหลือหรอก ไม่อย่างนั้นหากอาจารย์มาเห็นเข้าต้องดึงหูข้าแน่”

อาจารย์ผู้เฒ่าจึงคลี่ยิ้มเอ่ยลา แล้วก็ยื่นมือออกมากดลงเบื้องล่างสองที บอกเป็นนัยแก่เผยเฉียนว่าไม่ต้องลุกขึ้นคำนับ ถือเป็นการรักเมตตาเด็กแล้ว

อาจารย์สองท่านเดินเคียงไหล่กันไปบนทางเดินเล็กๆ ท่ามกลางร่มเงาต้นไม้

อาจารย์ลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด

ผู้เฒ่าที่ชื่อว่าฝูเซิงจึงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่ผิดจากที่คาด คนหนุ่มผู้นั้นก็คือลูกศิษย์คนสุดท้ายของซิ่วไฉเฒ่า”

ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนมีสีหน้าซับซ้อน

ฝูเซิงทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “พวกเราอย่าได้สนใจเลย”

ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนพยักหน้ารับ ถามว่า “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะรับหลิ่วชิงซานเป็นลูกศิษย์เมื่อไหร่? ข้ารู้สึกว่าการทดสอบใหญ่ครั้งนี้ หลิ่วชิงซานถือว่าผ่านด่านแล้ว”

ฝูเซิงส่ายหน้า “ยังเร็วนัก อ่านตำราหมื่นเล่มในห้องหนังสือ เข้าใจหลักการและเหตุผลบ้างแล้ว แต่แล้วอย่างไรล่ะ? ยังจำเป็นต้องให้หลิ่วชิงซานเดินทางไกลหมื่นลี้ไปเห็นคนและเรื่องราวให้มากขึ้น”

ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนเอ่ยถาม “อาจารย์คิดจะพาหลิ่วชิงซานกลับไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางพร้อมกันด้วย? จากนั้นค่อยมอบสำเนาตำราอริยะปราชญ์ที่อาจารย์ใช้กำลังของตัวเองคนเดียวช่วยเหลือไว้ในปีนั้นให้แก่หลิ่วชิงซาน?”

ฝูเซิงคิดแล้วก็กล่าวว่า “ข้าอาจจะไม่เดินทางพร้อมกับเด็กคนนี้ แบบนั้นสะดุดตาเกินไป อีกอย่างนี่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเรื่องดี”

อาจารย์ผู้เฒ่าที่เคยถูกขนานนามว่าเป็น ‘ผู้ต่อควันธูปหนึ่งก้านให้แก่ลัทธิขงจื๊อแห่งใต้หล้า’ ผู้นี้พลันยิ้มกล่าวว่า “แม้ซิ่วไฉเฒ่าจะอยู่สายบุ๋นคนละสายกับพวกเรา แต่ก็จำต้องยอมรับว่า สายตาในการเลือกลูกศิษย์ของเขา ตั้งแต่ชุยฉาน มาถึงจั่วโย่ว แล้วก็มาถึงฉีจิ้งชุน…ยิ่งนานก็ยิ่งขยับขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”

ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนส่ายหน้า “อย่างน้อยที่สุดตอนนี้คนหนุ่มผู้นั้นก็ยังไม่อาจรับคำชมประโยคนี้ของอาจารย์ฝูได้”

……

หลิ่วชิงซานบุรุษพิการพาเฉินผิงอันและหลิ่วป๋อฉีไปนั่งในห้องหนังสือของเขา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!