กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 403

สรุปบท บทที่ 403.2 อยู่ที่สำนักศึกษา: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอน บทที่ 403.2 อยู่ที่สำนักศึกษา จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 403.2 อยู่ที่สำนักศึกษา คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

เหมาเสี่ยวตงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ความสง่างามมักถูกสายลมและสายฝนพัดพาไปเสมอ

หลีจิ้งชุนออกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาสร้างสำนักศึกษาซานหยาที่แจกันสมบัติทวีป คนนอกบอกว่าฉีจิ้งชุนคิดจะงัดข้อและสยบกำราบชุยฉานอดีตศิษย์พี่ใหญ่ที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพบุรุษ แต่เหมาเสี่ยวตงรู้ดีว่าไม่ใช่แบบนั้น

จั่วโย่วก็ยิ่งตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด หนีห่างจากโลกมนุษย์ไปไกล ออกทะเลไปเยี่ยมเยียนเซียนเพียงลำพัง

เจ้าคนโง่เง่าดื้อรั้นที่เคยมีคำเล่าลือบอกว่าเป็นคนเดียวที่สามารถวิ่งไล่ให้อาเหลียงเตลิดไปทั่วถนนได้ก็ยิ่งเงียบหายไร้ข่าวคราวไปร้อยกว่าปีแล้ว

เหมาเสี่ยวตงหยุดความคิดที่วุ่นวายทั้งหลายลง สุดท้ายเส้นสายตาไปหยุดอยู่บนร่างของคนหนุ่มตรงหน้า

ตอนนี้อาจารย์รับเขาไว้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายที่สืบทอดสายบุ๋น

ในระยะเวลาเกือบสามปีหลังจากที่เฉินผิงอันเดินทางผ่านสำนักศึกษาแต่ไม่ยอมเข้ามา เหมาเสี่ยวตงทั้งสงสัยใคร่รู้ แล้วก็ทั้งเป็นกังวล สงสัยว่าอาจารย์จะรับเมล็ดพันธ์บัณฑิตแบบใดมา แล้วก็กังวลว่าคนหนุ่มที่มีชาติกำเนิดมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูและถูกฉีจิ้งชุนฝากความหวังไว้มากผู้นี้จะทำให้คนผิดหวัง

เพียงแต่เมื่อเหมาเสี่ยวตงใช้วิชาอภินิหารของอริยะลัทธิขงจื๊อนั่งบัญชาการณ์สำนักศึกษามองทุกคำพูดและทุกการกระทำของเฉินผิงอันอยู่ไกลๆ

เขาก็ทั้งไร้ซึ่งความตื่นตะลึง แล้วก็ไม่มีความผิดหวังเลยแม้แต่น้อย

เพียงแค่รู้สึกว่าลูกหลานคนยากจนที่มีชื่อว่าเฉินผิงอันผู้นี้ต่างหากถึงจะเป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์จะรับตัวไว้ ถึงจะเป็นศิษย์น้องเล็กที่ฉีจิ้งชุนเต็มใจรับไว้แทนอาจารย์ แบบนี้จึงจะถูกต้อง

หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ซักถามอย่างละเอียดว่าการฝึกตนและการเรียนของหลินโส่วอีจะมีส่วนที่ขัดแย้งกันเองหรือไม่

ถามว่าเมื่อเกาเซวียนเป็นสหายกับอวี๋ลู่แล้ว มิตรภาพนั้นจะไม่บริสุทธิ์พอหรือไม่

หลังจากเซี่ยเซี่ยกลายเป็นสาวใช้ของชุยตงซาน สภาพจิตใจจะเกิดปัญหาหรือเปล่า

เหมาเสี่ยวตงไล่ตอบไปทีละคำถาม บางครั้งก็พลิกเปิดเอกสารผ่านด่านฉบับนั้น

พอรู้ทุกอย่างคร่าวๆ แล้ว เฉินผิงอันถึงรู้สึกโล่งอกได้อย่างแท้จริง

สุดท้ายเหมาเสี่ยวตงยิ้มถามว่า “เรื่องของตัวเอง เรื่องของคนอื่น เจ้าล้วนคิดมากขนาดนี้ ไม่เหนื่อยหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าตอบอย่างจริงใจ “ไม่เหนื่อยเลยสักนิด”

เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ เอ่ยเบาๆ ว่า “อันที่จริงการศึกษาหาความรู้และการเรียนวรยุทธ์ฝึกวิชากระบี่ก็คือหลักการเดียวกัน ล้วนจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ เมื่อวิญญูชนพบเจอกับยุคที่การปกครองชัดเจนโปร่งใส สามารถแสดงปณิธานอันแรงกล้าของตน พยายามทำอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้มาซึ่งอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ เมื่อพบเจอกับยุคที่การปกครองดำมืด ใต้หล้าวุ่นวาย ก็ให้ทำเหมือนเจียวหลงที่ยืดได้หดได้ ซ่อนตัวอยู่ในมุมที่ไม่มีใครรู้ เป็นเหตุให้พอเกิดความคิดอันแปลกใหม่ ความคิดอันมหัศจรรย์จึงเหมือนมีสีสันอันงดงามพร่างพราวหล่นลงมาจากนอกฟ้า คนบนโลกไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จัก”

เฉินผิงอันรู้สึกว่าประโยคนี้ออกจะยิ่งใหญ่เกินไป เขาจึงรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย

เหมาเสี่ยวตงพลันกดเสียงลงต่ำถามว่า “อาจารย์เคยพูดถึงข้าไหม?”

เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแล้วก็หยุดไป แต่สุดท้ายก็ยอมตอบไปตามตรงว่า “ดูเหมือนจะ…ไม่เคยพูดถึง”

เหมาเสี่ยวตงตบเข่าฉาด พูดอย่างขุ่นเคือง “ใต้หล้านี้มีอาจารย์ที่ลำเอียงขนาดนี้ได้อย่างไร?!”

เหมาเสี่ยวตงยังคงไม่ยอมแพ้ ถามอีกว่า “เจ้าลองคิดดูให้ดีอีกครั้งสิ มีตรงไหนที่พลาดไปหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว

เหมาเสี่ยวตงลูบหนวดยิ้ม พูดอย่างมาดมั่นว่า “คิดดูแล้วต้องเป็นเพราะในใจอาจารย์มีลูกศิษย์ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเอามาพูดถึงบ่อยๆ”

เฉินผิงอันมั่นใจแล้ว

เจ้าขุนเขาเหมาตรงหน้าผู้นี้ต้องเป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งสอนมาเองกับมืออย่างแน่นอน

……

คงเป็นเพราะรู้สึกว่าหลี่เป่าผิงค่อนข้างพูดง่าย เผยเฉียนจึงเดินเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ฝีเท้าก็ยิ่งแผ่วเบาขึ้นทุกที

เพียงแต่พอมาถึงหอพักของหลี่เป่าผิง มองเห็นตำราที่ถูกคัดปึกแล้วปึกเล่าบนเตียงเหล่านั้น เผยเฉียนก็เกือบจะลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวให้หลี่เป่าผิงแล้ว

มิน่าเล่าเมื่อครู่นี้เผยเฉียนปลุกความกล้าโอ้อวดตัวเองไปเล็กน้อย บอกว่าตนคัดตัวอักษรทุกวัน หลี่เป่าผิงก็แค่ร้องอ้อรับทีเดียว แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ตอนแรกเผยเฉียนรู้สึกว่าในที่สุดตนก็พอจะทวงคืนความเสียเปรียบกลับมาได้เล็กน้อย แล้วก็ยังอดลำพองใจนิดๆ ไม่ได้ เอวก็ยืดขึ้นตรงได้อีกนิด

หลี่เป่าผิงรินชาให้เผยเฉียนถ้วยหนึ่ง บอกให้เผยเฉียนหาที่นั่งได้ตามสบาย

ส่วนนางปีนขึ้นไปบนเตียง ยกหีบไม้ไผ่ใบเล็กที่วางพิงไว้กับหัวเตียงมาไว้บนโต๊ะ หยิบเอาดาบแคบ ‘ยันต์มงคล’ และน้ำเต้าสีเงินลูกเล็กที่อาเหลียงมอบให้นางออกมา

หลี่เป่าผิงกล่าว “ยกให้เจ้า”

เผยเฉียนมองดาบแคบและน้ำเต้าลูกเล็ก ตอนนี้นางพอจะดูของออกบ้างแล้ว จึงเงยหน้ามองเผยเฉียน ถามประโยคที่ไม่มีความจำเป็น “แพงมากๆๆ เลยใช่ไหม?”

หลี่เป่าผิงไม่ได้จงใจจะปิดบัง ตอบไปตามที่ตัวเองรู้อย่างหมดเปลือก “อาเหลียงเคยพูดกับข้าเป็นการส่วนตัวว่า ยันต์มงคลเล่มนี้ ระดับขั้นธรรมดา เป็นอาวุธกึ่งเซียนอะไรสักอย่างนี่แหละ แต่น้ำเต้าเล็กที่หลอกเอามาจากเว่ยจิ้นเซียนกระบี่จากศาลลมหิมะต่างหากที่ถือว่าดี เป็นหนึ่งในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เจ็ดลูกที่ออกลูกบนเถาน้ำเต้าเส้นที่มรรคาจารย์เต๋าปลูกเองกับมือระหว่างที่สร้างกระท่อมฝึกตนในปีนั้น หากผู้ฝึกกระบี่บนโลกใช้เจ้าสิ่งนี้มาบำรุงให้ความอบอุ่นแก่กระบี่บินจะค่อนข้างร้ายกาจ เผยเฉียนเจ้าเริ่มเรียนกระบี่แล้วไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เอามันไปใช้เถอะ”

เผยเฉียนลิ้นพันกันไปหมด พูดอย่างมึนงงว่า “แต่ข้าเพิ่งจะเริ่มฝึกกระบี่ ฝึกได้งูๆ ปลาๆ เท่านั้น ยิ่งไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอะไรนั่น ข้าค่อนข้างโง่ ชีวิตนี้อาจจะฟูมฟักมันออกมาไม่ได้…”

หลี่เป่าผิงถามตรงประเด็น “ยันต์มงคลกับน้ำเต้าลูกเล็กนี่ เจ้าชอบหรือไม่?”

เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างขลาดๆ

หลี่เป่าผิงเกาหัว ทอดถอนใจอยู่ในใจหนึ่งที

เหตุใดอาจารย์อาน้อยถึงได้หาลูกศิษย์ที่ทึ่มทื่ออย่างนี้มาได้นะ

เผยเฉียนยิ่งกระวนกระวายใจ หางตาเหลือบไปเห็นภูเขาหนังสือบนเตียง แล้วก็หันมามองดาบแคบและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีเงินบนโต๊ะอีกครั้ง

เผยเฉียนพลันเกิดความคิดดีๆ จึงพูดเสียงเบาว่า “พี่หญิงเป่าผิง ของขวัญที่ล้ำค่าขนาดนี้ ข้าไม่กล้ารับเอาไว้ อาจารย์ต้องด่าข้าแน่”

หลี่เป่าผิงกะพริบตาปริบๆ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็บอกกับอาจารย์ว่าข้าให้เจ้ายืมสิ หนึ่งปีสิบปีก็คือยืม ร้อยปีพันปีก็คือยืมเหมือนกัน ถึงอย่างไรข้าก็ไม่คิดจะทวงคืน ส่วนเจ้าก็แค่พาพวกมันไปท่องยุทธภพให้สบายใจ แค่นี้ก็จบเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ?”

เผยเฉียนไหล่ลู่คอตก “จริงด้วย”

หลี่เป่าผิงเปลี่ยนที่นั่ง มานั่งบนม้านั่งตัวยาวข้างกายเผยเฉียน พูดปลอบใจว่า “อย่าคิดว่าตัวเองโง่ เจ้าอายุยังน้อยนี่นา อาจารย์อาน้อยเล่าให้ฟังว่าเจ้าเด็กกว่าข้าตั้งขวบหนึ่ง”

เผยเฉียนฟังแล้วก็รู้สึกเหมือนว่าจะมีเหตุผลอย่างมาก จึงรีบเงยหน้าขึ้นคลี่ยิ้ม สองมือวางพาดไปบนโต๊ะ ถามอย่างระมัดระวัง “พี่หญิงเป่าผิง ขอข้าลูบคลำพวกมันได้ไหม?”

หลี่เป่าผิงลุกพรวดขึ้นยืน ทำเอาเผยเฉียนตกใจสะดุ้งโหยง หลี่เป่าผิงใช้สายตาบอกเป็นนัยแก่เผยเฉียนว่าไม่ต้องตื่นเต้น หลังจากนั้นก็บอกให้เผยเฉียนดูให้ดี

ผลคือเผยเฉียนเห็นว่าหลี่เป่าผิงชักดาบออกจากฝัก สองมือถือดาบ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เงื้อดาบฟันฉับไปยังน้ำเต้าลูกนั้น

เผยเฉียนที่มองอยู่ถึงกับตาค้าง

ดาบนี้ของหลี่เป่าผิงค่อนข้างจะเผด็จการ ผลคือน้ำเต้าเล็กมีแสงเปล่งวาบแล้วพุ่งเข้าใส่เผยเฉียนพอดี เผยเฉียนจึงยกมือปัดตบมันตามจิตใต้สำนึก

น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีเงินส่งเสียงดังเพี๊ยะ ไปกระแทกบนหน้าหลี่เป่าผิงแทน

เสียงตุ้บดังหนึ่งครั้ง

น้ำเต้าร่วงหล่นลงพื้น

หลี่เป่าผิงที่ยืนตะลึงเริ่มเลือดกำเดาไหล

เผยเฉียนรู้สึกว่าตนต้องตายแน่ๆ

ที่แท้เจ้าหมอนี่ก็คือเฉินผิงอันที่หลี่ไหวพร่ำพูดถึงจนพวกเขาหูแทบแฉะ

หม่าเหลียนรีบคารวะเฉินผิงอัน

หลี่ไหวหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสาน แต่แล้วจู่ๆ ก็หยุดเสียงหัวเราะ “ไปพบหลี่เป่าผิงหรือยัง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มาถึงสำนักศึกษาก็ไปพบเป่าผิงน้อยก่อนแล้ว”

หลี่ไหวพยักหน้ารับอย่างแรง “อีกเดี๋ยวพวกเราไปหาหลี่เป่าผิงด้วยกัน นางต้องขอบคุณข้า เป็นข้าที่เชิญเจ้ามาสำนักศึกษา ตอนนั้นนางอยู่บนยอดเขายังคิดจะซ้อมข้า ฮ่าๆ เป็นแค่แม่นางน้อยตัวเล็กๆ จะวิ่งไวเท่าข้าได้หรือ? น่าขันจริงๆ ทุกวันนี้ข้าหลี่ไหวฝึกวิชาเทพประสบความสำเร็จ ก้าวเดินว่องไวราวกับบิน ทะยานบนชายคาเดินบนกำแพง…”

เฉินผิงอันกระแอมหนึ่งที

หลี่ไหวพลันสังเกตเห็นสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นของหลิวกวาน และท่าทางอึกๆ อักๆ ของหม่าเหลียน เขาจึงหันหน้ากลับไปช้าๆ มองเห็นว่าด้านหลังตัวเองคือหลี่เป่าผิงและเด็กหญิงข้างกายนางที่ตัวดำราวกับถ่าน แค่มองนางหลี่ไหวก็รู้สึกถูกชะตาทันที เพราะเหมือนเฉินผิงอันตอนที่เพิ่งได้รู้จักกันอย่างมาก

หลี่เป่าผิงยกสองแขนกอดอก หัวเราะเสียงเย็น “หลี่ไหว ข้าต่อให้เจ้าวิ่งไปก่อนร้อยก้าว จะไปหลบบนต้นไม้ บนหลังคาหรือในห้องส้วมก็ตามใจเจ้า”

หลี่ไหวกล่าวอย่างขลาดๆ “หลี่เป่าผิง เห็นแก่ที่เฉินผิงอันมาเยือนสำนักศึกษาจริงๆ พวกเราก็ถือซะว่าเจ๊ากันดีไหม?”

หลี่เป่าผิงยิ้มตอบ “เจ๊ากัน?”

หลี่ไหวคิดแล้วก็ตอบว่า “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าข้าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้?”

หลี่เป่าผิงเห็นแก่อาจารย์อาน้อย ครั้งนี้จึงไม่ถือสาหลี่ไหวอีก

เผยเฉียนตาเป็นประกาย หลี่ไหวผู้นี้คือคนบนเส้นทางเดียวกัน!

คนทั้งกลุ่มจึงพากันไปยังหอพักชั่วคราวของเฉินผิงอัน

อันที่จริงหม่าเหลียนอยากจะตามหลี่ไหวไปด้วย แต่กลับถูกหลิวกวานลากให้ไปกินข้าวด้วยกัน

จูเหลี่ยนยังคงออกไปเที่ยวไม่กลับมา

สือโหรวอยู่ในห้องพักของตัวเองไม่ออกมาพบหน้าใคร

เมื่อมาอยู่ในสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ

ไม่ว่าเจ้าจะเป็นวัตถุหยินเซียนดินสมชื่อแค่ไหน แต่ใครเล่าจะกล้าทำตัวโอ้อวดในสถานที่แบบนี้?

สือโหรวรู้สึกว่าทุกครั้งที่หายใจล้วนเป็นการดูหมิ่นสำนักศึกษา จึงรู้สึกละอายใจและกริ่งเกรงอย่างยิ่งยวด

นี่ก็คือใต้หล้าไพศาล

เฉินผิงอัน หลี่เป่าผิง เผยเฉียน หลี่ไหว

พวกเขาสี่คนนั่งล้อมโต๊ะหนึ่งได้พอดี กำลังกินอาหารที่ทางสำนักศึกษาจัดเตรียมไว้ให้กับแขกที่มาเข้าพักร่วมกัน

หลี่ไหวที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเฉินผิงอันเสียงดังที่สุด ถึงอย่างไรขอแค่มีเฉินผิงอันอยู่ข้างกาย แม้แต่หลี่เป่าผิงเขาก็ไม่ต้องกลัว

หลี่ไหวถาม “เฉินผิงอัน กินข้าวเสร็จแล้วให้ข้าพาเจ้าไปหาหลินโส่วอีไหม? ทุกวันนี้เจ้าหมอนั่นพบหน้าได้ยากมากเลยล่ะ มีชีวิตสุขสำราญยิ่งนัก มักจะออกไปเที่ยวเล่นนอกสำนักศึกษาบ่อยๆ ข้าอิจฉาจะตายอยู่แล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนนี้เป็นช่วงยามซวี (หนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม) พอดี คือช่วงเวลาที่ผู้ฝึกลมปราณค่อนข้างให้ความสำคัญ ทางที่ดีที่สุดไม่ควรไปรบกวนเขา รอให้ผ่านยามซวีไปก่อนค่อยไปหา ไม่ต้องให้เจ้านำทาง ข้าจะไปหาหลินโส่วอีเอง”

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!