กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 398

สองวันต่อมา เฉินผิงอันก็พาสือโหรวและจูเหลี่ยนไปเดินเที่ยวตามร้านต่างๆ ทั่วเมืองหลวง เดิมทีคิดจะให้สือโหรวอยู่โรงเตี๊ยมเพื่อเฝ้าที่พัก นางเองก็จะได้ไม่ต้องคอยอกสั่นขวัญผวา คิดไม่ถึงว่าสือโหรวจะขอติดตามไปด้วยตัวเอง

บรรยากาศในเมืองหลวงเต็มไปด้วยความครึกครื้นอย่างแท้จริง นี่ก็เป็นเพราะงานโต้วาทีพุทธเต๋าที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ และแคว้นชิงหลวนก็คือพื้นที่หลักที่สำคัญ สามลัทธิเก้าสาขา ปลาและมังกรปะปนกัน คนที่หวังชื่อเสียงก็หวังชื่อเสียง คนที่หวังโชคลาภก็หวังโชคลาภ แน่นอนว่ายังมีคนประเภทเฉินผิงอันที่มาเพื่อชมภาพบรรยากาศและทัศนียภาพอย่างเดียว แล้วก็ถือโอกาสซื้อผลิตภัณฑ์พิเศษที่มีเฉพาะในแคว้นชิงหลวนกลับไปด้วย

คงเป็นเพราะเผยเฉียนและจูเหลี่ยนเป็นดั่งเงาดำใต้โคมไฟจึงมองไม่ออกถึงความประหลาดในการเดินเที่ยวชมร้านหนังสือของเฉินผิงอัน แต่สือโหรวที่จิตใจละเอียดอ่อนดุจเส้นผมกลับมองเบาะแสบางอย่างออก ร้านหนังสือน้อยใหญ่ที่เฉินผิงอันแวะเวียนเข้าไปเยือน หากเป็นหนังสือใหม่เอี่ยมที่จัดพิมพ์อย่างประณีตงดงาม เฉินผิงอันแทบจะไม่เคยแตะ แล้วก็ไม่ค่อยสนใจตำราของร้อยเมธีสักเท่าไหร่ กลับเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่จัดพิมพ์ขึ้นเป็นการส่วนตัวและหนังสือเบ็ดเตล็ดประเภทอักขรานุกรมของแต่ละแคว้นมากกว่าที่เขาให้ความสนใจ บางครั้งก็ยังเปิดอ่านเทียบวงศ์ตระกูลที่ถูกวางไว้ในมุมห่างไกล เจอเล่มหนึ่งก็เปิดอ่านเป็นครึ่งๆ เล่ม เพียงแต่ว่าหลังจากอ่านจบแล้วเฉินผิงอันกลับไม่ซื้อ

ทำเอาเจ้าของร้านมองค้อนปะหลับปะเหลือกใส่ไม่น้อย

ยังดีที่มีจูเหลี่ยนซึ่งพอมีเงินก็ชอบใช้จ่ายอย่างมือเติบคอยให้ความช่วยเหลือ ถึงได้ไม่ถูกคนในร้านหนังสือพูดจาบาดหูหยาบคาบใส่

ส่วนเผยเฉียนก็คงเป็นเพราะรู้สึกว่าพอมาถึงเมืองหลวง ตอนแรกเฉินผิงอันก็ซื้อกระดาษเซวียนจื่อราคาแพงที่มีชื่อเสียงที่สุดในแคว้นชิงหลวนมาสิบกว่าปึก จากนั้นยังซื้อโถเก็บเม็ดหมากคู่หนึ่งที่เป็นเครื่องเคลือบสีเขียวฟ้ามาให้หลูป๋ายเซี่ยง แล้วยังซื้อน้ำเต้าจิ๋วให้นางอีก จ่ายเงินไปก้อนใหญ่มากกว่าเวลาปกติแล้ว ต่อให้เจอกับของที่ถูกตาและชื่นชอบอย่างแท้จริงก็ทำเพียงแค่แอบมองอยู่หลายครั้งเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่กล่องเก็บสมบัติที่มีหลายช่องซึ่งเหยาจิ้นจือมอบให้ ทุกวันนี้แต่ละช่องล้วนเต็มแน่นไปหมดแล้ว ไม่อาจยัดของเพิ่มได้อีก หรือว่านางควรจะขอให้อาจารย์ซื้อกล่องเก็บสมบัติใบใหม่ให้ดี? เผยเฉียนชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่งก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป รู้สึกว่าถึงแม้การเดินทางไปสวนสิงโตจะทำให้อาจารย์ได้เงินฝนธัญพืชมาจำนวนหนึ่ง แต่ตนก็ได้ของติดไม้ติดมือมาแล้วหนึ่งชิ้น รอให้คราวหน้าได้เงินมาเพิ่มก่อนแล้วค่อยพูดกับอาจารย์อีกที

สุดท้ายก็ยังยากจนอยู่ดี

เผยเฉียนรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตนถึงจะสามารถสะสมกล่องเก็บสมบัติได้หลายๆ ใบ ด้านในกล่องล้วนบรรจุสมบัติจนเต็มแน่น พ่อครัวเฒ่าบอกว่าสิ่งที่ใหญ่กว่าและดีกว่ากล่องเก็บสมบัติก็คือชั้นวางสมบัติที่ตระกูลเศรษฐีต้องมี พอวางสิ่งของไว้จนเต็มชั้น นั่นถึงจะเรียกได้ว่าละลานตาอย่างแท้จริง ทำให้คนมองตาถลนออกมานอกเบ้า ลูกตาหล่นลงพื้นแล้วก็ยังไม่เก็บขึ้นมา

การเดินเล่นสองวันนี้ พวกเขาได้ยินข่าวเล็กๆ บางส่วนที่ถือว่าพอจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขา

ตามคำบอกของจูเหลี่ยน รสนิยมของฮ่องเต้แคว้นชิ่งซานช่างเป็น ‘นกกระเรียนในฝูงไก่’ ทำให้เขานับถืออย่างสุดจิตสุดใจ กษัตริย์แห่งแคว้นชิ่งซานที่คำพูดหนักดุจเก้ากระถางผู้นี้ไม่ชอบสาวงามเรือนกายสะโอดสะอง แต่ชอบสตรีที่ร่างอวบอิ่ม ในบรรดาพระสนมที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดของวังหลวงแคว้นชิ่งซานก็มีอยู่สี่คน พวกนางทุกคนล้วนไม่สามารถใช้คำว่าอวบอิ่มมาบรรยายได้แล้ว แต่ละคนหนักเกินสองร้อยจิน (ประมาณหนึ่งร้อยกิโล) ขึ้นไป ซึ่งต่างก็ถูกฮ่องเต้แคว้นชิ่งซานตั้งชื่อให้ว่าเม่ยจู (หมูงดงาม) เม่ยเฉวี่ยน (สุนัขงดงาม) เม่ยผี (หมีงดงาม) และเม่ยเชวี่ย (นกกระจอกงดงาม)

และเม่ยจูหรือหยวนเย่ที่เป็นผู้นำของสี่เม่ยก็ยังมีสถานะอีกอย่างหนึ่งที่มีชื่อเสียงยิ่งกว่า นั่นคือเป็นหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์ของสิบกว่าแคว้นในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป

ตอนนี้เหอขุยฮ่องเต้แคว้นชิ่งซานพักอยู่ในจุดพักม้าเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน ข้างกายก็มีสี่เม่ยติดตามมา

เมื่อวันก่อนเหอขุยปลอมตัวเป็นคนธรรมดาพาเม่ยเชวี่ยที่ ‘เรือนร่างเพรียวบาง’ ที่สุดในบรรดาเหล่านางสนมไปเที่ยวชมวัดวาอารามในเมืองหลวงด้วยกัน ผลคือตอนที่จุดธูปไหว้พระกลับเกิดข้อพิพาทกับลูกหลานชนชั้นสูงกลุ่มหนึ่ง เม่ยเชวี่ยลงมืออย่างดุดัน ถึงขั้นเล่นงานให้คนผู้หนึ่งเกือบตาย ก่อให้เกิดคลื่นมรสุมครั้งใหญ่ ที่ว่าการที่ดูแลความสงบสุขปลอดภัยในเมืองหลวง หรือแม้แต่ขุนนางชั้นสูงจากกรมพิธีการของแคว้นชิงหลวนต่างก็พากันปรากฏตัว ถึงอย่างไรนี่ก็เกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ของสองแคว้น กว่าจะปลอบใจทุกคนให้สงบลงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย คนก่อเรื่องคือคนวัยเดียวกันซึ่งเป็นลูกหลานสกุลใหญ่ของเมืองหลวงและชนชั้นสูงอีกหลายคนที่เดินทางลงใต้ พอรู้สถานะฮ่องเต้ของเหอขุยก็พากันหยุดลงแต่โดยดี แต่คลื่นลูกหนึ่งเพิ่งสงบก็มีคลื่นลูกใหม่โถมตัวขึ้นมาอีกครั้ง คืนนั้นในบรรดาคนที่ก่อเรื่องก็มีคนมากมายที่เพิ่งมาลงหลักปักฐานอยู่ในแคว้นชิงหลวนได้ไม่นานตายอย่างเฉียบพลัน สภาพการตายอเนจอนาถอย่างยิ่ง ว่ากันว่าแม้แต่เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพของที่ว่าการก็ยังพะอืดพะอมแทบอาเจียน

ไม่นานก็มีข่าวลือที่น่าเชื่อถือแพร่ไปทั่วทั้งเมืองหลวง วิธีการที่ฆาตรกรใช้ก็คือวิธีที่เม่ยจูปรมาจารย์ใหญ่แห่งแคว้นชิ่งซานถนัดที่สุด นั่นคือดึงแขนขาทั้งสี่ออก เหลือไว้แค่หัวกับร่างกาย สกัดจุดใบ้ และยังช่วยห้ามเลือดให้เพื่อให้คนคนนั้นทรมานจนกว่าจะตาย

ราชสำนักแคว้นชิงหลวนเร่งรีบระดมคนจากฝ่ายต่างๆ มาตรวจสอบเรื่องนี้ และยิ่งมีขุนนางกรมอาญาที่ประสบการณ์ในการสืบสวนคดีความโชกโชน เซียนซือที่ถวายการรับใช้ราชสำนักและกลุ่มคนมีชื่อเสียงจากยุทธภพต่างก็พากันกรูเข้าไปยังจุดพักม้าที่เหอขุยพักอาศัยในทันที

แต่ก็ยังไม่อาจต้านทานความแค้นเคืองของฝูงชนได้ บัณฑิตและปัญญาชนจำนวนนับไม่ถ้วนพากันมาล้อมจุดพักม้าที่ฮ่องเต้เหอขุยพักค้างแรม หากไม่เป็นเพราะเหล่ามือปราบของเมืองหลวงขัดขวางเอาไว้ อีกทั้งยังมีทหารชุดเกราะสองร้อยนายที่ผู้บัญชาการณ์ใหญ่เหวยเลี่ยงส่งมาคอยจับตามองอย่างดุดัน ไม่ยอมปล่อยให้สถานการณ์เละเทะต่อไป หาไม่แล้วผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคงยากเกินกว่าจะคาดการณ์ได้ถึง บัณฑิตที่ไม่มีแม้แต่แรงจับไก่พวกนั้นมีแต่จะถูกหนึ่งในสี่เม่ยผู้เป็นสนมรักของเหอขุยฆ่าตายคาที่เท่านั้น

เม่ยจูหยวนเย่ประกาศออกมาแล้วว่า นางจะเปิดฉากเข่นฆ่ากับจู๋เฟิ่งเซียนแห่งพรรคต้าเจ๋อซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่เช่นกัน หากนางแพ้ แคว้นชิ่งซานจะยอมรับน้ำสกปรกที่สาดใส่อ่างนี้เอาไว้ แต่หากนางชนะ พวกปัญญาชนแคว้นชิงหลวนที่มาเอะอะโวยวายล้อมจุดพักม้าจะต้องพากันคุกเข่าโขกหัวอภัยอยู่นอกจุดพักม้า

และจู๋เฟิ่งเซียนมารเฒ่าที่เล่าลือกันว่าเคยโดยสารรถม้าสีแดงสดคันหนึ่งสร้างลมคาวฝนเลือดในยุทธภพของหลายแคว้นก็พักอยู่ในอารามเต๋าแห่งหนึ่งใกล้กับเมืองหลวงจริงๆ

ซึ่งเมื่อวานนี้จู๋เฟิ่งเซียนที่เมื่อสามสิบปีก่อนมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ระบือไปทั่วก็กลับมาเผยกายในยุทธภพอีกครั้ง เขาถึงขั้นใช้สถานะของวีรบุรุษผู้กล้าอันดับหนึ่งของแคว้นชิงหลวนมาเยือนจุดพักม้าตามนัดหมาย แล้วก็เปิดฉากสังหารเข่นฆ่ากับเม่ยจูหยวนเย่จริงๆ

นับตั้งแต่ที่จู๋เฟิ่งเซียนโดยสารรถม้าออกมาจากอารามเต๋า ระหว่างทางก็มีชาวบ้านและคนในยุทธภพของแคว้นชิงหลวนจำนวนนับไม่ถ้วนช่วยโบกธงร้องตะโกนแทนคนผู้นี้

เพียงแต่ว่าธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ อธรรมสูงหนึ่งจั้ง จู๋เฟิ่งเซียนที่ถูกฝากความหวังไว้มากกลับมีพลังการต่อสู้ด้อยกว่าเม่ยจู สุดท้ายเขาก็บาดเจ็บสาหัส พ่ายแพ้ให้กับหยวนเย่ที่อยู่ในอันดับสองของสี่ปรมาจารย์ใหญ่ จู๋เฟิ่งเซียนถูกหยวนเย่ที่ร่างท่วมไปด้วยเลือด แต่กลับไม่เป็นอะไรมากกระชากคอเดินอาดๆ ไปถึงหน้าประตูใหญ่ของจุดพักม้า นางกวาดตามองผู้คนรอบด้านที่บื้อใบ้เงียบกริบแล้วโยนจู๋เฟิ่งเซียนที่สลบไปแล้วลงบนถนนใหญ่ ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า พรุ่งนี้อย่าลืมมาโขกหัว

จู๋เฟิ่งเซียนถูกลูกศิษย์พรรคต้าเจ๋อที่น้ำตานองหน้าหามเข้าไปไว้ในห้องโดยสารรถม้า ออกจากจุดพักม้ากลับไปรักษาตัวที่อารามเต๋าแห่งนั้น

นอกจุดพักม้าเงียบสงัด นอกอารามเต๋ากลับเต็มไปด้วยเสียงด่าทอดังไม่ขาดสาย

ตอนที่ได้ยินเรื่องราวมรสุมครั้งนี้ในร้านหนังสือโดยบังเอิญ เฉินผิงอันก็ยังคงหาหนังสือต่อไป

เผยเฉียนใจจืดใจดำ รู้สึกเพียงว่าจู๋เฟิ่งเซียนผู้นั้นช่างน่าอนาถจริงๆ ความสามารถไม่สูงพอ กลับยังชอบโอ้อวดตัว ไม่รู้จักหลบอยู่ในอารามไม่ต้องออกมาหรือไร? นี่ต้องมาถูกเม่ยจูที่หนักสองร้อยกว่าจินผู้นั้นซ้อมจนไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย แล้วนับประสาอะไรกับที่ชื่อเสียงดีงามที่สั่งสมมาทั้งชาติก็ต้องสูญเสียไปด้วย ตามคำบรรยายถึงบุคลิกของชาวยุทธ์ การแก่งแย่งแข่งขันในยุทธภพที่บอกไว้ในนิยายเล่มนั้น พวกคนที่หากินอยู่ในยุทธภพ หากไม่มีชื่อเสียงก็ไม่เท่ากับว่าไร้ชีวิตแล้วหรือไร? ความเสียดายเพียงหนึ่งเดียวของเผยเฉียนก็คือตอนนั้นที่ขึ้นเขาไปเยือนอารามจินกุ้ย พวกเขายังเคยไปพักที่เรือนหรูหราใหญ่โตซึ่งจู๋เฟิ่งเซียนสร้างไว้ให้หลานสาวที่กึ่งกลางภูเขา นับว่าเขาเป็นคนมีเงินแถมยังใจกว้าง นางชื่นชอบอย่างมาก น่าเสียดายที่ตอนนี้มาลองย้อนนึกดูแล้ว ต่อให้ตาเฒ่าจู๋ชะตาแข็ง ไม่ตายอยู่ในอารามเต๋าแห่งนั้น แต่ครั้งหน้าที่ทั้งสองฝ่ายได้พบหน้ากัน คาดว่านางคงไม่คิดอยากกินดื่มของของตาเฒ่าผู้นั้นเปล่าๆ โดยไม่จ่ายเงินอีก

ครั้งนั้นคนทั้งสองกลุ่มมาพบกันโดยบังเอิญ ตอนแรกก็หลบฝนด้วยกัน จากนั้นก็ขึ้นเขาไปด้วยกัน สุดท้ายจู๋จื่อหยางหลานสาวของผู้เฒ่าและหลิวชิงเฉิงเด็กสาวจากเรือนแยนจือแคว้นอวิ๋นเซียวต่างก็ได้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของจางกั่วเทพเซียนผู้เฒ่าของอารามจินกุ้ย

เผยเฉียนและเฉินผิงอันเคยได้ชมพิธีรับศิษย์ของที่นั่น เรียกได้ว่าเป็นพิธีการที่ซับซ้อนยืดเยื้อ ใช้เวลาหมดไปเกือบหนึ่งชั่วยาม ดูถึงช่วงท้ายเผยเฉียนก็ถึงกับปวดหัว นางต้องนั่งนิ่งไม่ขยับเป็นหุ่นไม้อยู่ตั้งนาน รู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าตอนคัดตัวอักษรเสียอีก

เฉินผิงอันเดินออกมาจากร้านหนังสือ เป็นช่วงเที่ยงวันพอดี เขายืนคิดอะไรบางอย่างอยู่บนขั้นบันได

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!