บทที่ 406.2 ประชันอาคมบนยอดเขา – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!
ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 406.2 ประชันอาคมบนยอดเขา จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
บนโต๊ะหินวางทรัพย์สมบัติของเผยเฉียนและหลี่ไหวไว้เต็มแน่น ละลานตา
อวี๋ลู่มองการประชันขันแข่งของเจ้าตัวน้อยทั้งสองอย่างเพลิดเพลิน
สุดท้ายหลี่ไหวถอนหายใจยาวเหยียด กุมหมัดกล่าว “ก็ได้ ข้าแพ้แล้ว ฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ ความสามารถเป็นรองหนึ่งระดับ ข้าหลี่ไหวคือชายชาตรีที่สามารถค้ำฟ้าค้ำดิน ยอมรับความพ่ายแพ้ได้!”
เผยเฉียนยกสองแขนกอดอก พยักหน้ารับ ใช้สายตาชื่นชมมองหลี่ไหว “ไม่เป็นไร อย่างเจ้านี้เรียกว่าแม้จะแพ้แต่ก็แพ้อย่างสมศักดิ์ศรี อยู่ในยุทธภพ วีรบุรุษชายชาตรีที่สามารถต่อสู้กับข้าได้หลายรอบขนาดนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้!”
หลี่ไหวหันหน้าไปพูดกับอวี๋ลู่ “อวี๋ลู่ เจ้าโชคดีได้ชมศึกบนยอดเขาครั้งนี้ ถือว่าเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว”
เผยเฉียนพูดเหมือนคนแก่ “ข้าไม่ใช่ชาวยุทธที่ชื่นชอบชื่อเสียงจอมปลอม ดังนั้นอวี๋ลู่เจ้าแค่จดจำไว้ก็พอ ไม่ต้องเอาไปป่าวประกาศที่อื่น”
หลี่ไหวหันมามองสบตากับเผยเฉียนแล้วยิ้มกว้างพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
บุคคลที่ฉลาดเฉียบแหลมย่อมรักบุคคลที่ฉลาดเฉียบแหลม
เผยเฉียนคิดว่าวันหน้าหากหลี่ไหวสะพายหีบหนังสือออกเดินทางไกล นางจะต้องทำให้เขารู้ให้ได้ว่าอะไรที่เรียกว่ายอดฝีมือแห่งยุทธภพที่แท้จริง อะไรที่เรียกว่าวิชากระบี่ล้ำเลิศ วิชาดาบอันเผด็จการ
หลี่ไหวคิดว่าวันหน้าเมื่อออกจากสำนักศึกษาไปทัศนาจร จะต้องลากเผยเฉียนออกไปท่องยุทธภพด้วยกัน พวกเขาพูดคุยกันถูกคอแบบนี้ เขาค่อนข้างจะสบายใจ
อวี๋ลู่ที่นั่งมองเงียบๆ อยู่ด้านข้างรู้สึกทึ่งยิ่งนัก
ทั้งทึ่งในเรื่องที่เจ้าตัวน้อยทั้งสองได้ครอบครองของล้ำค่ามากมายขนาดนี้ แล้วก็ทึ่งในความหน้าหนา นิสัยประหลาดเข้ากันได้ดีของคนทั้งสองด้วย
เพราะหลี่ไหวโดดเรียนมา ดังนั้นตอนนี้บนยอดเขาจึงไม่มีลูกศิษย์หรือนักท่องเที่ยวมาเยือน นี่ช่วยลดปัญหายุ่งยากให้กับอวี๋ลู่ได้มาก เขาปล่อยให้คนทั้งสองเริ่มเก็บสมบัติของตัวเองช้าๆ
ในฐานะรัชทยาทของราชวงศ์สกุลหลู อีกทั้งตอนนั้นสกุลหลูก็มีชื่อเสียงด้าน ‘ทรัพย์สมบัติมากมาย’ เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป ในบรรดาคนกลุ่มนี้ เว้นจากเฉินผิงอันไม่นับ สายตาของเขาดีกว่าเซี่ยเซี่ยที่ฝึกตนอยู่บนภูเขาเสียอีก ดังนั้นอวี๋ลู่จึงรู้ว่าสมบัติของเจ้าตัวน้อยทั้งสองแทบจะสามารถทัดเทียมกับผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร หรือแม้แต่เซียนดินก่อกำเนิดในกลุ่มผู้ฝึกตนอิสระได้เลย หากไม่นับรวมวัตถุแห่งชะตาชีวิต ก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะมีสมบัติมากมายถึงเพียงนี้
อวี๋ลู่หันไปพูดล้อเล่นกับเผยเฉียน “เผยเฉียน เจ้าไม่กลัวว่าข้าเห็นสมบัติแล้วจะเกิดใจละโมบขึ้นมาหรือ?”
อวี๋ลู่รู้นิสัยของหลี่ไหวดีว่าเป็นคนที่ใจใหญ่ยิ่งกว่าท้องฟ้า ดังนั้นเขาจึงไม่ถามคำถามนี้กับหลี่ไหว
เผยเฉียนตวัดค้อนใส่อวี๋ลู่หนึ่งที ท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์เล็กน้อย รู้สึกว่าเจ้าคนที่ชื่ออวี๋ลู่ผู้นี้สมองไม่ใคร่จะดีนัก “เจ้าเป็นเพื่อนของอาจารย์ข้า ข้าจะไม่เชื่อในคุณธรรมของเจ้าได้หรือ?”
อวี๋ลู่อึ้งงันไร้คำพูดตอบโต้
……
ทางฝั่งของห้องหนังสือ หลังจากที่คนทั้งสองอนุมานรายละเอียดทั้งหมดในการหลอมวัตถุเสร็จแล้ว เหมาเสี่ยวตงก็ตบไม้บรรทัดตรงเอว วัตถุดิบวิเศษแต่ละชิ้นที่ใช้ในการหลอมหัวใจบุ๋นสีทองก็ลอยออกมาจากไม้บรรทัด พากันร่วงลงบนโต๊ะ มีทั้งหมดสิบแปดชนิด ขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่านั้น ราคาก็มีสูงมีต่ำ ตอนนี้ยังขาดอีกหกอย่าง สี่อย่างในนั้นอีกไม่นานก็จะส่งมาถึงสำนักศึกษาซานหยา ยังมีอีกสองชิ้นที่ค่อนข้างยุ่งยาก ไม่ใช่ว่าไม่สามารถหาอย่างอื่นมาแทนที่ได้ เพียงแต่ว่าจะส่งผลต่อระดับขั้นในท้ายที่สุดหลังจากหลอมหัวใจบุ๋นสีทองเสร็จไม่มากก็น้อย ถึงอย่างไรเหมาเสี่ยวตงก็ฝากความหวังไว้กับเรื่องนี้สูงมาก หวังว่าเฉินผิงอันจะสามารถหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่สมบูรณ์แบบไร้ตำหนิที่ช่วยพิทักษ์ช่องโพรงลมปราณแห่งที่สองได้บนภูเขาตงหัวที่มีตนเฝ้าบัญชาการณ์
เหมาเสี่ยวตงเก็บกลั้นคำพูดบางอย่างไว้ในใจ ไม่ได้เอ่ยกับเฉินผิงอัน หนึ่งเพราะอยากจะทำให้เฉินผิงอันตกตะลึงระคนดีใจ สองเพราะกังวลว่าเฉินผิงอันจะเป็นกังวลกับเรื่องนี้มากเกินไป เอาแต่พะวงถึงผลได้ผลเสียกลับจะกลายเป็นเรื่องไม่ดี
หากหลอมหัวใจบุ๋นสีทองได้สำเร็จก็จะเหมือนอ๋องโหวชนชั้นสูงสร้างจวน แล้วก็เหมือนแม่ทัพใหญ่ชูธงขึ้นในสนามรบ สามารถเพิ่มความเร็วในการดูดซับปราณวิญญาณเมื่ออยู่ในสถานที่หรือช่วงเวลาที่พิเศษ ยกตัวอย่างเช่นแผนภูมิสวรรค์ (คือระบบเลขฐาน 60 แบบวนรอบที่เขียนด้วยอักษรจีน ซึ่งประกอบด้วยส่วนย่อย 2 ส่วน ได้แก่ภาคสวรรค์ เรียกว่า ‘ราศีบน’ มี 10 ตัวอักษร และภาคปฐพี เรียกว่า ‘ราศีล่าง’ มี 12 ตัวอักษร) ของธาตุทองในห้าธาตุอันได้แก่เกิง (ภาคสวรรค์ธาตุหยาง ธาตุทอง) ซิน (ภาคสวรรค์ธาตุหยิน ธาตุทอง) เซิน (ปีวอก 15.00-17.00 น.) โหย่ว (ปีระกา 17.00-19.00 น.) สถานที่ที่เหมาะแก่การดูดซับปราณวิญญาณก็คือทิศตะวันตกและทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสถานที่ที่มีภูเขาเขียวน้ำใส นอกจากนี้ความหมายของทองก็คือการพิชิตสังหาร หากผู้ฝึกตนเป็นพวกชอบผดุงคุณธรรมช่วยเหลือคนอ่อนแอ นิสัยแข็งกร้าว มีปราณสังหารที่เข้มข้นก็จะเหนื่อยเพียงครึ่งแต่ประสบความสำเร็จเป็นเท่าตัว เป็นเหตุให้ถูกขนานนามว่า ‘ลมฤดูใบไม้ผลิพัดกระโชกแรง เสียงดังดุจลั่นระฆัง ไยต้องกลัดกลุ้มว่าจะไร้ชื่อเสียงโด่งดังในราชสำนัก’
เพียงแต่ความลี้ลับเหล่านี้คือศักยภาพแฝงของวัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุทองบนโลกแทบทั้งหมด ทว่าหัวใจบุ๋นสีทองของเฉินผิงอันกลับมีโชควาสนาที่เก็บซ่อนอำพรางไว้เป็นความลับอีกชั้นหนึ่ง
เฉินผิงอันจึงพูดถึงเรื่องที่มีคนติดประกาศเสนอรางวัลค่าหัวซ่งจ่างจิ้งที่เรือนซือเตาภูเขาห้อยหัว
เหมาเสี่ยวตงยิ้มกล่าว “ใต้หล้าไพศาลเคยชินที่จะดูแคลนแจกันสมบัติทวีปแล้ว รอวันหน้าเจ้าไปหาประสบการณ์ที่ทวีปอื่น หากบอกว่าตัวเองมาจากแจกันสมบัติทวีปที่เล็กที่สุดจะต้องถูกคนดูถูกบ่อยๆ แน่ ตอนที่สำนักศึกษาซานหยาเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องเดียวที่ฉีจิ้งชุนทำสำเร็จในช่วงเวลายี่สิบสามสิบปีนั้นคืออะไร?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้”
เหมาเสี่ยวตงคลี่ยิ้มบางๆ “นั่นก็คืออบรมปลูกฝังเมล็ดพันธ์บัณฑิตกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าให้แก่ราชวงศ์ต้าหลีอย่างเหนื่อยยาก แต่กลับมีคนหัวแหลมคนแล้วคนเล่าคิดอยากจะไปเรียนที่สำนักศึกษากวานหูซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า ฉีจิ้งชุนก็ไม่ขัดขวาง ที่น่าหัวเราะที่สุดก็คือ ฉีจิ้งชุนยังต้องเขียนจดหมายแนะนำให้บัณฑิตหนุ่มเหล่านั้น ช่วยพูดเรื่องดีๆ แทนพวกเขาด้วย เพื่อที่พวกเขาจะได้อยู่ในสำนักศึกษากวานหูอย่างราบรื่น”
เฉินผิงอันตะลึงพรึงเพริด
เหมาเสี่ยวตงสีหน้าเฉยชา “ราชวงศ์ต้าหลีในเวลานั้นแทบจะเป็นบัณฑิตกันทุกคน ผู้คนต่างก็รู้สึกว่าวิญญูชนและนักปราชญ์ของสำนักศึกษากวานหูอธิบายหลักการและเหตุผลได้ดีกว่าเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาซานหยา”
ในห้องหนังสือไร้สรรพสำเนียงอยู่นาน
เหมาเสี่ยวตงหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง เอ่ยเยาะหยันตัวเอง “ดังนั้นตั้งแต่อาจารย์ของพวกเรามาจนถึงฉีจิ้งชุน สุดท้ายมาถึงข้าเหมาเสี่ยวตงล้วนไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่า ใครกันที่ถือว่าเป็นลูกศิษย์สายตรงที่ถูกต้องเหมาะสม มีกี่คนกันแน่ที่ถือเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดวิชาความรู้อย่างสมชื่อ แล้วใครที่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายที่แท้จริง เฉินผิงอัน เจ้าว่าตลกหรือไม่? หันกลับไปมองสายบุ๋นสายอื่น นั่นต้องเรียกว่าสืบทอดกันอย่างเป็นระบบระเบียบ กฎเกณฑ์เข้มงวด ประหนึ่งหมู่มวลดาราที่งดงามตระการตา”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรพูดอะไร เขาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งคำ
เหมาเสี่ยวตงเดินไปหยุดที่หน้าต่าง โดยไม่ทันรู้ตัวด้านนอกก็เป็นภาพที่ดวงจันทร์และดวงดาวส่องแสงระเรื่อแล้ว
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่หันหน้ากลับไปก็เห็นว่าคนหนุ่มที่ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองคือศิษย์น้องเล็กของตนกำลังสองจิตสองใจว่าควรจะดื่มเหล้าต่อไปดีหรือไม่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!