เหวยเลี่ยงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คนดีถูกรังแก ก็จะไม่เป็นคนดีแล้วหรือ? คนชั่วย่อมไม่มีจุดจบที่ดี ก็จะไปเป็นคนเลวแล้วอย่างนั้นหรือ? วิญญูชนหลอกได้ด้วยวิธีการที่สมเหตุสมผล ก็รู้สึกว่าต้องรังแกวิญญูชนแล้วอย่างนั้นหรือ? แบบนี้ไม่ถูกต้อง”
“เพียงแต่ว่าหากจะพูดถึงความดีความเลวของคน เป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินไป ต่อให้แน่ใจว่าผิดหรือถูก แต่จะจัดการอย่างไรก็ยังเป็นปัญหาใหญ่เทียมฟ้า ก็เหมือนความขัดแย้งบนเรือข้ามฟากในวันนี้ หากคนหนุ่มที่สะพายกระบี่ผู้นั้นอดทนใช้เหตุผลมาพูดคุยกับคนกลุ่มนั้น แล้วพวกเขาจะฟังหรือ? แม้ปากจะบอกว่าฟัง แต่ในใจยอมรับหรือไม่? ถ้าอย่างนั้นพูดหรือไม่พูดจะมีความหมายอะไร? เพราะสิ่งที่คนกลุ่มนั้นเต็มใจฟังหาใช่หลักการเหตุผลที่แท้จริงไม่ แต่เป็นเพราะสถานการณ์ในตอนนี้พาไป เมื่อสองฝ่ายต่างคนต่างแยกย้ายกัน สันดอนขุดได้สันดานขุดยาก ทุกอย่างก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่แน่ว่าการที่นั่งลงพูดคุยกันด้วยเหตุผลดีๆ อาจจะกลับกลายเป็นว่าทำให้ตัวเองต้องเสียเปรียบ…ช่างเถิด ไม่คุยเรื่องพวกนี้แล้ว พวกเรามองทะเลเมฆให้สบายใจดีกว่า”
อันที่จริงบทสนทนาครั้งนี้เป็นเหวยเลี่ยงที่พูดคุยกับตัวเองมากกว่า เขายิ่งไม่คาดหวังว่าแม่นางน้อยจะฟังเข้าใจ
ในความเป็นจริงแล้ว ต่อให้เปลี่ยนมาเป็นพ่อแม่ของหยวนเหยียนซู่ที่มานั่งฟังก็ยังไม่มีประโยชน์อยู่ดี ใช่ว่าฟังไม่เข้าใจ แต่เพราะรู้สึกว่าวิถีบนโลกก็เป็นเช่นนี้ พูดคุยเรื่องพวกนี้ยังไม่น่าสนใจเท่าคุยเรื่องหลักการอันลี้ลับซับซ้อนที่อยู่ห่างไกลจากพื้นดินหมื่นลี้เลย
เมื่อสองร้อยปีก่อนเหวยเลี่ยงก็เป็นเซียนดินคนหนึ่งแล้ว แต่เพื่อผลักดันความรู้ของตัวเองจึงคิดจะถ่ายโอนผ่านขนบธรรมเนียมประเพณีของหนึ่งแคว้น ขณะเดียวกันก็นำมาเป็นการบรรลุมรรคาและโอกาสในการพิศมรรคาของตนด้วย ดังนั้นตอนนั้นเขาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น ‘เหวยเฉียน’ มาเยือนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป ช่วยไท่จู่สกุลถังแคว้นชิงหลวนบุกเบิกแคว้น หลังจากนั้นก็ประคับประคองช่วยเหลือฮ่องเต้สกุลถังรุ่นแล้วรุ่นเล่าก่อตั้งกฎหมาย ก่อนจะมีงานโต้วาทีพุทธเต๋าครั้งนี้เกิดขึ้น เหวยเลี่ยงไม่เคยใช้สถานะผู้ฝึกตนเซียนดินของตัวเองไปเล่นงานขุนนางในราชสำนักและผู้ฝึกตนมาก่อน
เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงไม่เพียงแต่เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ ความก้าวหน้ายังเป็นไปอย่างเชื่องช้า ถึงขั้นที่ว่าในช่วงเวลาระหว่างฮ่องเต้สองยุคเขายังต้องเดินย้อนกลับมาทางเดิมเป็นระยะทางช่วงใหญ่
นี่ทำให้เหวยเลี่ยงผิดหวังอย่างมาก
สุดท้ายเหวยเลี่ยงจากไปด้วยรอยยิ้ม เพียงแต่เตือนแม่นางน้อยว่าให้เก็บเรื่องจดหมายและเรื่องจวนผู้บัญชาการไว้เป็นความลับ
หลังจากที่เงาร่างของเหวยเลี่ยงหายไป พ่อแม่ของหยวนเหยียนซู่และเค่อชิงของตระกูลถึงเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเด็กหญิง เริ่มถามถึงรายละเอียดบทสนทนาของทั้งสอง
แม่นางน้อยไม่กล้าปิดบัง แต่ตอนแรกนางก็อยากรักษาความลับเรื่องที่รับปากกับอาจารย์ท่านนั้นว่าจะไม่พูดถึงเรื่องจวนบัญชาการและจดหมาย
เพียงแต่หลุดปากบอกออกไปโดยไม่ทันระวัง ทำให้เค่อชิงผู้เฒ่าของตระกูลจับเบาะแสได้ เขาหลอกถามนางด้วยสีหน้าเมตตาอ่อนโยนแต่กลับซุกซ่อนความนัยลี้ลับเอาไว้ หยวนเหยียนซู่คิดไม่ตกอยู่นาน แต่ก็ไม่อาจต้านทานการซักถามอย่างกระตือรือร้นจากพ่อแม่ได้ จึงได้แต่พูดออกมาอย่างหมดเปลือก
เค่อชิงผู้เฒ่าดีใจสุดขีด หันไปกระซิบกับชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อเบาๆ บอกว่าคนผู้นั้นต้องเป็นผู้ฝึกตนที่ถวายการรับใช้อยู่ในจวนผู้บัญชาการใหญ่อย่างแน่นอน! ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนดังที่อยู่ข้างกายผู้บัญชาการใหญ่เหวยเลี่ยงก็เป็นได้!
ตระกูลหยวนโชคดีแล้ว!
เค่อชิงผู้เฒ่าตระกูลหยวนกำชับชายลัทธิขงจื๊อผู้นั้นอีกว่า นิสัยของพวกเทพเซียนบนภูเขายากจะคาดเดา ไม่อาจใช้หลักเหตุผลทั่วไปมาประเมินได้ ดังนั้นห้ามวาดงูเติมหางอย่างการไปเยี่ยมเยือนถึงบ้านเพื่อขอบคุณอะไรเด็ดขาด ห้ามเด็ดขาดเชียว ตระกูลหยวนแค่ทำเป็นว่าไม่รู้อะไรก็พอ
สองสามีภรรยาปลาบปลื้มดีใจอย่างถึงที่สุด
มีเพียงแม่นางน้อยที่เต็มไปด้วยความละอายใจต่อเทพเซียนท่านนั้น นางนั่งยองอยู่ข้างราวรั้ว รู้สึกหดหู่เล็กน้อย
เหวยเลี่ยงที่เดินจากไปไกลแล้วถอนหายใจหนึ่งที
เรื่องเล็กแค่นี้ไม่อาจทำให้เหวยเลี่ยงผิดหวังได้ ยิ่งไม่รู้สึกเสียใจภายหลัง แค่ไม่มีความปิติยินดีก็เท่านั้น วันหน้าหากตระกูลหยวนที่ถือว่าเป็นแค่ตระกูลลำดับรองของเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนเจอกับปัญหา ต่อให้จดหมายฉบับนั้นส่งไปไม่ถึงจวนผู้บัญชาการ เขาเหวยเลี่ยงก็ยังจะลงมือช่วยเหลือครั้งหนึ่ง
แต่แม่นางน้อยที่ชื่อว่าหยวนเหยียนซู่ผู้นั้นก็ได้สูญเสียโชควาสนาของตระกูลเซียนที่สามารถเหยียบย่างไปบนเส้นทางของการฝึกตนแล้ว
เพียงแต่เหวยเลี่ยงก็รู้ด้วยว่า สำหรับหยวนเหยียนซู่แล้ว นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายจริงๆ เสมอไป
การที่ได้มีชีวิตอย่างสงบสุขมั่นคงอยู่บนโลกก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว
ขึ้นเขามาฝึกตน กลายเป็นผู้ฝึกลมปราณ หากเริ่มงัดข้อกับสวรรค์เมื่อไหร่ ไม่พูดถึงความดีความเลวของคน แต่ขอแค่เป็นคนที่ไม่มีจิตมุ่งมั่นก็ยากที่จะได้พบจุดจบที่ดีในบั้นปลายชีวิต
……
เฉินผิงอันจูงมือเผยเฉียนกลับไปยังห้องบนเรือ
วันนี้เผยเฉียนบอกว่าตัวเองจะคัดตัวอักษรห้าร้อยตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เฉินผิงอันไม่ได้ขัดขวาง แค่เตือนว่าวันนี้เขียนเยอะแล้ว แต่ก็ไม่อาจนำไปนับรวมกับวันพรุ่งนี้ได้
เผยเฉียนยืดอกตั้งพูดว่า นั่นมันแน่อยู่แล้ว
ตอนที่คัดตัวอักษรนางก็วางน้ำเต้าน้อยสีเหลืองไว้ข้างมือ
เฉินผิงอันนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ พลิกเปิดตำราสำนักนิติธรรมเล่มหนึ่งที่ซื้อมาหลังจากได้รับคำแนะนำจากชุยตงซานต่ออีกครั้ง ไม่ใช่ตำราที่มีเล่มเดียวหายากอะไร แต่กลับเป็นหนึ่งในตำรา ‘ดั้งเดิม’ ประเภทที่สามารถสนับสนุนประคับประคองรากฐานของสามลัทธิร้อยสำนักเอาไว้ได้ เกี่ยวกับเรื่องของการอ่านหนังสือนี้ ลู่ไถเคยแนะนำเฉินผิงอันมาก่อน และเฉินผิงอันก็จดจำไว้ขึ้นใจเสมอ ยกตัวอย่างเช่นวิธีการอ่านหนังสือคือควรอ่านเล่มหนาก่อนแล้วค่อยอ่านเล่มบาง รวมไปถึงการ ‘ไล่ตามเส้นเบาะแสไปหาเครือญาติ’ และยังมีเคล็ดลับในการเลือกหนังสือ อย่าเห็นว่าความรู้ของเมธีร้อยสำนักปะปนกันหลากหลาย มีหนังสืออยู่หลายประเภทจนแทบจะเรียกได้ว่ามหาสมุทรตำราอันไร้ขอบเขตสิ้นสุด อันที่จริงแล้วต่อให้เป็นความรู้ของสามลัทธิอย่างขงจื๊อ พุทธ เต๋าที่ตำราได้รับความนิยมมากที่สุด ทว่าหนังสือที่คู่ควรแก่สี่คำว่า ‘เปิดตำรามีประโยชน์’ อย่างแท้จริง รวมกันแล้วกลับไม่เกินห้าสิบเล่ม มนุษย์ธรรมดาที่มีอายุเจ็ดสิบปีทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนสามารถอ่านอย่างละเอียดและอ่านทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้
ดังนั้นตำราสามเล่มนี้ของสำนักนิติธรรมที่เฉินผิงอันเลือกมาจึงเป็นเพียงตำราที่แน่ใจว่าการพิมพ์ไม่มีจุดผิดพลาดเท่านั้น
เรื่องราวในคืนนี้ สิ่งที่เฉินผิงอันรู้สึกปลาบปลื้มใจในตัวเผยเฉียนมากที่สุดยังคงเป็น ‘การกระทำจากใจจริง’ ที่เฉินผิงอันเคยบอกกับเผยเฉียนไปก่อนหน้านี้
เมื่อทำผิดก็ควรขอโทษผู้อื่นก่อนด้วยความจริงใจ
นอกจากนี้ก็คือเผยเฉียนในเวลานี้กับเผยเฉียนในตอนแรกราวกับเกิดฟ้าพลิกดินคว่ำ ยกตัวอย่างเช่นตั้งแต่เกิดเรื่องจนจบเรื่อง ความคิดเดียวของเผยเฉียนก็คือคัดตัวอักษร
ไม่ใช่หันกลับไปด่าคนกลุ่มนั้นด้วยคำพูดทำนองว่าจะไม่ตายดี
เฉินผิงอันถาม “เผยเฉียน ถูกเจ้าหมอนั่นกดหัว เกือบจะผลักเจ้ากระเด็นออกไป เจ้าไม่โกรธหรือ?”
“โกรธสิ ตลอดทางที่เดินกลับมานี่ในใจข้าก็ด่าเขาตลอดทางเลยไงล่ะ เจ้าคนสารเลวทั้งแปดคนนั้น วิธีตายของแต่ละคนที่ข้าคิดไว้ล้วนไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นเจ้าคนที่ถูกอาจารย์สั่งสอนนั่นออกจากบ้านไม่ทันระวังสะดุดล้มร่วงลงไปจากเรือข้ามฟาก กระแทกลงบนพื้นจนร่างเหลกเหลว ส่วนสตรีหน้าเหม็นคนที่หากอิงตามการบรรยายหน้าตาที่พ่อครัวเฒ่าเคยเล่าให้ข้าฟังก็ต้องเรียกว่ายิ้มทีถุงใต้ตาปูดบวมผู้นั้น ข้าหวังให้นางอยู่ดีๆ ก็ไปทะเลาะกับคนอื่น แล้วถูกคนเขาตบหน้าหันซ้ายหันขวา สุดท้ายถูกคนตบจนฟันร่วงหมดปาก ฮ่าๆ แล้วก็ยังมีเจ้าคนปากแหลมแก้มลิงผู้นั้น ให้เขาท้องเสีย อยู่บนเรือข้ามฟากไม่มีหมอช่วยจึงต้องนอนกลิ้งร้องโอดโอยอยู่บนพื้น…”
เผยเฉียนมัวแต่มุ่งมั่นคัดตัวอักษร ไม่ทันระวังจึงหลุดปากพูดความในใจออกมา เพิ่งจะรู้ตัวในฉับพลัน จึงพูดหน้าม่อยว่า “อาจารย์ เขกมะเหงกหรือดึงหู ท่านตัดสินใจเอาเลย”
เฉินผิงอันไม่ได้โกรธสักเท่าไหร่ เขายิ้มถามว่า “งั้นถ้าเกิด…”
ดูเหมือนเผยเฉียนจะรู้ว่าเฉินผิงอันจะถามอะไร จึงยืดเอวตั้งตรง “อาจารย์ท่านวางใจเถิด ข้าก็แค่คิดในใจหาความบันเทิงให้ตัวเองเท่านั้น ต่อให้วันใดข้าฝึกวิชากระบี่ล้ำโลกและวิชาหมัดไร้เทียมทานสำเร็จแล้ว แล้วได้มาเจอกับเจ้าคนพวกนี้ก็ไม่มีทางทำอะไรพวกเขาหรอก! อย่ามากก็แค่ถีบพวกเขาทีหนึ่งเหมือนที่อาจารย์ทำ”
เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมล่ะ?”
เผยเฉียนพูดด้วยสีหน้ามีเหตุมีผล “ก็ข้าคือลูกศิษย์ของอาจารย์อย่างไรล่ะ แถมยังเป็นลูกศิษย์เปิดขุนเขาด้วย! หากข้าถือสาพวกเขา จะไม่ทำให้อาจารย์ขายหน้าหรอกหรือ? อีกอย่าง นี่มันเรื่องใหญ่แค่ไหนกันเอง ตอนเด็กข้าถูกคนเตะคนถีบก็ถมเถไป ตอนนี้ข้าเป็นคนมีเงินแล้ว แถมยังเป็นคนในยุทธภพครึ่งตัวแล้วด้วย แน่นอนว่าต้องเป็นคนใจกว้าง!”
จูเหลี่ยนพาสือโหรวผลักประตูเดินเข้ามาพอดี เขายกนิ้วโป้งให้นาง “ความสามารถในการประจบสอพลอของจอมยุทธ์หญิงเผย ยิ่งนานวันยิ่งเข้าขั้นสุดยอดแล้ว”
เผยเฉียนก้มหน้าก้มตาคัดตัวอักษรต่อ วันนี้นางอารมณ์ดีมาก จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพ่อครัวเฒ่าแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!