จูเหลี่ยนถามหยั่งเชิง “ชักกระบี่มองรอบกายใจเลื่อนลอย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีความหมายนี้อยู่เล็กน้อย ขอแค่ข้ามองเห็นว่า…มีคนยืนอยู่ห่างไปไกล หรือยืนอยู่ในจุดสูง ต่อให้จะสูงหรือไกลแค่ไหน ข้าก็ไม่กลัว”
เฉินผิงอันใช้ปลายนิ้วเขียนตัวอักษรลงบนโต๊ะเบาๆ พูดเนิบช้าว่า “อริยะกล่าวว่า ทำตามใจปรารถนา ไม่ก้าวล้ำกฎเกณฑ์ นี่ก็คือการให้ยาที่ถูกกับโรค”
จูเหลี่ยนถือถ้วยเหล้าค้างไว้ รู้สึกว่าจะดื่มก็ไม่ใช่ ไม่ดื่มก็ไม่ควร
เฉินผิงอันหัวเราะเสียงดัง “ดื่มเหล้ายังต้องการเหตุผลอีกหรือ? มา!”
คนทั้งสองดื่มเหล้าในถ้วยจนหมด
เฉินผิงอันคิดว่าในเมื่อการฝึกประสบการณ์ การผ่านศึกใหญ่ตัดสินเป็นตายของผู้ฝึกยุทธ์สามารถบำรุงตบะได้ดีที่สุด ถ้าเช่นนั้นการที่ตนเป็นผู้ฝึกลมปราณแล้วใช้สิ่งนี้มาขัดเกลาจิตใจของตัวเอง หาความสุขในความทุกข์ มองมันเป็นแท่นสังหารมังกรในด้านการฝึกตน ทำไมจะทำไม่ได้?
ก็เหมือนกับตอนนั้นที่อยู่บนเรือบินข้ามฟากเหนือขุนเขากลางแคว้นเฉิงเทียนแล้วจูเหลี่ยนปล่อยหมัดใส่เผยเฉียน แต่เผยเฉียนหลบพ้นไปได้
สือโหรวไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวจึงไม่รู้ว่าการที่เผยเฉียนอาศัย ‘สัญชาตญาณ’ หลบพ้นหมัดของขอบเขตสี่มาได้นั้นมหัศจรรย์ที่ตรงใด
จูเหลี่ยนเองก็เนื่องจากไม่ใช่ผู้ฝึกตน จึงไม่เข้าใจถึงความน่าหวาดกลัวของการที่พวกเซียนดินมองจิตมารเป็นดั่งศัตรูคู่อาฆาต ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าขอบเขตที่เฉินผิงอันแสวงหานั้นสูงมากเท่าไหร่
ดื่มเหล้ากันไปแล้ว
จูเหลี่ยนก็เริ่มทบทวนเหตุการณ์ด้วยความเคยชิน “ได้ยินสือโหรวบอกว่า คราวก่อนตอนอยู่บนหัวกำแพงของสวนสิงโต นายน้อยเกือบจะต่อสู้กับหลิ่วป๋อฉีสตรีจากเรือนซือเตาผู้นั้นแล้ว เกือบจะชักกระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังออกมา แต่สือโหรวที่อยู่ด้านหลังท่าน เห็นว่าต่อให้นายน้อยจะแค่กุมด้ามกระบี่ แต่ฝ่ามือกลับถูกเผาไหม้จนได้รับบาดเจ็บ? สุดท้ายจึงได้แต่หดมือกลับเข้าไปในชายแขนเสื้อ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้หลิ่วป๋อฉีค้นพบความจริง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ช่วยไม่ได้ อาวุธกึ่งเซียนก็ปรนนิบัติยากเช่นนี้แหละ”
ใบหน้าของจูเหลี่ยนเผยความคลางแคลงใจ
เฉินผิงอันเคยเล่าศึกระหว่างเขากับติงอิงในพื้นที่มงคลดอกบัวให้ฟังอย่างละเอียด ถือเป็นการทบทวนกระดานหมากล้อมระหว่างนายบ่าวสองคน
เฉินผิงอันจึงต้องอธิบาย “กระบี่ ‘ปราณยาว’ ที่เคยเล่าให้เจ้าฟังก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะมีระดับขั้นสูงกว่า แต่กลับถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าท่านนั้นทำลายตราผนึกส่วนมากไปแล้ว ไม่อย่างนั้นต่อให้ตายข้าก็ชักกระบี่ออกจากฝักไม่ได้ ส่วนกระบี่ ‘เจี้ยนเซียน’ ที่ตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่ามอบให้เป็นของชดใช้เล่มนี้ ด้านหนึ่งก็เพราะพวกเขาอยากจะรอชมเรื่องสนุก รู้ดีว่าเมื่อมอบให้ข้าแล้ว ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานมากช่วงหนึ่ง อาวุธกึ่งเซียนชิ้นนี้จะเป็นได้เพียงซี่โครงไก่ อีกอย่างก็สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ พวกเขาช่วยคลายตราผนึกทั้งหมดให้แล้วก็หมายความว่ากระบี่เจี้ยนเซียนเล่มนี้เป็นเหมือนบ้านหลังหนึ่งที่ไม่มีกุญแจไขประตูใหญ่ เมื่อมาอยู่ในมือของข้าเฉินผิงอัน ข้าสามารถใช้ได้ แต่หากไม่ทันระวังปล่อยให้ไปตกอยู่ในมือของคนอื่น คนผู้นั้นก็สามารถเข้าออกเรือนแห่งนี้ได้โดยอิสระเช่นกัน สรุปก็คือนี่เป็นการกระทำที่แฝงไว้ด้วยเจตนาร้าย”
เฉินผิงอันยื่นมือออกมาคว้าจับ บังคับกระบี่เซียนที่วางอยู่บนเตียงให้เข้ามาอยู่ในมือ “ข้าใช้วิธีหลอมเล็กสืบเสาะสาวเส้นใยตราผนึกเวทลับพวกนั้นอยู่ตลอดเวลา แต่ก้าวหน้าอย่างเชื่องช้า คงต้องรอให้ข้าเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดของวิถีวรยุทธ์เสียก่อนถึงจะสามารถทำลายตราผนึกทุกอย่างแล้วนำมาใช้ได้อย่างคล่องมือเหมือนมันเป็นแขนของตัวเอง ตอนนี้หากชักกระบี่ออกจากฝัก สังหารศัตรูพันคนตัวเองเสียหายแปดร้อย หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ทางที่ดีที่สุดก็ไม่ควรใช้มัน”
จูเหลี่ยนพลันกระจ่างแจ้ง ดื่มเหล้าหนึ่งคำ จากนั้นก็เอ่ยเนิบช้าว่า “หลี่เป่าผิง หลี่ไหว หลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย คนทั้งห้าล้วนมาจากต้าหลี ลอบฆ่าอวี๋ลู่มีความหมายไม่มากนัก เซี่ยเซี่ยเปิดเผยตัวตนอย่างชัดเจนว่านางเป็นแค่ชาวบ้านที่หลงเหลืออยู่ของสกุลหลู แม้ว่าจะเคยเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนในตระกูลเซียนใหญ่อันดับหนึ่งของสกุลหลู แต่สถานะนี้ของนางก็ได้ตัดสินแล้วว่าน้ำหนักของเซี่ยเซี่ยไม่มากพอ ส่วนสามคนแรกล้วนมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู และยิ่งเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ในอดีตอาจารย์ฉีเคยตั้งใจอบรมสั่งสอน ซึ่งเป่าผิงน้อยกับหลี่ไหวมีสถานะดีที่สุด คนหนึ่งบรรพบุรุษในตระกูลคือก่อกำเนิดที่ได้เป็นผู้ถวายงานรับใช้ต้าหลีแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งบิดาก็เป็นถึงปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตปลายทาง ไม่ว่าเกิดปัญหาขึ้นกับใคร ต้าหลีย่อมไม่มีทางยอมเลิกราง่ายๆ แน่ คนหนึ่งคือไม่ยอม อีกคนหนึ่งคือไม่กล้า”
เฉินผิงอันไม่ได้บอกกับจูเหลี่ยนเรื่องหลี่ซีเซิ่ง ดังนั้นจูเหลี่ยนจึงมอบคำว่า ‘ไม่กล้า’ ให้แก่หลี่ไหวที่บิดาคือหลี่เอ้อร์
ปีนั้นตอนที่หลี่ซีเซิ่งอยู่ในตรอกหนีผิงได้ใช้ตบะของผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหกมาคุมเชิงกับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าที่เป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด เขาสามารถป้องกันได้อย่างรัดกุมรอบคอบ ไม่ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นก็วาดยันต์บนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว อักษรแต่ละตัวหนักนับพันชั่ง ถึงขนาดทำให้ภูเขาลั่วพั่วทั้งลูกลดระดับลงต่ำ
อันที่จริงเรื่องเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ
สำหรับเฉินผิงอันแล้ว
ความปลอดภัยของหลี่เป่าผิงสำคัญที่สุด
เฉินผิงอันรินเหล้าให้จูเหลี่ยนอีกหนึ่งถ้วย “ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเจ้าติดตามข้าก็ไม่เคยมีวันเวลาที่สงบสุขเลยสักวัน?”
จูเหลี่ยนดื่มเหล้าอึกใหญ่ เช็ดมุมปากแล้วยิ้มพูดว่า “นายน้อยหากท่านได้เข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัวเร็วสักหน่อย ได้เจอกับบ่าวเฒ่าในช่วงเวลาที่รุ่งเรืองที่สุดจะไม่มีทางพูดแบบนี้แน่นอน เป็นๆ ตายๆ ล้วนเป็นเวลาแค่ชั่วลัดนิ้วมือเสมอ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนนั้นที่ข้าเอาชนะติงอิงได้ก็เป็นเพราะว่าตัวเขาประมาทเองด้วย หากเจอกับปรมาจารย์ที่ไม่มีความพิถีพิถันอย่างเจ้า เกรงว่าคนที่ตายคงต้องเป็นข้า”
จูเหลี่ยนรีบดื่มเหล้าที่อยู่ในถ้วยให้หมด แล้วยื่นถ้วยเหล้าออกมาด้วยรอยยิ้มขัดเขิน “อาศัยคำพูดประโยคนี้ของนายน้อย บ่าวเฒ่าก็จะดื่มลงโทษตัวเองอีกหนึ่งถ้วย”
เฉินผิงอันรินเหล้าให้จูเหลี่ยนถ้วยหนึ่งจริงๆ เขากล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “หวังว่าเจ้าและข้าสองคน ไม่ว่าจะเป็นสิบปีหรือร้อยปีให้หลังก็จะยังมีโอกาสได้ดื่มเหล้าร่วมกันเช่นนี้”
จูเหลี่ยนยิ้มกว้าง “เรื่องนี้จะยากตรงไหน?”
คืนนี้เฉินผิงอันดื่มเหล้าไม่น้อย ถือว่าเยอะกว่าเวลาปกติมากแล้ว
หลังจากคนทั้งสองแยกย้ายกัน เฉินผิงอันก็ไปที่ห้องหนังสือของเหมาเสี่ยวตง พูดคุยเรื่องการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิต ต่อให้พูดคุยละเอียดยิบแค่ไหนก็ไม่มากเกินไป
ท่ามกลางม่านราตรี
เฉินผิงอันเดินอยู่เพียงลำพัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!