ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นบนหัวเรือประหนึ่งเสียงฟ้าผ่าดังแต่ฝนกลับตกลงมาเม็ดเล็ก
เพราะว่าผู้ฝึกกระบี่เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา อีกทั้งยังมีตั้งสองเล่มซึ่งผิดไปจากปกติ แต่สุดท้ายกลับไม่เห็นเลือด?
พวกผู้ชมรู้สึกยังชมได้ไม่สาแก่ใจสักเท่าไหร่
เรือข้ามฝากบรรทุกผู้โดยสารสองร้อยคน ขณะนั้นผู้คนพากันวิพากษ์วิจารณ์ สำหรับคนของแคว้นชิงหลวนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ ผู้ฝึกตนอิสระที่แสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง หรือขุนนางชนชั้นสูงที่พาคนในครอบครัวออกมาเปิดโลกทัศน์ การโดยสารเรือข้ามฟากของตระกูลเซียนไม่ใช่เรื่องที่แปลกใหม่ ภาพทัศนียภาพอันงดงามที่ทะเลเมฆเคลื่อนคล้อย นกกระเรียนสยายปีกโบยบิน มองนานไปก็เท่านั้น ถึงอย่างไรก็ไม่ตื่นเต้นเร้าใจสู้เห็นคนทะเลาะวิวาทกัน แต่ละคนต่างก็ยืนกรานในความเห็นของตัวเอง เมื่อเทียบกับสองฝ่ายที่เป็นคนในเหตุการณ์ซึ่งฝ่ายหนึ่งมีท่าทางสบายๆ ผ่อนคลาย ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็เปิดเผยความสามารถออกมาเพียงเล็กน้อยแล้ว พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกปาก ความคิดเห็นแตกต่างหลากหลาย ถึงท้ายที่สุดความเห็นก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน ต่างก็รู้สึกว่าผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้นทำอะไรเผด็จการเกินไป เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้เหตุใดต้องลงไม้ลงมือทำร้ายคน วางท่าชัดเจนว่าแค่มีตัวตนเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ จะต้องถีบให้ชายฉกรรจ์ผู้นั้นล้มลงแล้วไม่อาจลุกขึ้นได้อีก หากนี่ไม่เรียกว่าอาศัยกำลังที่มากกว่ารังแกคนอื่น จะเรียกว่าอะไร?
เพียงแต่ว่ามีแม่นางน้อยคนหนึ่งที่พ่อแม่พาออกมาท่องเที่ยวตามภูเขาแม่น้ำพูดประโยคหนึ่งอย่างไร้เดียงสาว่า ไม่ใช่คนผู้นั้นทำผิดก่อนหรอกหรือ?
พวกผู้ใหญ่ที่มายืนชมเรื่องสนุกอยู่บริเวณใกล้เคียง รวมไปถึงพ่อแม่ของนางที่มาจากตระกูลซึ่งถือว่ามีฐานะในแวดวงตระกูลชนชั้นสูงของแคว้นชิงหลวนต่างทำเป็นว่าไม่ได้ยินคำพูดไร้เดียงสาของเด็กคนนี้ ยังคงคาดเดาความเป็นมาของผู้ฝึกกระบี่คนนั้นต่อไปว่ามาจากสวนลมฟ้าของหลี่ถวนจิ่ง? หรือจากภูเขาตะวันเที่ยงที่มีปราณกระบี่พุ่งเสียดชั้นเมฆ? หากไม่พูดเหน็บแนมเสียดสีก็บอกว่าผู้ฝึกกระบี่ในตำนานก็ร้ายกาจเช่นนี้ อายุยังน้อย แต่นิสัยกลับฉุนเฉียวไม่เบา ไม่แน่ว่าวันใดที่พบเจอกับเซียนดินที่ไร้เหตุผลยิ่งกว่านี้ก็อาจต้องพบเจอเรื่องยากลำบากเข้าจริงๆ
แม่นางน้อยพูดอย่างขลาดๆ อีกว่า หากพี่ชายที่สวมชุดขาวและสะพายกระบี่ไว้ด้านหลังผู้นั้นไม่มีความสามารถติดตัว ก็ต้องถูกคนกลุ่มใหญ่กลุ่มนั้นรังแกไม่ใช่หรือ?
พวกผู้ใหญ่ยังคงไม่สนใจความคิดอ่อนเยาว์ของเด็กน้อยคนหนึ่ง เด็กตัวเท่าก้นจะไปเข้าใจอะไร
ไม่มีใครสนใจนาง แม่นางน้อยรู้สึกโมโหเล็กน้อยจึงวิ่งไปยังบริเวณใกล้กับราวรั้วหัวเรือซึ่งมีคนยืนอยู่น้อย พยายามเขย่งปลายเท้ามองไปข้างนอก ก้อนเมฆเหล่านั้นราวกับขนมสายไหมที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า ทำเอานางมองแล้วน้ำลายไหล ยื่นมือออกไปทำท่าคว้าจับมาไว้ในมือแล้วยัดใส่ปาก จากนั้นตบท้องด้วยความพึงพอใจ แล้วก็ไม่อารมณ์เสียกับพวกผู้ใหญ่อีก อันที่จริงนางอยากไปเล่นกับคนวัยเดียวกันที่เหมือนถ่านดำก้อนน้อยคนนั้น เพียงแต่ตอนนั้นนางไม่ค่อยกล้าสักเท่าไหร่ อีกอย่างพ่อแม่ก็กำชับนางว่า ขึ้นมาบนเรือแล้วห้ามทำตัวเหมือนเวลาอยู่ที่บ้าน ตอนหลังยังเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้นขึ้น นางจึงยิ่งไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้อีก
แม่นางน้อยพลันสังเกตเห็นว่าข้างราวรั้วที่ห่างไปไม่ไกลมีคนอยู่ผู้หนึ่ง คนผู้นั้นหน้าตาดีเป็นพิเศษ เทียบกับพี่ชายที่ปกป้องนังหนูถ่านดำก่อนหน้านี้แล้วก็เหมาะสมกับคำว่ารูปงามสะโอดสะองที่บอกไว้ในตำรายิ่งกว่าเสียอีก
คนผู้นั้นอายุประมาณสามสิบปี เพียงแต่ร่างทั้งร่างกลับให้ความทรงจำที่ค่อนข้างพร่าเลือนแก่คน รู้แค่ว่าอายุน้อย เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตเท่านั้น
เขาหันหน้ามาสบตานาง แม่นางน้อยรีบหันหน้าหนี แสร้งทำเป็นว่ากำลังชมทัศนียภาพ
คนผู้นั้นคลี่ยิ้ม เลียนแบบแม่นางน้อยด้วยการยื่นมือออกไปคว้าเมฆสีขาวล่องลอยลักษณะคล้ายกับยอดเขาซึ่งลอยอยู่ใกล้กับตัวเรือ จากนั้นยอดเขาสีขาวหิมะนั่นก็ส่ายไหวเล็กน้อย แล้วก็มีเส้นสีขาวที่พอถูกแสงแดดส่องก็เป็นประกายระยิบระยับเส้นหนึ่งลอยเข้ามาในมือของคนผู้นั้น ถูกเขาขยำเป็นก้อนกลม เขายิ้มพลางยื่นส่งมันมาให้แม่นางน้อย ราวกับกำลังสอบถามว่าอยากลองชิมดูไหม แม่นางน้อยส่ายหน้าอย่างแรง คนผู้นั้นจึงโยนใส่ปากตัวเอง
แม่นางน้อยรู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายอย่างมาก นางอ้าปากกว้าง นับถืออย่างสุดจิตสุดใจ
คือเทพเซียนที่หน้าตาดีจริงๆ
คนผู้นั้นฟุบตัวคว่ำอยู่บนราวรั้ว ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ลาหยุดเพื่อออกเดินทางครั้งนี้ ทั้งเพื่อผ่อนคลายจิตใจ แล้วก็เพราะอยากมาลองสังเกตดูคนหนุ่มที่มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะมีที่มาจากสำนักเดียวกันผู้นั้นใกล้ๆ
เขาก็คือผู้บัญชาการณ์ใหญ่เหวยเลี่ยงแห่งแคว้นชิงหลวน
เป็นทั้งคนที่วางแผนล้อมสังหารวัวเหลือง ล่อผู้ฝึกตนอิสระมาสังหาร แล้วก็เป็นทั้งผู้พิทักษ์ประตูเมืองหลวงของงานโต้วาทีพุทธเต๋าแคว้นชิงหลวนในครั้งนี้ด้วย
งานโต้วาทีพุทธเต๋ายังไม่ปิดฉากลงอย่างแท้จริง ดังนั้นผู้บัญชาการณ์ใหญ่ที่อายุมากกว่าแคว้นชิงหลวน เป็นแขนซ้ายขวาคอยช่วยเหลือฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นชิงหลวน อดีตกุนซืออันดับหนึ่งอย่างเหวยเลี่ยงจึงขอลาหยุดกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เมื่อไม่มีเหวยเลี่ยงนั่งบัญชาการณ์อยู่ที่เมืองหลวง ตอนนี้สถานการณ์ของแคว้นชิงหลวนก็ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด ข้างตั่งนอนของฮ่องเต้มีแต่เสือและหมาป่า แต่ต่อให้ถังหลีจะไม่เต็มใจมากแค่ไหน ฮ่องเต้สกุลถังผู้นี้ก็ยังคงฝืนใจตอบรับอีกฝ่าย
หลังจากที่ฮ่องเต้ไท่จู่แคว้นชิงหลวนก่อตั้งแคว้น เขาก็ได้สร้างหอเรือนและแขวนภาพเหมือนของขุนนางผู้มีคุณูปการในการต่อตั้งแคว้นไว้ยี่สิบสี่คน อันดับของ ‘เหวยเฉียน’ ไม่สูงมากนัก แต่ลูกหลานของลูกหลานขุนนางบุ๋นบู๊อีกยี่สิบสามคนที่เหลือล้วนตายไปหมดแล้ว แต่เหวยเฉียนก็แค่เปลี่ยนชื่อใหม่มาเป็นเหวยเลี่ยงเท่านั้น
เรือข้ามฟากตระกูลเซียนที่มีชื่อว่า ‘ชิงอี’ (ชุดเขียว) ลำนี้รูปลักษณ์เหมือนกับเรือรบของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ที่แล่นอยู่บนทะเลสาบและแม่น้ำขนาดใหญ่ ความเร็วไม่มาก อีกทั้งยังขับอ้อม นั่นก็เพื่อให้ผู้โดยสารเกินครึ่งของเรือสามารถไปหาความบันเทิงจากภูเขาทั้งหลายที่มีชื่อเสียงของตระกูลเซียน ได้ขึ้นไปบนแท่นตกปลาบางแห่งที่สูงเหนือทะเลเมฆ ใช้คันเบ็ดตกปลาที่ทำมาจากไม้พิเศษซึ่งผ่านการหลอมเล็กไปตกนกและปลาบินที่มีมูลค่าเท่ากับทองพันชั่ง ไปชมทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่งดงามยามพระอาทิตย์ขึ้นและตกบนยอดเขาสูงบางแห่งที่มีโรงเตี๊ยมตั้งเรียงราย ไปซื้อต้นไม้ดอกไม้แปลกๆ ใหม่ๆ ที่ตระกูลเซียนทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อเมล็ดพันธ์ จากนั้นก็มอบให้ผู้ฝึกตนสำนักกสิกรรมเป็นผู้ปลูกและดูแล หลังซื้อมาแล้วจะเอากลับไปชื่นชมที่บ้าน หรือนำไปติดสินบนในวงการขุนนางก็ได้ทั้งนั้น และยังมีภูเขาบางแห่งที่จงใจเลี้ยงสัตว์บางประเภทไว้ตามภูเขาและทะเลสาบ ซึ่งจะมีผู้ฝึกตนทำหน้าที่พาคนมีเงินที่ชอบล่าสัตว์ขึ้นเขาลงน้ำ ‘เสี่ยงอันตราย’ ไปจับพวกมันมา
ท่ามกลางกาลเวลาที่เหวยเลี่ยงใช้ชีวิตโดยมีเหล่าบุปผางามห้อมล้อม อันที่จริงเขาตัวคนเดียวมาโดยตลอด
ทุกครั้งที่จวนผู้บัญชาการณ์ใหญ่แต่งภรรยามาอย่างถูกต้องเปิดเผยล้วนเป็นเพียงแค่ข้ออ้างบังหน้าเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงไร้ลูกหลาน
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว
เหวยเลี่ยงย่อตัวลงนั่งยอง ยิ้มกล่าว “แม่นางน้อย เจ้าชื่ออะไรหรือ?”
แม่นางน้อยลังเลไปชั่วขณะ “ข้าชื่อหยวนเหยียนซู่”
เหวยเลี่ยงผงกศีรษะรับ “คำพูด (เหยียน) ย่อมต้องมีเนื้อหาและเรียงลำดับ (ซู่) หากมองเช่นนี้ ในครอบครัวของเจ้าต้องมีผู้อาวุโสที่เคยเป็นผู้เลื่อมใสใน ‘หลักอี้ฝ่า’ ( ‘อี้’ หมายถึงเนื้อหาที่เขียนในบทความต้องอิงตามวัตถุประสงค์ของคัมภีร์ลัทธิขงจื๊อ ‘ฝ่า’ หมายถึงวิธีการเขียนบทความ อี้เป็นตัวตัดสินฝ่า ฝ่าเป็นตัวแสดงออกถึงอี้ นั่นคือเรียกร้องให้เนื้อหาถูกต้อง ถ้อยคำกระชับสวยงาม) ของพรรคถงเฉิงในอดีต ความรู้สายนี้เงียบหายไปนานหลายปีแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็เดาว่าไม่น่าจะเป็นพ่อเจ้าที่ตั้งชื่อให้ แต่เป็นปู่ของเจ้ากระมัง?”
แม่นางน้อยเบิกตากว้าง ยิ่งรู้สึกนับถือคนผู้นี้เข้าไปใหญ่ เรื่องนี้ก็เดาได้ด้วย?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!