กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 403

การฝึกตนบนมหามรรคาต้องจู้จี้จุกจิกในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ

กฎบางอย่างของการฝึกตน ไม่ว่าจะเอาไปวางไว้ที่ไหนในสี่สมุทรก็ล้วนถูกต้องแม่นยำ

ยกตัวอย่างเช่นหนึ่งวันเน้นย้ำในสี่ช่วงเวลา ไม่อาจเพิกเฉยเกียจคร้าน ยามจื่อฟ้าดินสว่างแจ่มใส เหมาะกับการมองพลังชีวิตจากภายใน ใช้สะพานแห่งความเป็นอมตะสื่อสารกับฟ้าดินขนาดเล็กในร่างและฟ้าดินขนาดใหญ่นอกร่าง ยามอิ๋นเหมาะแก่การหล่อเลี้ยงลมปราณ โคจรลมปราณมาบำรุงช่องโพรงและเส้นชีพจร ยามอู่ใช้ไฟหยางมาหล่อหลอมลมปราณให้กลายเป็นของเหลว ยามซวีหล่อหลอมของเหลวให้เป็นพลังจิต ค่อยๆ สั่งสมอยู่ใน ‘จวน’ สำคัญที่ซุกซ่อนอยู่ตามช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตไปทีละนิด สั่งสมจนแตกหน่อเกิดเป็นรากฐานของมหามรรคา

นอกจากสี่ช่วงเวลาของหนึ่งวันแล้ว แต่ละเดือนแต่ละปีก็มีจุดที่ต้องพิถีพิถันแตกต่างกันไป

รากฐานมหามรรคาล้วนเป็นการใช้ความสามารถในภายหลังมาขัดเกลาซ่อมแซมความสามารถก่อนกำเนิด ใช้วิธีการหลังกำเนิดที่คล้ายคลึงกับการใช้น้ำเช็ดกระจก ทำให้ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นทีละนิด สุดท้ายจึงกลายเป็นแก้วใสไร้มลทินอย่างในตำนาน

กุญแจสำคัญที่สุดก็คือการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหลาย ขอแค่ก้าวข้ามธรณีประตูของการฝึกตนไปได้ เริ่มเดินขึ้นเขา เพียงเกียจคร้านหนึ่งวันก็จะรับรู้ได้ถึงสิ่งที่ตนเองพลาดไปในหนึ่งวัน ดังนั้นผู้ที่ฝึกตนจึงมิอาจเกียจคร้านได้เลย

หากเข้าใจความลี้ลับที่ซุกซ่อนอยู่นี้ กฎเกณ์หลายอย่างที่เกิดการวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงเพราะสาเหตุนี้ ซึ่งเดิมทีมองดูเหมือนมีไอเมฆไอหมอกล้อมเวียนวนก็จะพลันเปิดกว้างกระจ่างแจ้ง ยกตัวอย่างเช่นกษัตริย์ในราชวงศ์โลกมนุษย์ที่ไม่สามารถฝึกตนได้ถึงห้าขอบเขตกลาง หรือยกตัวอย่างเช่นเหตุใดผู้ฝึกตนถึงได้ค่อยๆ หนีห่างไปจากโลกมนุษย์ ไม่ยินดีถูกห่อหุ้มไว้ด้วยฝุ่นผงแห่งโลกีย์ แต่ต้องไปฝึกตนอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น ลงจากเขามาฝึกตนหาประสบการณ์ ย้อนกลับเข้ามาในโลกมนุษย์ก็แค่เพื่อขัดเกลาสภาพจิตใจของตัวเอง แล้วเหตุใดหลังจากผู้ฝึกตนเลื่อนสู่ขอบเขตบินทะยานแล้วกลับไม่ยินดีออกจากภูเขา บุกเข้าไปกลืนกินปราณวิญญาณและโชคชะตาของสถานที่แห่งอื่นโดยพลการ

ชุยตงซานเคยยิ้มพูดว่า มีผู้ฝึกลมปราณที่แสวงหาความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย ยิ่งตบะสูงส่งมากเท่าไหร่ คนที่ไม่เต็มใจจะใช้เหตุผลกฎเกณฑ์ก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น และเรื่องที่ไม่พิถีพิถันก็จะยิ่งมากตามไปด้วย โลกมนุษย์ที่อยู่ด้านล่างภูเขาจะเริ่มสั่นคลอน ก็เหมือนกับม้านั่งที่เบ้าและเดือยเริ่มคลายตัว

ในฐานะที่เหล่าอริยะของลัทธิขงจื๊อเป็นผู้นำแห่งใต้หล้าไพศาล การซ่อมแซมชดเชยจึงค่อนข้างจะยากลำบาก

หากพูดแค่เรื่อง ‘การสั่งสอนอบรมทางบ้าน’ เหล่านักพรตเต๋าจมูกวัวในใต้หล้ามืดสลัวนับว่าเปลืองแรงกายแรงใจน้อยที่สุด ขอแค่ผู้ฝึกตนใหญ่ใจกล้ามากไป ไม่ถูกใจเมื่อไหร่ สิบสองชั้นห้านครของป๋ายอวี้จิงแห่งนั้นก็จะมีเซียนที่ได้รับคำสั่งจาก ‘เจ้าหอ’ บางท่านของสามลัทธิบินทะยานออกไป ตบคนผู้นั้นให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว แต่ก็มีผู้ฝึกตนใหญ่บางส่วนที่หนีพ้นหายนะมาได้ไปตีกลองร้องทุกข์อยู่บนหอฟ้าแห่งใดแห่งหนึ่งของใต้หล้าแห่งนั้น ในประวัติศาสตร์มีเพียงเจ้าลัทธิใหญ่สวมกวานเต๋าดอกพุดตานซึ่งเป็นลูกศิษย์ใหญ่ของมรรคาจารย์เต๋าเท่านั้นที่มักจะฟังคำร้องทุกข์ของผู้คนเป็นประจำและช่วยพวกเขาให้หลุดพ้น อย่างน้อยก็สามารถลดโทษให้เบาลง หรือบางครั้งก็ถึงขั้นละเว้นโทษไปโดยตรง กลับกลายเป็นว่าบันทึกกล่าวโทษและลงโทษเซียนของป๋ายอวี้จิงอย่างหนักแทน

หากลู่เฉินลูกศิษย์คนเล็กของมรรคาจารย์เต๋าเป็นผู้ตัดสินใจก็ต้องดูที่อารมณ์ของเจ้าลัทธิคนนี้แล้ว หากอารมณ์ดี ทุกเรื่องก็พูดง่าย ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นโชควาสนาครั้งหนึ่ง หากอารมณ์ไม่ดีก็มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกเพิ่มโทษทัณฑ์เป็นเท่าตัว

หากมาถึงคราวที่เต๋าเหล่าเอ้อร์เฝ้าบัญชาการณ์ป๋ายอวี้จิง

ก็ไม่มีทางมีคนมาตีกลองร้องทุกข์แล้ว

เพราะว่าต้องถูกเต๋าเหล่าเอ้อร์ลงมือสังหารโดยตรง จิตวิญญาณที่เหลืออยู่ มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะโดนกระชากเข้าไปไว้ในฝ่ามือของเขา และที่นั่นก็คือ ‘แดนชำระบ่อสายฟ้า’ ที่บริสุทธิ์ที่สุดในฟ้าดิน

ฟ้าดินกว้างใหญ่

คนธรรมดาใช้เวลาหมดไปทั้งชีวิต ต่อให้จะชื่นชอบการท่องเที่ยวมากแค่ไหนก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถท่องเที่ยวไปตามพื้นที่ของหนึ่งแคว้นได้ทั่ว และต่อให้กลายเป็นผู้ฝึกตนไปแล้วก็ยังไม่กล้าพูดว่าจะท่องไปได้ทั่วพื้นที่ของทวีปแห่งหนึ่ง หรือหากโชคดีได้เลื่อนขั้นเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตบนที่อยู่บนยอดเขาก็ยังไม่กล้าพูดว่าตัวเองสามารถเดินท่องไปทั่วทุกใต้หล้าได้เช่นกัน

ตอนที่หลี่เป่าผิงกินข้าว นางไม่ค่อยชอบพูดคุย

เผยเฉียนนั้นไม่กล้าพูด

ดังนั้นจึงมีเสียงของหลี่ไหวดังจ้อไม่หยุดอยู่คนเดียว หลี่เป่าผิงถลึงตามองหลี่ไหวอยู่หลายครั้ง เรื่องราวในสำนักศึกษาหลายเรื่องล้วนถูกหลี่ไหวเล่าไปหมดแล้ว นางยังจะมีอะไรเล่าให้อาจารย์อาน้อยฟังอีก

หลี่ไหวโคลงศีรษะ ยังคงท้าทายหลี่เป่าผิงอย่างไม่รู้จักกลัวตาย นี่เรียกว่าไหแตกแล้วก็ทุบให้แหลกเสียเลย ถึงอย่างไรในอนาคตก็ต้องถูกหลี่เป่าผิงคิดบัญชีย้อนหลังอยู่แล้ว

เฉินผิงอันพูดไม่มาก ยังคงเคี้ยวข้าวช้าๆ อย่างละเอียดเหมือนในอดีต ส่วนใหญ่คือคอยคีบอาหารให้เด็กทั้งสามมากกว่า

หลี่ไหวพลันถามขึ้นว่า “เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าถึงเปลี่ยนการแต่งกายแล้วล่ะ รองเท้าแตะก็ไม่สวมแล้ว ระวังว่าเปลี่ยนจากฟุ่มเฟือยมาเป็นประหยัดนั้นยาก…”

ไม่รอให้หลี่ไหวพูดจบ เขาก็งอตัวร้องโอดโอยเสียก่อน

หลี่เป่าผิงกับเผยเฉียนพร้อมใจกันกระทืบเท้าหลี่ไหวคนละทีอยู่ใต้โต๊ะ

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อันที่จริงก็เคยคิดมาก่อนว่าตอนที่เข้ามาในสำนักศึกษาจะเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าและรองเท้าฟางเหมือนเมื่อก่อน แต่กลัวว่าพวกเจ้าจะอับอาย ตอนนี้ที่แต่งตัวแบบนี้ก็เพราะเดินทางอยู่ในยุทธภพต้องระมัดระวังให้มาก บวกกับที่เมื่อแต่งกายแบบนี้สามารถช่วยในการฝึกตน ดังนั้นข้าจึงสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่บนร่างตัวนี้มานานจนชินแล้ว แต่หากให้สวมชุดที่เมื่อก่อนเคยสวมก็ไม่รู้สึกว่าไม่สบายตรงไหน”

หลี่ไหวแสยะยิ้ม “ตอนนั้นที่อยู่นอกห้องเรียน ข้าเกือบจะจำเจ้าไม่ได้แล้ว เฉินผิงอันเจ้าตัวสูงขึ้นเยอะมาก แล้วก็ไม่ได้ดำทะมึนเหมือนเมื่อก่อน ข้าเห็นแล้วไม่ชินตาเลย”

เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “แต่เจ้าหลี่ไหวกลับไม่เปลี่ยนไปเลย แค่อ่านหนังสือก็ง่วงแล้ว?”

หลี่ไหวทอดถอนใจ “เฉินผิงอัน เจ้าไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ข้าเรียนหนังสือเหนื่อยยากแค่ไหน เหนื่อยยิ่งกว่าตอนที่พวกเราเดินทางกันเสียอีก โดยเฉพาะตอนที่พวกอาจารย์สอนหนังสือแล้วต้องอั้นฉี่ อั้นจนเกือบจะทำให้คนตายได้เลยล่ะ”

หลี่เป่าผิงใช้นิ้วมือเคาะลงบนโต๊ะ บอกเป็นนัยให้หลี่ไหวระวังคำพูด

หลี่ไหวกล่าวอย่างหงุดหงิด “น่ารำคาญ มีกฎเกณฑ์มากยิ่งกว่าพวกอาจารย์เสียอีก”

ทุกคนกินอิ่มกันพอสมควรแล้ว และบนโต๊ะก็แทบไม่เหลืออาหารอะไรอีก

เฉินผิงอันกล่าวว่า “อีกเดี๋ยวข้ายังต้องไปหาเจ้าขุนเขาเหมาอีกรอบ มีธุระสำคัญต้องคุยกัน หลังจากนั้นจะไปหาหลินโส่วอีกับอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ย พวกเจ้าไปเดินเล่นกันเองเถอะ จำไว้ว่าอย่าให้ละเมิดกฎห้ามออกจากที่พักยามราตรีของสำนักศึกษา”

หลี่ไหวถาม “เฉินผิงอัน เจ้าจะอยู่ที่สำนักศึกษากี่ปี?”

หลี่เป่าผิงหลุดหัวเราะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เผยเฉียนหน้าเจื่อน ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ

เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉุนๆ “ไม่อยู่นานนักหรอก แต่ก็ไม่ใช่ว่าอยู่แค่ไม่กี่วันแล้วก็ไป”

หลี่ไหวร้องอ้อหนึ่งที ในขณะที่หลี่เป่าผิงและเผยเฉียนช่วยกันเก็บถ้วยเก็บตะเกียบก็ถามขึ้นว่า “เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าไม่อยู่ต่อเพื่อเรียนหนังสือในสำนักศึกษาล่ะ วันหน้าพวกเรากลับไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนด้วยกันก็ดีจะตายไป ทำไม ท่องเที่ยวอยู่ข้างนอกนานแล้ว จิตใจก็ทะเยอทะยานแล้วใช่ไหม ต่อให้เจ้าไม่เห็นแก่หลี่เป่าผิง แต่ในสำนักศึกษาก็ยังมีข้าหลี่ไหวอยู่นี่นา พวกเราเป็นพี่น้องเป็นสหายรักที่เคยร่วมทุกข์ร่วมความยากลำบากด้วยกันมา ไม่แน่ว่าวันหน้าข้าอาจจะยังได้เรียกเจ้าว่าพี่เขย เจ้าจะใจดำทิ้งน้องภรรยาตัวน้อยอย่างข้าไว้ในสำนักศึกษาได้ลงคอหรือ? เจ้าเองก็รู้ดีว่าปีนั้นอาเหลียงอยากจะเป็นพี่เขยของข้า ข้ายังไม่ยอมรับปากเลย!”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “คำพูดแบบนี้ เจ้าอย่าเอาไปพูดต่อหน้าหลินโส่วอีกับต่งสุ่ยจิงเชียว”

หลี่ไหวถอนหายใจหนักๆ “เจ้าสองคนนี้ คนหนึ่งคือน้ำเต้าตันที่ไม่รู้จักพูดอะไรอย่างตรงไปตรงมา อีกคนหนึ่งก็ทึ่มทื่อเป็นตอไม้ ข้าว่าไม่มีหวังหรอก พี่สาวข้าไม่น่าจะชอบพวกเขาได้ ส่วนท่านแม่ข้าชอบหลินโส่วอีมากกว่าเล็กน้อย ท่านพ่อข้าชอบต่งสุ่ยจิ่งมากกว่า แต่ครอบครัวข้าเป็นอย่างไร คำพูดของข้าหลี่ไหวได้ผลดีที่สุด แม้แต่พี่สาวข้าก็ยังต้องเชื่อฟังข้า เฉินผิงอัน พวกเรามาปรึกษากันหน่อย ขอแค่เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าในสำนักศึกษาหนึ่งปี ก็ได้ ครึ่งปีก็ได้ เจ้าก็จะเป็นพี่เขยข้า! สินสอดทองหมั้นกะผายลมอะไรนั่นก็ไม่เอา!”

เฉินผิงอันด่ายิ้มๆ “ไสหัวไปเลย!”

หลี่ไหวตบโต๊ะ “เฉินผิงอัน พูดกับน้องภรรยาให้ดีหน่อย! วันหน้าอย่าหาว่าข้าไม่เตือนล่ะ!”

หลี่เป่าผิงตบผัวะหนึ่งที หลี่ไหวทำคอย่น ท่าทางดุดันหายวับไปทันใด

หลี่ไหวฉวยโอกาสตอนที่หลี่เป่าผิงกับเผยเฉียนยกจานชามไปไว้ที่ห้องครัวนอกหอพักขยับมานั่งข้างกายเฉินผิงอัน นอนฟุบตัวบนโต๊ะ พูดเสียงค่อยว่า “เฉินผิงอัน ตอนนี้พี่สาวข้าหน้าตางดงามนักล่ะ ไม่โกหกเจ้าจริงๆ นะ”

เฉินผิงอันลูบศีรษะของเจ้าตัวน้อย “ไม่ต้องให้เจ้าเชื่อมสะพานเป็นพ่อสื่อให้จริงๆ ข้ามีแม่นางที่ชอบอยู่แล้ว”

หลี่ไหวสีหน้าหม่นหมอง

เฉินผิงอันพูดเบาๆ “ไม่เป็นพี่เขยของเจ้า ใช่ว่าจะไม่เป็นเพื่อนเจ้าด้วยสักหน่อย”

หลี่ไหวกล่าวอย่างมีแรงแต่ไร้กำลัง “แต่ข้ากลัวนี่นา คราวนี้จากไปทีก็นานถึงสามปี คราวหน้าล่ะ จากไปแล้วจะไม่ผ่านไปอีกสามปีห้าปีเลยหรือ? มีเพื่อนที่ไหนเป็นแบบเจ้าบ้าง ตอนที่ข้าถูกคนในสำนักศึกษารังแก เจ้าก็ไม่อยู่ด้วย”

เฉินผิงอันพูดไม่ออก

หากอิงตามแผนการที่เขาวางไว้ในใจ คราวนี้ไม่ใช่แค่สามปีห้าปีแล้วจะได้พบกันใหม่จริงๆ

เขาเตรียมจะไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนและทะเลสาบเจี่ยนหู พอผ่านแคว้นไฉ่อีแคว้นซูสุ่ยแล้วก็จะขึ้นเหนือต่อ เหนือยิ่งกว่าราชวงศ์ต้าหลีที่อยู่ทางเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีปซะอีก

หลี่ไหวสูดจมูก เงยหน้าขึ้นยิ้ม “ช่างเถอะ พวกเราต่างก็เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว มัวร่ำรี้ร่ำไรแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง เรื่องของพรุ่งนี้ก็ค่อยว่ากันพรุ่งนี้!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!