กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 400

สรุปบท บทที่ 400.3 ของขวัญ: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปเนื้อหา บทที่ 400.3 ของขวัญ – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บท บทที่ 400.3 ของขวัญ ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

สังเกตเห็นว่าจูเหลี่ยนมองมาทางตน

ศึกที่สวนสิงโต นอกจากเฉินผิงอันจะใช้ทองวาดยันต์แล้ว ยังควักยันต์ระดับสูงที่ล้ำค่าออกไปอีกปึกใหญ่

เฉินผิงอันยิ้มกล่าวว่า “เรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลัง เมื่อไปถึงภูเขาลั่วพั่วเขตการปกครองหลงเฉวียน ถึงเวลานั้นค่อยเล่าให้เจ้ากับเผยเฉียนฟัง สรุปก็คือนี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ข้าไม่ได้สังหารหลี่เป่าเจิน”

จูเหลี่ยนไม่ถามให้มากความอีก เขาถูมือกล่าวว่า “นายน้อย ให้โอกาสข้าได้ป้อนหมัดหน่อยไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ลุกขึ้นยืน “คราวนี้เจ้าลงมือหนักๆ หน่อย ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะรับไหวหรือไม่ เจ้าจูเหลี่ยนไม่รู้หรอกว่าปีนั้นข้าถูกคนป้อนหมัดอย่างไร หากได้เห็นก็จะรู้ว่าตอนที่เจิ้งต้าเฟิงป้อนหมัดให้พวกเจ้าในร้านยานครมังกรเฒ่าก็ช่าง…อืม หากอิงตามคำพูดของเจ้าจูเหลี่ยนก็คือบุรุษวาดคิ้วให้สตรี วิธีการอ่อนโยนนุ่มนวล”

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ก็นั่นน่ะสิ ตอนนั้นบ่าวเฒ่าก็รู้สึกแล้วว่าไม่สาแก่ใจมากพอ เพียงแต่ว่ามีสุยโย่วเปียนอยู่ด้วย บ่าวเฒ่าจึงไม่อยากพูดอะไรมาก”

เผยเฉียนคัดตัวอักษรเสร็จแล้ว

เฉินผิงอันกล่าว “กลับไปที่ห้องตัวเอง ไม่อย่างนั้นถึงเวลานั้นเจ้าต้องตกใจมากแน่”

เผยเฉียนเอ่ยรับรอง “ไม่มีทาง!”

เฉินผิงอันหยิบยันต์ขจัดสิ่งสกปรกแผ่นหนึ่งออกมาแปะไว้ในห้องก่อน

ผลคือพอผ่านไปหนึ่งก้านธูป เผยเฉียนที่มองคนทั้งคู่ประมือกันก็เหงื่อแตกเต็มไปทั้งศีรษะ อกสั่นขวัญผวาสุดขีด ภายหลังจึงวิ่งไปตรงมุมห้อง พลิกเปิดหีบไม้ไผ่ใบนั้นของเฉินผิงอัน หยิบเอากล่องเก็บสมบัติของตนออกมา

หากนางเองก็ต้องฝึกวรยุทธ์ด้วยวิชาหมัดเช่นนี้กว่าจะได้กลายเป็นยอดฝีมือล้ำโลกตามความคิดของตน เผยเฉียนจะต้องแสร้งทำเป็นว่าวรยุทธ์ไม่มีอยู่จริง ยุทธภพในใต้หล้าอะไรที่กล่าวถึงในตำรา แค่เปิดหนังสืออ่านเอาก็พอแล้ว

ชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่เฉินผิงอันสวมไว้บนร่างสามารถลดปัญหายุ่งยากไปได้มาก

เขากลับมานั่งข้างโต๊ะพร้อมกับจูเหลี่ยน หยิบเอาเหล้าอู้ซงกาหนึ่งที่ซื้อมาจากเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนออกมา แล้วรินให้จูเหลี่ยนหนึ่งถ้วย

จูเหลี่ยนกระดกดื่มรวดเดียวหมด ไม่ต้องให้เฉินผิงอันรินเหล้าให้ก็หยิบกาเหล้ามาเทเหล้าใส่ถ้วยให้ตัวเองจนเต็ม

เผยเฉียนเอ่ยเตือน “พ่อครัวเฒ่าเจ้าดื่มให้น้อยๆ ลงหน่อย ดื่มเหล้ามากไปทำร้ายร่างกาย อีกอย่างเหล้าอู้ซงหนึ่งกาก็ตั้งสามตำลึงเชียวนะ”

จูเหลี่ยนเริ่มดื่มช้าลง ถามเบาๆ ว่า “คุณชายคิดจะฝ่าคอขวดเลื่อนสู่ขอบเขตหกตอนไหน?”

ในใจเฉินผิงอันตัดสินใจได้นานแล้ว เขาตอบว่า “รออีกหน่อยเถอะ มีโชควาสนาหนึ่งที่สามารถลองช่วงชิงมาได้”

เฉินผิงอันไม่ได้พูดอย่างละเอียดว่าโชควาสนาที่ว่านั้นคืออะไร เพราะถึงอย่างไรคำว่า ‘แข็งแกร่งที่สุด’ ก็เป็นมายาเลื่อนลอยยิ่งกว่าชะตาบู๊ของหนึ่งแคว้นที่สามารถจำแลงออกมาเป็นภาพปรากฎการณ์เสียอีก

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากจะให้ข้าไปตามพื้นที่ลับ ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่ปริแตกพังทลายไปแล้วเพื่อช่วงชิงโชควาสนา แย่งสมบัติอาคม หวังว่าจะพบเจอกับเซียนหรือมรดกตกทอดรูปแบบต่างๆ ข้าไม่ค่อยกล้าเท่าใดนัก”

แต่หากจะให้อาศัยรากฐานของวิถีวรยุทธ์ที่มาจากการสั่งสมหมัดแล้วหมัดเล่า เรื่องแบบนี้เฉินผิงอันรู้สึกว่าลองทำดูก็ไม่มีปัญหา

แต่เฉินผิงอันเองก็รู้ว่าขอแค่เฉาสือยังเป็นขอบเขตห้า อย่าว่าแต่เขาเฉินผิงอันเลย ใครก็ไม่มีความหวังทั้งนั้น

ขนาดผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ก็ยังเคยพูดกับปากตัวเองว่า การฝึกวรยุทธ์และการอบรมบ่มเพาะตัวเองของเฉาสือทิ้งห่างจากผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดียวกันไปมากเกินไป ทุกขอบเขตของเขาล้วนมีแต่จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก

ตอนนั้นหนิงเหยาไม่ใคร่จะยินยอมนัก บอกว่าต่อให้อาจารย์ของเฉาสือคืออันดับหนึ่งบนวิถีวรยุทธ์ของใต้หล้าทั้งสี่ อีกทั้งโชคชะตาบู๊ยังสามารถจำแลงออกมาเป็นรูปธรรม แต่ฟ้าดินกว้างใหญ่ ทุกวันล้วนมีเรื่องที่ไม่อาจคาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ เฉาสือจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในแต่ละขอบเขตไปทุกครั้งได้อย่างไร? หรือว่าบรรพบุรุษแต่ละรุ่นของเขาเฉาสือเป็นคนเปิดร้าน ครอบครองกิจการใหญ่เพียงลำพัง ผูกขาดโชคชะตาบู๊ของใต้หล้าไปแล้ว?

ตอนนั้นเฉินชิงตูพูดประโยคหนึ่งที่ทำให้เฉินผิงอันจดจำได้อย่างลึกซึ้ง

‘เฉาสือก็แข็งแกร่งเช่นนี้แหละ ตั้งแต่ฐานกระดูก พรสวรรค์ไปจนถึงนิสัย หรือแม้แต่โชคชะตาบู๊ก็ล้วนเป็นเช่นนี้ทั้งหมด ไม่มีเหตุผลให้ต้องพูดกันอีก’

ตอนนั้นเฉินผิงอันเพิ่งจะแพ้ให้เฉาสือสามครั้งติดต่อกัน ตัวเขาเองไม่ได้รู้สึกอะไร แต่หนิงเหยากลับโกรธไม่น้อย

เห็นหนิงเหยามีท่าทางเช่นนั้น เฉินผิงอันก็อารมณ์ดีอย่างมาก ผลคือพอหนิงเหยาเห็นเขาเป็นแบบนั้นก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่

คราวนี้จูเหลี่ยนหลุดปากพูดออกมาว่า “นายน้อยคือบุคคลที่มีโชควาสนายิ่งใหญ่เทียมฟ้า มีหรือจะเข้าไปในภูเขาสมบัติแล้วกลับมามือเปล่า ตอนนี้จะดีจะชั่วบ่าวเฒ่าก็เป็นขอบเขตร่างทอง พอจะเข้าใจพื้นที่ลับถ้ำสถิตที่เกิดขึ้นหลังจากพื้นที่มงคลถ้ำสวรรค์ปริแตกอยู่บ้าง รู้ดีว่าผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนเข้าไปไม่ได้ พอเข้าไปแล้วพื้นที่ลับจะไม่มั่นคง ง่ายที่จะปริแตก ง่ายที่จะถูกแม่น้ำแห่งกาลเวลาไร้ระเบียบเหล่านั้นห่อหุ้มเอาไว้ ร้ายแรงหน่อยก็ตบะถูกสลาย เมื่อไม่มีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคอยจับจ้อง อีกทั้งยังมีบ่าวเฒ่าให้การช่วยเหลือ ตอนนี้นายน้อยก็สามารถลองไปเสี่ยงดวงดูได้แล้ว คราวหน้าหากพบเจอสถานที่ทำนองนี้อีก ไม่สู้นายน้อยพาบ่าวเฒ่าไปด้วย ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ต้องถูกสถานที่เช่นนี้พันธนาการ”

เฉินผิงอันใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้ากล่าวว่า “มีเหตุผล เป็นข้าเคยชินที่จะหลีกเลี่ยงสถานที่พวกนี้ ตอนนี้ลองมานึกดูแล้วก็ควรต้องปรับเปลี่ยนความคิดในอดีตสักหน่อย”

เดิมทีพอเผยเฉียนได้ยินคำว่า ‘โชควาสนายิ่งใหญ่เทียมฟ้า’ ก็ขมวดคิ้วขนคิ้วตั้งชันทันที เพียงแต่พอได้ยินคำพูดในประโยคหลังของจูเหลี่ยน หัวคิ้วถึงได้คลายออก

จูเหลี่ยนขบคิดใคร่ครวญ

จากนั้นกาลเวลาบนเรือข้ามฟากตระกูลเซียนก็ผ่านไปอย่างเชื่องช้า

สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่เป็นสถานที่แนะนำของตระกูลเซียนบนภูเขาไม่อาจสร้างท่าเรือตระกูลเซียนที่ต้องเผาผลาญเงินเทพเซียนไปอย่างไม่มีหยุดยั้งได้ ดังนั้นเรือข้ามฟากลำนี้จึงไม่สามารถ ‘จอดเทียบท่า’ แต่ก็ได้เตรียมเรือตระกูลเซียนที่สามารถล่องลอยกลางอากาศทะยานไปตามสายลมพาผู้โดยสารบนเรือข้ามฟากที่มาถึงจุดหมายไปส่งยังท่าเรือเล็กๆ บนภูเขาไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนที่ผ่านแท่นตกปลาที่มีชื่อเสียงซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ทางเหนือของแคว้นชิงหลวน คนที่ลงจากเรือมีมากเป็นพิเศษ เฉินผิงอันกับพวกเผยเฉียนจูเหลี่ยนมาที่หัวเรือ เห็นว่าระหว่างภูเขาใหญ่สูงตระหง่านสองลูกมีทะเลเมฆล่องลอยผ่านไปประหนึ่งธารน้ำไหลริน แท่นตกปลาขนาดใหญ่สองฝั่งซ้ายขวาที่ตั้งคุมเชิงกันอยู่นั้นสร้างขึ้นบนยอดเขาใหญ่ริมฝั่งทะเลเมฆ บางครั้งก็มองเห็นนกหลากสีสยายปีกโบยบินแหวกทะเลเมฆ วาดตัวเป็นเส้นโค้งแล้วผลุบจมหายไปในทะเลเมฆอีกครั้ง

เผยเฉียนมองอย่างเพลิดเพลิน เจ็บใจก็แต่ตนไม่สามารถบังคับลมเดินไปได้ ไม่อย่างนั้นเสียงสวบหนึ่งที นางก็คงพุ่งพรวดไป ใช้ไม้เท้าเดินป่าที่ถือไว้ในมือทุบตีไปบนตัวนกและปลาบินเหล่านั้น จากนั้นค่อยจับพวกมันกลับมาที่เรือ น่าจะเอาไปขายได้หลายตัง ไม่แน่ว่าวิ่งไปกลับหลายๆ รอบ นางก็อาจจะซื้อกล่องเก็บสมบัติสักใบหนึ่ง หรือแม้แต่ชั้นเก็บสมบัติก็อาจจะซื้อได้

จูเหลี่ยนคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปด แต่ตลอดทางที่ติดตามเฉินผิงอันมานี้ เขาเอาแต่เดินเท้าตลอดเวลา ไม่เคยมีประสบการณ์ทะยานลมเดินทางไกลเลยแม้แต่ครั้งเดียว

เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “จูเหลี่ยน เจ้าไม่คิดอะไรบ้างหรือ? ไม่รู้สึกผิดต่อขอบเขตของตัวเองหรือไร?”

จูเหลี่ยนส่ายหน้ายิ้มตอบ “นายน้อย ตอนที่บ่าวเฒ่าอยู่ที่บ้านเกิดก็เอียนกับสายตาตกอกตกใจของคนรอบข้างมากพอแล้ว ไม่มีอารมณ์จะทำเรื่องไร้สาระเช่นนั้นจริงๆ”

สือโหรวที่อยู่ด้านข้างชมทัศนียภาพเงียบๆ

สำหรับความคิดที่ผิดแผกไปจากคนอื่นของจูเหลี่ยน นางไม่รู้สึกประหลาดใจเพราะเคยชินเสียแล้ว

เหวยเลี่ยงวางพู่กันในมือลงบนแท่นวางพู่กัน ลุกขึ้นยืน สาวเท้าเดินช้าๆ อยู่ในห้อง

การที่เขาเต็มใจทำเรื่องนี้

หาใช่เพราะถูกบีบให้คล้อยไปตามสถานการณ์ใหญ่จึงจำเป็นต้องพึ่งพาซิ่วหู่ผู้นั้นไม่ แต่ในความเป็นจริงแล้วด้วยนิสัยของเหวยเลี่ยง หากชุยฉานไม่สามารถพูดโน้มน้าวให้ตนเชื่อถือได้ เขาเหวยเลี่ยงก็สามารถสละกิจการสองร้อยกว่าปีที่ก่อตั้งไว้ในแคว้นชิงหลวนไปก่อร่างสร้างตัวใหม่ที่ทวีปอื่น ยกตัวอย่างเช่นกุรุทวีปที่ยิ่งไร้ขื่อไร้แปมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นใบถงทวีปที่สถานการณ์ค่อนข้างมั่นคง มีรากฐานอยู่ที่แคว้นชิงหลวนแล้วก็แค่ต้องเสียเวลาอีกหนึ่งถึงสองร้อยปีเท่านั้น

แต่ครั้งนี้ชุยฉานเดินทางมาที่แคว้นชิงหลวนด้วยตัวเอง คนแรกที่เขามาหาก็คือเขาเหวยเลี่ยง ชุยฉานกับเขาเคยพูดคุยกันอย่างเปิดอกครั้งหนึ่ง เหวยเลี่ยงที่พอรู้ทิศทางของแผนการสร้างความมั่นคงให้แก่แคว้นของราชครูต้าหลีและราชวงศ์ต้าหลีคร่าวๆ แล้วก็ตัดสินใจที่จะร่วมมือด้วย

ร่วมมือ ไม่ใช่สวามิภักดิ์

เหวยเลี่ยงไม่ได้กล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อรักษาหน้าทุกฝ่าย ยิ่งไม่ได้ต่อรอง ชุยฉานเองก็ไม่รู้สึกสงสัยกับสิ่งที่เขาตัดสินใจแม้แต่น้อย

จำต้องยอมรับว่าสิ่งที่ชุยฉานต้องการนั้นลึกล้ำและยาวไกลยิ่งกว่าเขาเหวยเลี่ยง ดังนั้นเหวยเลี่ยงจึงคาดหวังอย่างยิ่งว่าวันหนึ่งจะได้เห็นภาพที่ชุยฉานกล่าวถึงมาปรากฏขึ้นจริงตรงหน้าตัวเอง

“นำกฎหมายของแคว้นต้าหลีสลักลงบนป้ายศิลา ตั้งป้ายศิลาไว้บนยอดเขาสูงสุดเหนือกลุ่มขุนเขาของแจกันสมบัติทวีป!”

เหวยเลี่ยงเดินมาที่หน้าต่าง สายตาของเขาฉายประกายร้อนแรง ความฮึกเหิมพลุ่งพล่านซัดตลบอยู่ในใจ

เหนือกว่าทะเลเมฆกลิ้งหลุนๆ ที่ไหลรินอยู่ระหว่างภูเขาใหญ่สองลูกนั้นเสียอีก

ชายชาตรีควรเป็นเช่นนี้ ถึงจะไม่ผิดต่อการมีชีวิตในชาตินี้ ไม่ผิดต่อความรู้ที่มีอยู่เต็มตัว!

……

เฉินผิงอันเคยนั่งเรือข้ามฟากข้ามทวีปมาแล้วสามครั้ง รู้ดีว่าเดิมทีเรือข้ามฟาก ‘ชิงอี’ ลำนี้ก็ช้าอยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะอ้อมมากขนาดนี้ หลังจากจงใจจอดตามเส้นทางเดินเรือทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศเหนือของแคว้นชิงหลวนเพื่อส่งผู้โดยสารหลายกลุ่มแล้ว กว่าจะออกมาจากอาณาเขตของแคว้นชิงหลวนได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เดิมทีนึกว่าจะเร็วกว่าเดิมสักหน่อย แต่นี่กลับแล่นๆ หยุดๆ อยู่ในอาณาบริเวณของแคว้นใต้อาณัติแห่งหนึ่งทางทิศเหนือของแคว้นอวิ๋นเซียวอีก สุดท้ายยามเที่ยงของวันนี้ก็ถึงกับจอดลอยนิ่งอยู่ในพื้นที่ขุนเขากลางของแคว้นเล็กๆ แห่งนี้ บอกว่าพรุ่งนี้ยามสนธยาถึงจะออกเดินทางต่อ ผู้โดยสารสามารถไปชมทิวทัศน์ของภูเขากลางลูกนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มาเจอกับการเดิมพันหินที่หนึ่งปีจะมีสี่ครั้งพอดี มีโอกาสจะต้องลองเดิมพันเล็กๆ น้อยๆ ให้ได้ หากไปเจอกับโชคดีครั้งใหญ่เข้าก็ยิ่งเป็นเรื่องดี หินติดไฟของภูเขากลางในแคว้นเฉิงเทียนแห่งนี้ถูกขนานนามว่า ‘ภูเขาเมฆาเรืองน้อย’ หากลงเดิมพันได้ถูกต้อง จ่ายราคาต่ำด้วยเงินเกล็ดหิมะแค่ไม่กี่เหรียญก็สามารถเปิดมาเจอไขหินติดไฟชั้นสูงได้ ขอแค่มีขนาดใหญ่เท่ากำปั้น นั่นก็คือเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้าที่ทำให้คนเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน เมื่อสิบปีก่อนก็มีผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งใช้เงินเกล็ดหิมะที่มีเหลืออยู่แค่ยี่สิบหกเหรียญบนร่างมาซื้อหินติดไฟขนาดเท่าฐานหินที่ไม่มีใครสนใจก้อนหนึ่ง ผลกลับกลายเป็นว่าเปิดออกมาเจอไขหินติดไฟสีแดงสดประหนึ่งกองไฟที่มีมูลค่าเท่ากับเงินร้อนน้อยสามสิบเหรียญ

แน่นอนว่าหากผู้โดยสารไม่อยากลงจากเรือก็สามารถพักผ่อนบนเรือข้ามฟาก ‘ชิงอี’ ได้

เฉินผิงอันได้ยินคำอธิบายจากสาวใช้ของเรือข้ามฟากแล้วก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ หลังจากที่สาวใช้คนนั้นจากไป เฉินผิงอันก็เดินไปหยุดตรงหน้าต่าง มองขุนเขากลางของหนึ่งทวีปที่ห่างไปไม่ไกลลูกนั้นอย่างไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

เรียกว่าขุนเขากลาง แต่อย่าว่าจะเทียบกับภูเขาพีอวิ๋นของบ้านเกิดเลย แม้แต่ภูเขาลั่วพั่วที่เป็นของเขาเฉินผิงอันเพียงผู้เดียวลูกนั้นก็ยังยิ่งใหญ่กว่าภูเขาลูกนี้อยู่มาก

เฉินผิงอันจึงได้แต่พาคนทั้งสามลงจากเรือ รอให้เรือเล็กย้อนกลับมาพาพวกเขาไปเยือน ‘ภูเขาใหญ่’ ซึ่งเป็นขุนเขากลางของแคว้นเฉิงเทียนลูกนั้น

เฉินผิงอันใช้ก้นคิดก็ยังรู้ว่าองค์เทพของขุนเขากลางแห่งนี้คือคู่หูทำธุรกิจที่มีผลประโยชน์ร่วมกับเจ้าของเรือข้ามฟาก ‘ชิงอี’ ลำนี้

ในขณะที่พวกเฉินผิงอันรอให้เรือเล็กมารับคน พวกผู้โดยสารที่รอเรืออยู่เหมือนกันต่างก็พากันหลีกเลี่ยงออกห่างจากพวกเขาโดยไม่รู้ตัว แม้จะไม่ได้ชี้ไม้ชี้มือใส่ แต่หันไปซุบซิบกันเองกลับเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!