เมื่อเทียบกับสถานการณ์ประดุจคลื่นใต้น้ำทางฝั่งของเจียงเม่าแล้ว
ในศาลาลมแห่งหนึ่งที่มีต้นไผ่สีเขียวล้อมรอบของคฤหาสน์หลบร้อนกลับมีความปรองดองและบรรยากาศของการเฉลิมฉลองมากกว่า
เจียงอวิ้นคนหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เคยได้โซ่เหล็กของถ้ำสวรรค์หลีจูไปครอง อาศัยอยู่สุดปลายตรอกเล็กของท่าเรือหางผึ้งกำลังพูดคุยกับพี่สาวที่แต่งงานไปอยู่นครมังกรเฒ่า
เหวยเลี่ยงผู้บัญชาการณ์ใหญ่นั่งอยู่ด้านหลัง กำลังพูดคุยกับหมัวมัวผู้อบรมมารยาทที่มีสีหน้าซีดเซียวอยู่เช่นกัน
เจียงอวิ้นมองใบหน้าของพี่สาวที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นสูง “ทำไม ตัดสินคนด้วยรูปลักษณ์งั้นหรือ? ข้ากลับรู้สึกว่าแบบนี้งดงามมาก”
เจียงอวิ้นยิ้มกล่าว “ท่านพี่ ข้าขอพูดตามมโนธรรมในใจสักคำ รูปโฉมของท่านในเวลานี้ไม่ใกล้เคียงกับคำว่างดงามเลย”
สตรีร่างอ้วนฉุมองค้อน “ข้าล่ะอยากจะเห็นนักว่าในอนาคตเจ้าจะแต่งเทพธิดาคนใดมา ถึงเวลานั้นข้าจะช่วยดูให้เอง เจ้าจะได้ไม่ต้องถูกปีศาจจิ้งจอกสาวล่อลวง”
เจียงอวิ้นพนมมือ พูดวิงวอน “อย่านะ ข้ากลัวนิสัยของท่านพี่ แค่ประโยคสองประโยคของท่านก็คงทำให้ภรรยาข้าในอนาคตตกใจกลัวจนหนีไปเลย”
หญิงสาวกำลังจะบ่นต่อ เจียงอวิ้นกลับเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นอย่างรู้กาลเทศะ “ท่านพี่ ฝูหนันหัวเป็นคนอย่างไร?”
หญิงสาวส่ายหน้า “ก็เป็นแบบนั้นแหละ ดีมากแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องสนใจใคร เคารพกันดุจแขกผู้มาเยือน ดีจะตายไป”
เจียงอวิ้นหัวเราะเสียงดัง “ถ้าอย่างนั้นหากมีโอกาสข้าคงต้องไปดื่มเหล้ากับพี่เขยที่น่าสงสารคนนี้ ระบายความทุกข์ให้กันฟังสักหน่อย พูดคุยกันหลายวันหลายคืน ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นเพื่อนกันได้”
สตรีที่เป็นบุตรสาวสายตรงสกุลเจียงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าอยากทำอะไรก็ตามใจเถอะ”
นางนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงถามเบาๆ ว่า “อาจารย์ของเจ้าไปตามหาสมบัติกับเพื่อนสนิท ได้มาหรือยัง? หากได้มาแล้ว ข้าจะแอบไปที่ท่าเรือหางผึ้งกับเจ้าสักรอบ ร่างทองแก้วใสหลังจากผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานมอดม้วยมรรคาดับสลาย ข้ายังไม่เคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อนเลย ที่บ้านมีอยู่ชิ้นหนึ่งก็จริง แต่ท่านบรรพบุรุษเก็บซ่อนไว้มิดชิดนัก หลายปีที่ผ่านมานี้ข้าก็ยังหาไม่เจอสักที”
นางพูดเบาๆ ว่า “หากเจ้าให้ข้าได้เห็นของสิ่งนั้น พี่สาวจะมอบของขวัญชิ้นหนึ่งที่พิเศษมากให้เจ้า รับรองว่าจะทำให้เจ้าตกเป็นที่อิจฉาของผู้ฝึกตนหนุ่มทั้งทวีป”
เจียงอวิ้นโบกมือ “ช่างเถิด อาจารย์ของข้าก็นิสัยเจ้าอารมณ์หมือนกัน เกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่อย่างเศษชิ้นส่วนของร่างทองแก้วใสนี้ หากข้ากล้าทำอะไรโดยพลการ ต่อให้เวลาปกติเขาพูดง่ายแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ คงต้องถลกหนังข้าออกสักชั้นให้จงได้ ไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ นะ ปีนั้นอาจารย์ก็บอกแล้วว่าหากข้าไม่ไปถ้ำสวรรค์หลีจูก็ต้องไปฝึกประสบการณ์ที่พื้นที่มงคลของสำนักโองการเทพ ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ผลกลับกลายเป็นว่าพอข้ากลับมา อาจารย์ก็เริ่มกลับคำ บอกว่าการฝึกประสบการณ์ในพื้นที่มงคลก็จำเป็นเหมือนกัน ถึงอย่างไรก็ไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูมาแล้ว เรื่องดีมาเป็นคู่ไงล่ะ ฉวยโอกาสที่สองปีนี้ยังโชคดีอยู่ ได้ของดีมาจากถ้ำสวรรค์แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะได้ภรรยาที่งดงามฉลาดเฉลียวมาจากพื้นที่มงคลอีกคน…”
เจียงอวิ้นหน้านิ่วคิ้วขมวด กล่าวอย่างจนใจว่า “มาเจอกับอาจารย์ที่ช่างเล่นแง่แบบนี้ก็ไม่อาจพูดคุยกันด้วยเหตุผลได้เลย”
หญิงสาวหลุดหัวเราะพรืด “สมกับคำว่าอยู่ท่ามกลางโชคดีแต่สัมผัสโชคดีไม่ได้จริงๆ ในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีป มีสักกี่คนที่สามารถอาศัยสถานะผู้ฝึกตนอิสระเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบนได้? และจะมีสักกี่คนที่ทำให้คนที่สายตาสูงมองไม่เห็นหัวใครอย่างหลี่ถวนจิ่งเคารพนับถือได้? จะมีสักกี่คนที่สามารถเป็นสหายร่วมทุกข์กับหัวหน้าพรรคผู้เฒ่าที่มีนิสัยประหลาดผู้นั้น? เจ้าน่ะหัดรู้จักพอเสียบ้าง มีเวลาว่างก็รีบกลับตระกูลไปจุดธูปกราบไหว้เหล่าบรรพบุรุษหลายๆ ดอก ขอบคุณบรรพบุรุษที่ช่วยสั่งสมบุญกุศลไว้ให้ดีๆ”
เจียงอวิ้นส่ายหน้าพูดด้วยสีหน้าเฉยชา “อย่าเกลี้ยกล่อมให้ข้ากลับไปเลย ไม่มีความสนใจจริงๆ”
หญิงสาวถอนหายใจหนึ่งที ยื่นมือมาดีดหน้าผากเจียงอวิ้น “ตั้งแต่เล็กจนโตก็ดื้อแบบนี้ ตอนนี้เป็นเทพเซียนบนภูเขาแล้วก็ยังไม่ปล่อยวางเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในอดีตนั่นอีกหรือ?”
เจียงอวิ้นไม่พูดตอบโต้
เขามองหมัวมัวผู้อบรมมารยาทผู้นั้นแวบหนึ่ง หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ บอกเป็นนัยแก่เจียงอวิ้นว่าอย่าถาม
ระหว่างที่คนทั้งสองเงียบงันกันไปนั้น ผู้บัญชาการณ์ใหญ่เหวยเลี่ยงก็กำลังพูดคุยกับหมัวมัวผู้อบรมมารยาทถึงถ้ำสวรรค์จู๋ไห่และเจ้าแม่ชิงเสินผู้นั้นพอดี
เหวยเลี่ยงกวาดตามองไปรอบด้าน ในสายตาเห็นแต่ต้นไผ่สูงเพรียวเขียวขจี ยิ้มพูดทีเล่นทีจริงว่า “บัณฑิต นักปราชญ์และวิญญูชนต่างก็ชอบไผ่เขียว ข้าล่ะอยากจะโค่นไผ่ชั่วช้าสักพันสักหมื่นต้นจริงๆ”
บุตรสาวสายตรงสกุลเจียงพูดสัพยอก “ท่านเหวย หากท่านมัวมาโค่นไม้ไผ่ของที่นี่ ทิ้งบรรพจารย์ท่านนั้นของพวกเราที่อยากขอความรู้จากท่านมาโดยตลอดไว้เพียงลำพังคนเดียว คงไม่ดีกระมัง?”
เหวยเลี่ยงยิ้มกล่าว “หากข้านั่งอยู่ตรงนั้นจะเกินหน้าเกินตาไปสักหน่อย เกินสถานะของขุนนางไปบ้าง”
นางกำลังจะพูดเหน็บแนมเขาสักสองคำ
เหวยเลี่ยงกลับยิ้มตาหยีชิงพูดก่อนว่า “เจ้าขิงน้อย ตอนเด็กข้าเคยอุ้มเจ้ามาก่อน เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ เพียงแค่ชั่วพริบตา เด็กหญิงผิวดำเกรียมที่อยู่ในห่อผ้าอ้อมก็เติบโตเป็นแม่นางที่แต่งงานกับคนอื่นได้แล้ว”
นางถลึงตามองมาอย่างขุ่นเคือง หยิบขิงชิ้นหนึ่งที่ชอบกินตั้งแต่เด็กออกมายัดใส่ปากเคี้ยวแรงๆ
เหวยเลี่ยงหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ
เจียงอวิ้นนับถืออีกฝ่ายอย่างสุดจิตสุดใจ
……
ช่วงนี้หลายคนต่างพากันไปจากสวนสิงโตที่ตั้งอยู่ชานเมืองหลวง เมื่อปีศาจที่อาละวาดก่อความวุ่นวายถูกกำจัด คนต่างถิ่นจึงจากไป คนในครอบครัวตัวเองก็จากไปเช่นกัน
หลิ่วชิงหย่าบุตรสาวคนโตที่ถูกกักตัวอยู่ในบ้านเดิมมาเป็นเวลานานรีบร้อนพาสามีจากไปก่อนผู้ใด ถูกงูกัดครั้งหนึ่งก็กลัวเชือกไปสิบปี ครั้งนี้สามีของนางถูกทำให้ตกใจจนน่าเวทนาจริงๆ
หลังจากนั้นก็เป็นอาจารย์สองท่านที่สอนหนังสืออยู่ในโรงเรียนสกุลหลิ่วที่พากันจับคู่จากไป
ต่อมาก็เป็นบุตรชายคนรองหลิ่วชิงซานกับนักพรตหญิงหลิ่วป๋อฉี คนทั้งสองเตรียมขี่ม้าออกเดินทางไกล ขึ้นเหนือไปตลอดทาง เพราะจะไปเยือนสำนักศึกษากวานหูก่อน
ตามมาด้วยหลิ่วชิงชิงบุตรสาวคนเล็กที่เดินทางไปเยือนตระกูลเซียนแห่งหนึ่งพร้อมกับสาวใช้จ้าวหยา พี่ชายคนโตหลิ่วชิงเฟิงลาหยุดกับทางราชสำนักคุ้มครองพาน้องสาวไปส่งด้วยตัวเอง ตระกูลเซียนบนภูเขาแห่งนั้นห่างจากเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนไม่ใกล้นัก ประมาณหกร้อยกว่าลี้ ตอนที่รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วยังรับราชการเคยมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับคนที่มีอำนาจในสำนักแห่งนั้น ดังนั้นนอกจากจะเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ไปกราบไหว้อาจารย์แล้ว ยังเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้หลิ่วชิงเฟิงพกไป ความหมายคร่าวๆ ก็คือต่อให้พรสวรรค์ของหลิ่วชิงชิงไม่ดี ไม่เหมาะกับการฝึกตน แต่ก็โปรดรับตัวลูกสาวของเขาไว้เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ ให้นางได้ฝึกตนอยู่บนภูเขาสองสามปี
ในความเป็นจริงแล้วต่อให้หลิ่วจิ้งถิงจะไม่ใช่รองเจ้ากรมพิธีการอีกต่อไป แต่ขอแค่เขายังมีชีวิตอยู่บนโลก ถ้าเช่นนั้นไม่ว่าหลิ่วชิงชิงจะเข้าไปฝึกตนในตระกูลเซียนแห่งใดของแคว้นชิงหลวนก็ล้วนไม่ใช่เรื่องยาก ถึงขั้นไม่จำเป็นต้องเตรียมจดหมายฉบับนี้เลยด้วยซ้ำ
รถม้าสองคันขับเคลื่อนไปเบื้องหน้าช้าๆ ตลอดทาง รอยยิ้มของหลิ่วชิงชิงเริ่มเพิ่มมากขึ้น สาวใช้จ้าวหยาก็ย่อมอารมณ์ดีตามไปด้วย
ส่วนใหญ่แล้วหลิ่วชิงเฟิงจะนั่งอ่านตำราอยู่ในห้องโดยสารของรถม้า พอถึงจุดพักม้าระหว่างทางถึงจะเชื่อมความสัมพันธ์ พบปะกับคนที่มารอต้อนรับ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเพียงแค่การมีมารยาทที่ไม่ขาดตกบกพร่องของครอบครัวชนชั้นสูงเท่านั้น ขุนนางชั้นผู้น้อยในระดับท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นขุนนางตงฉินหรือกังฉิน ต่อให้ระดับขั้นจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินแค่ไหน แต่มีใครบ้างที่ไม่ใช่พวกกลิ้งกลอก สายตาเฉียบคม? หลิ่วชิงเฟิงคือขุนนางที่เป็นดั่งบิดาของชาวบ้าน สามารถมองออกในปราดเดียวว่าพวกเขาเกรงใจตนตามมารยาทหรือปฏิบัติต่อตนด้วยความจริงใจ ดังนั้นหลิ่วชิงเฟิงจึงไม่วางตัวเหมือนบุตรชายคนโตของหลิ่วจิ้งถิงผู้นำแห่งวงการนักประพันธ์ของแคว้นชิงหลวน ไม่ว่ากับใครก็ล้วนมอบความประทับใจที่ไม่เลวให้ จึงกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่จุดพักม้าแต่ละแห่งให้ความสนใจพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เดิมทีหลิ่วชิงชิงก็เป็นสตรี อีกทั้งยังอายุไม่มาก ดังนั้นจึงมองรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในการกระทำของหลิ่วชิงเฟิงผู้เป็นพี่ชายไม่ออก ทว่าจ้าวหยาที่เป็นคนละเอียดอ่อนกลับทอดถอนใจด้วยความชื่นชม มักรู้สึกว่าคุณชายใหญ่ตอนที่อยู่ในสวนสิงโตกับนายอำเภอหลิ่วที่เดินออกมาจากสวนสิงโตคือคนสองคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อไปถึงสำนักตระกูลเซียนที่ยอดเขาเขียวขจีสลับสล้างแห่งนั้น การกราบเซียนเป็นอาจารย์ของหลิ่วชิงชิงก็ผ่านไปอย่างราบรื่น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!