กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 398

เฉินผิงอันไม่เพียงแต่ไม่ขุ่นเคืองที่ความหวังดีถูกคนอื่นมองเป็นประสงค์ร้าย กลับกันยังรู้สึกว่านักพรตเฒ่าทำเช่นนี้ถึงจะสอดคล้องกับการกระทำของคนในยุทธภพ

แม้ว่าสีหน้าของจู๋เฟิ่งเซียนจะย่ำแย่ แต่อารมณ์กลับดีไม่น้อย อีกอย่างถึงอย่างไรรากฐานผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดของเขาก็ไม่ธรรมดา เขามองเมินสายตาบอกเป็นนัยจากลูกศิษย์ในห้องที่บอกว่าให้ส่งแขกได้แล้ว ยิ้มถามว่า “คุณชายเฉิน คิดว่าว่าเม่ยจูผู้นั้นใช่คนร้ายที่แท้จริงหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่เคยพบนางมาก่อน ไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร ดังนั้นจึงบอกได้ยาก หากว่ากันตามสถานการณ์ทั่วไปแล้ว สนมของแคว้นชิ่งซานผู้นั้นคงไม่โง่ถึงขนาดใช้วิธีการอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองมาสังหารคนหลายคนในเมืองหลวงของแคว้นอื่น แต่หากใช้สิ่งนี้มาเป็นตัวอำพรางตาเพื่อสลัดเรื่องให้พ้นตัว ความเป็นไปได้กลับมีไม่มาก แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีความเป็นไปได้นี้อยู่ ถึงท้ายที่สุดอาจจะกลายเป็น…การแข่งขันด้านกองกำลังของสองแคว้น การช่วงชิงกันของพื้นที่แถบตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป หยวนเย่จะใช่คนที่สังหารผู้อื่นหรือไม่กลับกลายเป็นว่าไม่สำคัญอีกแล้ว ดังนั้นการต่อสู้ของเจ้าประมุขผู้เฒ่าในครั้งนี้ไม่คุ้มเอาเสียเลย คนเบื้องหลังที่วางแผนเล่นงานเจ้าประมุขผู้เฒ่าค่อนข้างจะฉลาด หลังจากนี้ควรจะออกจากเมืองหลวงอย่างไร เจ้าประมุขผู้เฒ่าคงต้องระวังตัวแล้วระวังตัวอีก”

จู๋เฟิ่งเซียนพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง”

นักพรตผู้เฒ่ารวบรวมสมาธิตรวจสอบเม็ดยาอยู่ตลอดเวลา พอได้ยินมาถึงตรงนี้ก็อดเงยหน้ามองคนหนุ่มชุดขาวสะพายกระบี่ไม่ได้

เฉินผิงอันคุยเล่นกับจู๋เฟิ่งเซียนอีกสองสามคำก็ลุกขึ้นยืนบอกลา

จู๋เฟิ่งเซียนไม่สามารถลงจากเตียงได้ ได้แต่ฝืนกุมหมัดคารวะส่ง เพียงแต่ว่าการทำเช่นนี้ไปกระเทือนบาดแผลจึงไอโขลกๆ ไม่หยุด

พวกเฉินผิงอันออกจากอารามเต๋าแล้วย้อนกลับไปที่โรงเตี๊ยม

ในห้องของอารามเต๋า บุรุษที่พาพวกเฉินผิงอันไปส่งนอกห้องและนอกอารามเต๋าย้อนกลับมาแล้วขยับปากทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูด

จู๋เฟิ่งเซียนจึงยิ้มกล่าวว่า “ทำไม ยังอยากให้เฉินผิงอันส่งพวกเราออกไปจากเมืองหลวงงั้นรึ?”

บุรุษตอบอย่างตรงไปตรงมา “หากเขายินดีช่วย ย่อมถือเป็นเรื่องดี ในเมื่อเขายอมมาที่นี่ก็แสดงให้รู้ว่าสนิทสนมกับพรรคต้าเจ๋อของพวกเรา หากพวกเราลองโน้มน้าวเขาดู ไม่แน่ว่า…”

จู๋เฟิ่งเซียนหลุดหัวเราะพรืด พูดกลั้วหัวเราะเสียงเย็นตัดบทความคิดเพ้อฝันของลูกศิษย์ว่า “เจ้าโง่ คนเราโลภมากไม่รู้จักพอก็เหมือนงูคิดอยากกลืนกินช้าง ความหมายนอกเหนือจากประโยคนั้นของเฉินผิงอันที่บอกให้พวกเราออกจากเมืองอย่างระมัดระวัง เจ้าแกล้งทำเป็นฟังไม่ออกหรือไร? นั่นเป็นการแสดงท่าทีอย่างชัดเจนแล้ว เอายามามอบให้ก็เพราะเห็นแก่มิตรภาพน้อยนิดเมื่อครั้งพบกันครั้งแรกในยุทธภพ มาเยี่ยมถึงที่ เอายามามอบให้ก็ถือว่าแสดงน้ำใจไมตรีอย่างถึงที่สุดแล้ว หลักการเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ เจ้าก็ยังไม่เข้าใจรึ? อย่าได้เห็นคนอื่นที่มีคุณธรรมน้ำใจเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา”

มีหรือที่บุรุษจะไม่รู้เรื่องราวซับซ้อนวกวนเหล่านี้ เขาก้มหน้ากล่าวว่า “สถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้อันตรายเกินไป”

จู๋เฟิ่งเซียนถอนหายใจหนึ่งที “โชคดีที่เจ้าอดทนข่มกลั้นได้ไหว ไม่ได้วาดงูเติมหาง ไม่อย่างนั้นคราวหน้าก็ต้องเปลี่ยนเป็นจื่อหยางที่ฝึกตนอยู่ในอารามจินกุ้ยแล้วเกิดปัญหา ถ้าอย่างนั้นต่อให้เฉินผิงอันไปเจอเข้าอีกครั้ง เจ้าว่าเขาจะยังช่วยหรือไม่ล่ะ?”

บุรุษเงียบงันไม่ตอบคำถาม

เหตุผลทุกอย่างเขาล้วนเข้าใจดี แต่ตอนนี้มีความเป็นไปได้ว่าจู๋เฟิ่งเซียนผู้เป็นอาจารย์และพรรคต้าเจ๋อจะไม่อาจอ้อมผ่านหลุมแห่งความเป็นความตายนี้ไปได้ ตั้งแต่อารามเต๋าไปถึงประตูใหญ่ของเมืองหลวง จากนั้นก็เป็นเส้นทางที่ทอดยาวไปสู่พรรคต้าเจ๋อ ไม่แน่ว่าระยะทางใดระยะทางหนึ่งอาจเป็นเส้นทางที่พาไปสู่น้ำพุเหลือง

จู๋เฟิ่งเซียนคลี่ยิ้มอย่างสง่างาม “เอาเถอะ ท่องอยู่ในยุทธภพ เป็นตายต้องรับผิดชอบเอง หรือเจ้ายอมได้แค่ยามที่คนอื่นมีฝีมืออ่อนด้อยจนต้องมาตายอยู่ภายใต้สองหมัดของข้าจู๋เฟิ่งเซียน แต่ไม่ยอมให้ข้าจู๋เฟิ่งเซียนตายอยู่ในยุทธภพ? หรือว่ายุทธภพแห่งนี้เป็นของข้าจู๋เฟิ่งเซียนคนเดียว เป็นเพียงบ่อน้ำในเรือนด้านหลังของพรรคต้าเจ๋อพวกเรา?”

บุรุษแย้มยิ้ม “ในอดีตเมื่อสามสิบสี่สิบปีก่อน พวกเราที่อยู่ในแคว้นชิงหลวนเป็นเช่นนี้จริง”

จู๋เฟิ่งเซียนหลับตาลง

นักพรตผู้เฒ่าคนนั้นเปิดปากเอ่ยขึ้นว่า “ยานี่ไม่มีปัญหา ระดับขั้นสูงมาก ราคาต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ช่วยให้อาการบาดเจ็บของเจ้าฟื้นตัวได้ดี ไม่ใช่การปักบุปผาลงบนผ้าแพร แต่เป็นการส่งถ่านกลางหิมะอย่างแท้จริง”

บุรุษดีใจเป็นล้นพ้น “จริงหรือ?”

นักพรตเฒ่าปรายตามอง “ไม่เชื่อรึ?”

บุรุษยิ้มกว้าง “มิกล้า”

นักพรตเฒ่าผู้นี้ก็คือกุนซือผู้เฒ่าที่ช่วยวางแผนให้กับพรรคต้าเจ๋ออย่างสุขุมรอบคอบและระมัดระวังมานานหลายสิบปี และการที่จู๋จื่อหยางได้เดินไปบนเส้นทางการฝึกตนตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ต้องยกความดีความชอบให้แก่สายตาที่เฉียบแหลมของนักพรตผู้เฒ่าท่านนี้

จู๋เฟิ่งเซียนพลันลืมตาขึ้น บอกให้ลูกศิษย์คนนั้นออกจากห้องไปก่อน พอประตูปิดลงแล้วก็เอ่ยเนิบช้าว่า “พูดมาเถอะ ช่วยข้ามาตั้งนานหลายปี แต่ครั้งนี้กลับผลักข้าลงหลุม เจ้าต้องการอะไรกันแน่ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ข้าจะไม่ตำหนิเจ้า หวังเพียงว่าเจ้าและคนที่อยู่เบื้องหลังจะให้การดูแลจื่อหยางให้มาก พยายามอย่าลากนางเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ให้นางได้เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาไปดีๆ”

นักพรตเฒ่าลุกขึ้นยืน เดินมานั่งบนเก้าอี้ที่เฉินผิงอันนั่งก่อนหน้านี้ ตอบไม่ตรงคำถามว่า “เหล่าจู๋ ข้ารู้สึกว่าเฉินผิงอันคนนั้น แม้จะอายุยังน้อย แต่กลับมีกลิ่นอายเหมือนคนเก่าคนแก่ในยุทธภพ”

นักพรตเฒ่ากล่าวอย่างปลงอนิจจัง “คนเก่าแก่ในยุทธภพอย่างพวกเรานี้ ดูเหมือนว่ายิ่งนานวันก็ยิ่งไม่ได้รับการยอมรับ คนหนุ่มสาวในปัจจุบันนี้ เพื่อเลื่อนตำแหน่งก็มักจะชอบออกหมัดสังหารปรมาจารย์เฒ่าให้ตายโดยไม่สนกฎเกณฑ์ใดๆ แล้วก็ไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ทั้งหลายด้วย”

จู๋เฟิ่งเซียนหันหน้ามามอง ยิ้มถามว่า “เจ้าอายุเท่าไหร่กันแน่ ปีนั้นที่ได้รู้จักกับเจ้า เจ้าก็มีหน้าตาเป็นแบบนี้ เวลาผ่านไปเกือบหกสิบปีแล้ว เจ้าก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลย”

นักพรตเฒ่าครุ่นคิด “ครึ่งชีวิตระเหเร่ร่อนอยู่ที่บ้านเกิด และอีกครึ่งชีวิตก็มาใช้เวลาอยู่ในแคว้นชิงหลวนของพวกเจ้าพอดี”

จู๋เฟิ่งเซียนเห็นว่าเพื่อนเก่าผู้นี้ไม่เต็มใจจะตอบก็ไม่ซักไซ้เอาความอีก เพราะนั่นไม่มีความหมาย

ลูกหลานชนชั้นสูงของเมืองหลวงและเหล่าปัญญาชนที่เดินทางลงใต้เกิดเหตุทะเลาะวิวาทกันในวัด เม่ยเชวี่ยสนมข้างกายเหอขุยลงมือสั่งสอน คืนนั้นก็มีคนจำนวนมากตายไปอย่างเฉียบพลัน ในใจของชาวบ้านที่อยู่เมืองหลวงเกิดความหวาดหวั่น มองเห็นคนคนเดียวกันเป็นศัตรู ปัญญาชนแซ่สกุลใหญ่ที่ย้ายลงใต้มายังแคว้นชิงหลวนเดือดดาลอย่างถึงที่สุด จุดชนวนความขัดแย้งระหว่างแคว้นชิงหลวนกับแคว้นชิ่งซาน เม่ยจูเอ่ยชื่อท้าทายจู๋เฟิ่งเซียนปรมาจารย์ใหญ่แห่งวิถีวรยุทธ์ จู๋เฟิ่งเซียนพ่ายแพ้ไปพร้อมอาการบาดเจ็บสาหัส ไม่มีใครมาโขกหัวขออภัยที่จุดพักม้าแม้แต่คนดียว เม่ยจูหยวนเย่จึงเอ่ยเย้ยหยันบัณฑิตของแคว้นชิงหลวนอย่างเปิดเผย เมืองหลวงโกลาหลวุ่นวาย เพียงชั่วพริบตาเรื่องนี้ก็กลบความยิ่งใหญ่ของงานโต้วาทีพุทธเต๋าลงอย่างสิ้นเชิง ชนชั้นสูงที่ย้ายลงใต้จำนวนมากร่วมมือกับตระกูลในท้องที่พร้อมใจกันกดดันถังหลีฮ่องเต้แคว้นชิงหลวน เหอขุยฮ่องเต้แคว้นชิ่งซานจึงพาสนมทั้งสี่เดินอาดๆ ออกไปจากเมืองหลวง เป็นเหตุให้คนในยุทธภพทุกคนของแคว้นชิงหลวนแค้นเคืองสุดขีด

เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน เมฆทะมึนและลมมรสุมก็ก่อตัว

เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นทอดๆ

ขณะที่พวกเฉินผิงอันพากันเดินทางออกจากเมืองหลวง

ทางฝั่งของสวนสิงโตที่ตั้งอยู่ชานเมืองก็มีรถม้าคันหนึ่งขับเคลื่อนมาบนทางสายเล็กท่ามกลางม่านรัตติกาล

ตัวตนที่แท้จริงของสารถีคนขับรถม้าก็คือผู้เฒ่าที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าซึ่งเป็นผู้นำแห่งสี่ปรมาจารย์ใหญ่ เรือนกายของเขาสูงใหญ่มาก เพิ่งจะเดินทางออกจากแคว้นอวิ๋นเซียวเข้ามาในแคว้นชิงหลวนเงียบๆ ตบะวรยุทธ์ของทั้งร่างเท่ากับขอบเขตเดินทางไกลแล้ว เหนือชั้นกว่าเม่ยจูหยวนเย่แห่งแคว้นชิ่งซานที่เป็นขอบเขตเจ็ดและจู๋เฟิ่งเซียนแห่งพรรคต้าเจ๋ออยู่มาก

หลิ่วชิงเฟิงอ่านรายงานลับจากศาลาคลื่นมรกตฉบับหนึ่งจบก็กล่าวว่า “สามารถวางมือได้แล้ว”

คุณชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยิ้มบางๆ กล่าวว่า “แค่นี้ก็ปล่อยมือแล้วหรือ? เดิมทีข้าคิดจะเบียดบังงานส่วนรวมมาใช้ส่วนตัว ไปพบกับใครบางคนสักหน่อย ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้กินเบ็ด”

หลิ่วชิงเฟิงพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “ปล่อยมือได้แล้ว”

คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหลิ่วชิงเฟิงในรถม้าก็คือหลี่เป่าเจินแห่งเขตการปกครองหลงเฉวียน เขาประสานสายตากับหลิ่วชิงเฟิงแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “เอาเถอะ ในเมื่อท่านหลิ่วบอกว่าไฟแรงพอแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเรียนรู้จากท่านหลิ่วให้มากหน่อยตามที่ใต้เท้าราชครูบอก ถึงอย่างไรครั้งนี้…ก็เป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยจานเล็กๆ ที่มอบให้ฮ่องเต้ถังหลีแคว้นชิงหลวนของพวกเจ้าหลังจากข้าขึ้นรับตำแหน่ง เขาจะได้ไม่เข้าใจผิดคิดว่าพึ่งพาต้นไม้ใหญ่อย่างสกุลเจียงอวิ๋นหลินแล้วก็สามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจไร้กังวล ถึงอย่างไรฝนที่ถูกลมพัดสาดมาโดนในแนวเฉียงก็ทำให้คนหนาวเหน็บถึงขั้วกระดูกได้เช่นกัน”

หลิ่วชิงเฟิงไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว

พอขยับเข้าใกล้สวนสิงโต หลี่เป่าเจินก็พลันคลี่ยิ้ม “ข้าคงไม่เข้าไปในสวนแล้ว ข้าจะอยู่บนรถ รอให้ท่านหลิ่วมอบหมายงานให้รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วเรียบร้อยก่อน แล้วเราค่อยย้อนกลับไปที่ที่ว่าการอำเภอด้วยกัน”

หลิ่วชิงเฟิงลงจากม้า เดินเข้าไปในสวนสิงโตที่อยู่ท่ามกลางม่านราตรีเพียงลำพัง

หลี่เป่าเจินเดินออกมาจากห้องโดยสาร ไม่ได้ลงจากรถ แต่มานั่งอยู่ด้านหลังสารถี คนหนุ่มที่มาจากอดีตถ้ำสวรรค์หลีจูเช่นเดียวกับเฉินผิงอันผู้นี้ไม่มีอะไรให้ทำ จึงแกว่งเท้าสองข้างเล่น ยิ้มพูดว่า “พอนึกถึงว่าน้องสาวที่รักของข้าชอบเรียกเฉินผิงอันว่าอาจารย์อาน้อย ข้าก็โมโหยิ่งนัก จะทำอย่างไรดี ข้าที่เป็นพี่ชายไม่อาจตัดใจพูดหนักๆ ใส่เป่าผิงน้อยได้แม้แต่ครึ่งคำ ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่หันไปเล่นงานเจ้าเด็กบ้านนอกตรอกหนีผิงผู้นั้นแทน หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่ที่เขาปกป้องเป่าผิงน้อยไปส่งสำนักศึกษา หยวนเย่เอย จู๋เฟิ่งเซียนอะไรเอย พวกเขาก็คงไม่ใช่แค่มาเข่นฆ่ากันเองแบบนี้แล้ว แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่ข้านับถือท่านราชครูที่สุด นั่นคือด้านการคาดการณ์จิตใจคน เรื่องอย่างการวางเม็ดหมากไว้ในเรือนของผู้อื่นนี้ อันที่จริงทุกคนต่างก็กำลังทำกันอยู่ ในเมืองหลวงต้าหลีของพวกเราปีนั้น และยังมีในตำหนักฉางชุน หรือแม้แต่ข้างกายซ่งจ่างจิ้ง และยังมีอีกมากมายหลายแห่ง อันที่จริงล้วนมีหมากที่ว่านี้อยู่ อีกทั้งยังมีไม่น้อยด้วย แม้แต่ฮ่องเต้ของพวกเราก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ มียอดฝีมือของเมธีร้อยสำนักท่านนั้นมาคอยคาดเดาจิตใจ? แต่พอถึงช่วงใกล้จะจบกระดาน พวกเราลองมองแต่ละตำแหน่งบนกระดานหมากล้อมก็ดูเหมือนว่าทางฝั่งนี้เสียเปรียบเล็กน้อย ทางฝั่งนั้นได้กำไรก้อนใหญ่ สุดท้ายแล้วก็ยังคงเป็นใต้เท้าราชครูของพวกเราที่ได้ผลประโยชน์ไปมากกว่าใคร นี่แหละที่น่ากลัวอย่างมาก”

หลี่เป่าเจินพูดพึมพำกับตัวเองอยู่นาน ก่อนจะหันไปยิ้มถามสารถีผู้นั้นว่า “คดีของเจ้า ต่อให้แม้แต่ข้าก็ยังไม่อาจพลิกขึ้นมาได้ชั่วคราว แต่ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าทำไมถึงยินดีอุทิศตนเพื่อต้าหลีของพวกเรา?”

สารถีเฒ่าเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “หวังว่าบนเส้นทางอนาคตที่ยิ่งใหญ่ เจ้าจะไม่สะดุดล้ม หาไม่แล้วเมื่อถึงเวลานั้นข้าจะเป็นคนแรกที่สังหารเจ้า”

หลี่เป่าเจินไม่ถือสาเลยแม้แต่น้อย “นิสัยแย่ๆ ที่ไม่ว่ากับใครก็ล้วนพูดความในใจไปด้วยซะหมดของเจ้า ต้องแก้ไขแล้วจริงๆ จะดีจะชั่วก็ต้องอยู่ให้ถึงวันที่เจ้าคว้าโอกาสนั้นได้ รอให้ถึงวันที่เจ้าสามารถสังหารข้าก่อนแล้วค่อยพูดเรื่องพวกนี้จะดีกว่า”

สารถีเฒ่าหัวเราะหยัน “ได้สิ ถึงเวลานั้นข้าค่อยพูดซ้ำอีกรอบ”

เงียบงันกันไปครู่หนึ่ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!