กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 405

เว่ยเซี่ยนครุ่นคิด ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง

ชุยตงซานที่พาเก้าอี้เดินไปถึงหน้าต่างแล้วโบกมือทั้งที่ยังหันหลังให้เว่ยเซี่ยน “ตอนนี้เจ้าเว่ยเซี่ยนยังไม่มีคุณสมบัติจะถกเรื่องปัญหาความขัดแย้งระหว่างข้ากับอาจารย์ ดังนั้นจงดูให้มาก พูดให้น้อย”

ชุยตงซานพึมพำเบาๆ “อู๋ยวนเจ้าเมืองเขตการปกครองหลงเฉวียน เว่ยหลี่แห่งแคว้นหวงถิง หลิ่วชิงเฟิงแห่งแคว้นชิงหลวน เหวยเลี่ยงผู้บัญชาการณ์ใหญ่ และยังมีเจ้าเว่ยเซี่ยน ล้วนเป็น…ต้นกล้าที่ดีที่พวกเราหมายตา ซึ่งเจ้าและเหวยเลี่ยงมีจุดเริ่มต้นสูงที่สุด แต่ในอนาคตจะเป็นอย่างไร ยังต้องอาศัยความสามารถของพวกเจ้าเอง ไม่ต้องไปพูดถึงเหวยเลี่ยง เขาเหมือนนกกระเรียนป่าที่บินอยู่บนท้องนภาอย่างเดียวดาย ไม่ถือว่าเป็นหมากตามความหมายที่แท้จริง เป็นแค่การช่วยเหลือกันและกันบนมหามรรคา แต่อู๋ยวนกับหลิ่วชิงเฟิงคือคนที่ข้าปลูกฝังอบรมมาอย่างตั้งใจ ส่วนเจ้ากับเว่ยหลี่คือคนที่ข้าเลือก วันหน้าพวกเจ้าสี่คนจะต้องขึ้นไปต่อสู้บนเวทีให้กับพวกเรา”

คำพูดของเขาค่อนข้างจะคลุมเครือชวนให้สับสน เว่ยเซี่ยนได้แต่จดจำไว้ในใจเงียบๆ

ชุยตงซานพลันยกมือตบที่เท้าแขนเก้าอี้ “สือโหรวโง่เง่าผู้นั้น เกรงว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าถ้อยคำในกระดาษที่ยัดไว้ในถุงผ้าแพรเป็นคำที่ออกมาจากใจจริงของข้า แต่ละคำดุจกลั่นออกมาจากหยาดเลือดและน้ำตา คือประสบการณ์ที่ล้ำค่ามากที่สุดของคนผู้หนึ่งที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน ครั้งหน้าที่พบกันในสำนักศึกษา หากนางยังไม่รู้จักพัฒนาตัวเองก็คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการนางอย่างไร! หึ คราบร่างเซียนตู้เม่าร่างนั้นไม่ต้องกินถ่ายหรือหลับนอน นางถึงได้ข่มกลั้นความสะอิดสะเอียนในใจเอาไว้ได้ ถึงเวลานั้นข้าจะบอกให้นางทั้งกินทั้งดื่ม ทั้งถ่ายทั้งอาบน้ำ ทำทุกอย่างให้ครบหลายๆ รอบ! ต้องให้นางรู้ซะบ้างว่าแบบไหนจึงจะเรียกว่าลูกผู้ชายตัวจริง!”

เว่ยเซี่ยนบอกลาจากไป

ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง สลายตราผนึกบ่อสายฟ้าที่เป็นวงแสงสีทองวงนั้นออก

เว่ยเซี่ยนรู้สึกเคารพเลื่อมใสและยำเกรงคนผู้นี้จากใจจริง

เลื่อมใสเพราะไม่ถึงร้อยปีต้าหลีก็สามารถเปลี่ยนจากแคว้นใต้อาณัติเล็กๆ แห่งหนึ่งของราชวงศ์สกุลหลูมามีสภาพการณ์อย่างในทุกวันนี้ได้ นั่นล้วนเป็นเพราะอาศัยสี่คำว่าปั้นน้ำเป็นตัว

แต่เรื่องพวกนี้ยังไม่มากพอให้เว่ยเซี่ยนรู้สึกเคารพยำเกรงราชครูท่านนั้น ในขณะที่คนผู้นี้ต่อสู้รวบรวมแผ่นดินก็ได้ทุ่มเทพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องพิทักษ์แผ่นดิน

เว่ยเซี่ยนรู้สึกว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นการประลองหมากล้อมที่แท้จริง

หลังจากเว่ยเซี่ยนจากไปแล้ว ชุยตงซานก็สะบัดข้อมือหนึ่งครั้งบังคับคว้าเหล้ากาที่อยู่บนโต๊ะมากระดกดื่มคำเล็กๆ

ระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวที่ลุ่มๆ ดอนๆ เขาได้พบเห็นผู้คนและเรื่องราวมามากมาย อ่านตำรามากกว่าเดิม ได้เห็นทิวทัศน์ของภูเขาและแม่น้ำนับไม่ถ้วน

ในศึกตรีจตุที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงของปีนั้น เคยมีขุนนางบุ๋นคนหนึ่งที่ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ล้วนไม่สะดุดตาใคร เขาได้เอ่ยประโยคหนึ่งที่เกรงว่าคงไม่มีใครเก็บไปใส่ใจ แต่กลับทำให้ชุยตงซานรู้สึกประทับใจและจดจำได้จนถึงทุกวันนี้

‘ฟ้าดินเป็นผู้กำหนด มีเกิดก็ต้องมีตาย พืชหญ้าใบไม้ร่วงใบไม้ผลิ มีรุ่งโรจน์ก็ต้องมีโรยรา นี่ก็คือสัจธรรมแห่งธรรมชาติ! ผู้ฝึกลมปราณที่ละเมิดกฎเกณฑ์ เหยียบย่ำชีวิตผู้คน เทพเซียนบนภูเขาที่มองชาวบ้านเป็นดั่งมดตัวเล็กอย่างพวกเจ้า จะแตกต่างจากเผ่าปีศาจตรงไหน?!’

ชุยตงซานใช้สองนิ้วคีบกาเหล้า เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ปากก็พึมพำไปด้วย เสียงของเขาแผ่วเบาราวกับเสียงยุง ดังขาดๆ หายๆ “ข้าเคยเป็นเจ๋อเซียน ดื่มน้ำพุเหล้าหมักของสรวงสวรรค์ เล่นหมากล้อมอยู่ท่ามกลางชั้นเมฆหลากสีของนครจักรพรรดิขาว…ข้าเห็นทัศนียภาพสองฝากฝั่งกลางลำน้ำที่คลื่นซัดสาดรุนแรง มิอาจสบอารมณ์…ไร้เงินติดกาย นอนกลางดินกินกลางทราย กินลมเย็นจนอิ่มท้อง จุดตะเกียงดื่มสุรา ต้านลมพายุต้านสายฟ้า…อาจารย์เมามายศีรษะส่ายโคลงเคลง ชูจอกขึ้นสูง ถามสวรรค์ใจคนอะไรที่มาก่อน เด็กรับใช้มิได้ตอบกลับ ก้มหน้าหลับไป ได้ยินเพียงเสียงแมลงรอบกำแพงดังระงม ประหนึ่งทอดถอนใจไปพร้อมข้า…อาจารย์ถอดเสื้อคลุมให้เด็กรับใช้ แต่กลับสะดุดล้มลงในห้องเก่าโทรม ทอดกายบนพื้น เสียงกรนดั่งเสียงฟ้าผ่า หลับฝันนิทราไป…”

ชุยตงซานพลันยื่นมือมาเกาแก้ม “น่าเบื่อจริง เปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนเป็นอะไรดีล่ะ? อืม รู้แล้ว!”

แล้วเขาก็เริ่มคลอเพลงพื้นบ้านไม่รู้ชื่อขึ้นมา “คางคกตัวหนึ่งอ้าปากกว้าง คางคกสองตัวมีสี่ขา กระโดดลงน้ำดังจ๋อม คางคกไม่กินน้ำ ยุคแห่งสันติ คางคกไม่กินน้ำ ยุคแห่งสันติ…”

……

จวนตระกูลไช่ที่เมืองหลวง

รถม้านำพาเหล่าชนชั้นสูงและผู้มีความสามารถมารวมตัวกันอย่างเงียบเชียบ

ไช่เฟิงที่ตอนนี้รับตำแหน่งขุนนางปั้งเหยี่ยนของกั๋วจื่อเจียนถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสามารถโดดเด่นมากแล้ว

คิดไม่ถึงว่าคืนนี้ ในบรรดาคนเจ็ดแปดคนที่มารวมตัวกัน ไช่เฟิงจะเป็นเพียงแค่คนที่มีตำแหน่งขุนนางต่ำที่สุด

กัวซินรองเจ้ากรมพิธีการฝ่ายซ้าย เถาจิ้วรองเจ้ากรมกลาโหมฝ่ายขวา เหมียวเริ่นแม่ทัพหลงหนิวผู้สร้างคุณความชอบในการบุกเบิกแคว้น รองผู้บัญชาการณ์ซ่งซ่านแห่งที่ว่าการพลทหารราบผู้ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยของเมืองหลวง…

ส่วนใหญ่ล้วนเป็นขุนนางในวัยหนุ่มฉกรรจ์ของเมืองหลวงต้าสุย อายุไม่มาก คนที่อายุมากอย่างเถาจิ้วก็ยังแค่สี่สิบห้าปีเท่านั้น

ไช่เฟิงคือคนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่มีเรือนกายสูงใหญ่ บุคลิกองอาจห้าวหาญ ต่อให้เผชิญหน้ากับขุนนางชั้นสูงก็ยังมีมาดน่าเกรงขามไม่เป็นรองใคร

นี่มาจากทั้งความภาคภูมิใจในความรู้ความสามารถของตัวเอง แล้วก็เกี่ยวพันกับแซ่วงศ์ตระกูลของเขาด้วย ต่อให้ไช่จิงเสินผู้เป็นบรรพบุรุษของตระกูลไช่จะกลายเป็นตัวตลกของผู้อื่นมากแค่ไหน แต่นั่นก็เป็นถึงเทพเซียนก่อกำเนิดที่ปกป้องคุ้มครองเมืองหลวงต้าสุยมานานหลายปี

ทุกคนบ้างดื่มชา บ้างดื่มสุรา แผนการถูกวางไว้เรียบร้อยแล้ว มีความเป็นไปได้มากว่าทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ในอนาคตของต้าสุย หรือแม้แต่สถานการณ์ของตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปในอนาคตก็ล้วนถูกตัดสินที่จวนไช่ในคืนนี้แล้ว

ห้าวันต่อจากนี้จะเป็นวันที่ฮ่องเต้ทรงจัดให้มีงานเลี้ยงฉลองเชียนโซ่วเหยียน (หรืองานเลี้ยงผู้เฒ่านับพัน คืองานเลี้ยงที่เชิญคนชรานับพันมาร่วมงานเพื่อร่วมเฉลิมฉลอง ผู้ริเริ่มคือคังซีฮ่องเต้) ก่อนหรือหลังงานเลี้ยงนี้ล้วนลงมือได้ทั้งสิ้น!

ไช่เฟิงลุกขึ้นยืนพูดเสียงดังกังวาน “ตรากตรำเล่าเรียนตำราอริยะปราชญ์ พิทักษ์แผ่นดิน ไม่ให้ชาวประชาถูกรังแก ปกป้องบ้านเมือง ไม่ให้ถูกคนต่างถิ่นรุกรานดูหมิ่น บัณฑิตอย่างเรายอมสละชีวิตเพื่อความชอบธรรม ซึ่งก็คือช่วงเวลานี้!”

จ้วงหยวนคนใหม่ที่ยังอยู่ในสำนักฮั่นหลินลุกพรวดขึ้นยืน ขว้างจอกเหล้าในมือลงพื้นจนแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย กล่าวเสียงทุ้มหนัก “บุตรไม่มีบิดาสองคน ขุนนางไม่มีกษัตริย์สองพระองค์ ยินดีเป็นหยกแตก แต่ไม่ยอมเป็นกระเบื้องสมบูรณ์! สามสิบหกแม่ทัพผู้ก่อตั้งแคว้นต้าสุยของพวกเรา เกินครึ่งล้วนมีชาติกำเนิดมาจากลัทธิขงจื๊อ!”

อารมณ์ทุกคนพลุ่งพล่าน ฮึกเหิมห้าวหาญถึงขีดสุด

บางคนชูแขนร้องตะโกน “ขอสาบานว่าต้องสังหารปีศาจบุ๋นเหมาเสี่ยวตงให้จงได้!”

บางคนหลั่งน้ำตาด้วยความเศร้าอาดูร ยกฝ่ามือตบที่เท้าแขนเก้าอี้หนักๆ อยู่หลายครั้ง “ต้าสุยของพวกเราจะยอมคุกเข่าก้มหัวให้คนป่าเถื่อนสกุลซ่งได้อย่างไร ยกอาณาเขตให้เพื่อขอปรองดอง พ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้รบ คือความอัปยศอย่างใหญ่หลวง!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!