กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 409

หลี่เป่าผิงเดินออกมาจากห้องหลัก มานั่งดูการรบระหว่างเผยเฉียนกับหลี่ไหวอยู่ด้านข้าง หลี่ไหวยังคงถูกเข่นฆ่าจนต้องโยนหมวกเหล็กทิ้งเสื้อเกราะ (เปรียบเปรยว่าพ่ายแพ้ยับเยินจนต้องเผ่นหนีไปอย่างกระเซอะกระเซิง)

หลี่เป่าผิงหยิบหมากสีดำห้าเม็ดออกมาจากโถอีกใบหนึ่งและเก็บหมากสีขาวห้าเม็ดใส่กลับเข้าไปในโถเงียบๆ บนพื้นมีหมากขาวและหมากดำอย่างละห้าเม็ด หลี่เป่าผิงพูดอธิบายให้คนสองคนที่หันมามองหน้ากันเองว่า “เล่นแบบนี้ค่อนข้างสนุก พวกเจ้าเลือกกันคนละสี ทุกครั้งที่จับก้อนหิน ยกตัวอย่างเช่นเผยเฉียนเจ้าเลือกหมากสีดำ หากจับหมากขึ้นมาได้เจ็ดเม็ด ด้านในมีหมากสีขาวสองเม็ดก็เท่ากับว่าเจ้าจับหมากสีดำได้แค่สามเม็ด”

เผยเฉียนกล่าวอย่างขลาดๆ “พี่หญิงเป่าผิง ข้าอยากเลือกหมากสีขาว”

หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับ “ได้สิ”

หลี่ไหวกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ข้าก็อยากเลือกหมากสีขาวเหมือนกัน!”

หลี่เป่าผิงชำเลืองตามองเขาแวบหนึ่ง

หลี่ไหวรีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ทันที “ช่างเถิด หมากสีดำมองแล้วสบายตามากกว่า”

จิตใจของสือโหรวสั่นไหวเล็กน้อย

ดูเหมือนว่าแม่นางน้อยที่สวมชุดกระโปรงสีแดงผู้นี้มักจะมีความคิดที่มหัศจรรย์เช่นนี้เสมอ เนื่องจากในบรรดาคนทั้งหมด เฉินผิงอันลำเอียงรักหลี่เป่าผิงอย่างเห็นได้ชัด สือโหรวจึงจับตามองหลี่เป่าผิงมากที่สุด นางพบว่าคำพูดและการกระทำของแม่นางน้อยคนนี้ ไม่อาจพูดได้ว่านางจงใจวางตัวเหมือนคนแก่ อันที่จริงนางบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างยิ่ง ทว่าความคิดมากมายของนางกลับทั้งอยู่ในกฎเกณฑ์ แล้วก็ทั้งอยู่นอกเหนือจากกฎเกณฑ์ไปในเวลาเดียวกัน

ในขณะที่สือโหรวแอบมองหลี่เป่าผิงได้ไม่นานเท่าไหร่ ศึกใหญ่ของทางฝั่งนั้นก็ปิดฉากลง เล่นตามกติกาของหลี่เป่าผิง หลี่ไหวแพ้ได้อนาถยิ่งกว่าเดิม

เผยเฉียนโคลงศีรษะ ชั่งน้ำหนักหมากสองสามเม็ดที่อยู่ในมือด้วยการโยนขึ้นเบาๆ แล้วรับไว้ติดต่อกัน “เหงายิ่งนัก แค่อยากจะแพ้สักครั้งต้องยากขนาดนี้เชียวหรือ?”

หลี่ไหวทำท่าทางลับๆ ล่อๆ กลอกตารวดเร็ว อยากจะหาเรื่องอื่นมาทวงคืนหน้าตาที่เสียไปของตน

เผยเฉียนโยนเม็ดหมากทิ้ง หยิบไม้เท้าเดินป่าที่อยู่ข้างเท้าขึ้นมา กระโดดเข้าไปในลานบ้าน “พี่หญิงเป่าผิง หลี่ไหวขุนพลผู้ปราชัย ข้าจะทำให้พวกเจ้าเห็นว่า อะไรที่เรียกว่ามือถือเสายาว บินข้ามบ้านกระโดดข้ามหลังคา ตอนนี้ข้ายังฝึกวิชาได้ไม่ประสบความสำเร็จ จึงได้แต่บินบนชายคาเดินบนกำแพงเท่านั้น! ดูให้ดีล่ะ! ต้องดูให้ดีนะ!”

เห็นเพียงว่าเผยเฉียนถอยไปอยู่ปลายสุดของกำแพงแถบหนึ่ง หันหน้าเข้าหากำแพงฝั่งตรงข้าม สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วสาวเท้าวิ่งตะบึงออกไป ระหว่างนั้นก็ใช้ไม้เท้าเดินป่าทิ่มลงไปในรอยแยกระหว่างร่องหินของลานบ้านอย่างแม่นยำ เท้าทั้งสองข้างของเผยเฉียนพ้นจากพื้น ไม้เท้ายาวโค้งงอเป็นวงกว้าง และเมื่อไม้เท้าเดินป่าดีดผึงกลับเป็นเส้นตรง เผยเฉียนก็กระโดดขึ้นสูง ร่างเล็กๆ คลายตัวกลางอากาศ ขึ้นไปยืนอยู่บนหัวกำแพงได้อย่างมั่นคง แล้วจึงหันตัวกลับมายิ้มกว้างให้หลี่เป่าผิงกับหลี่ไหว “เห็นแล้วหรือยัง!”

หลี่ไหวมองตาค้างอ้าปากกว้าง ตะโกนโหวกเหวกว่า “ข้าก็จะลองทำดูบ้าง!”

เผยเฉียนกระโดดพลิ้วกายลงมาจากหัวกำแพงอย่างปราดเปรียวดุจแมวป่าตัวน้อย ยามที่เท้าสัมผัสกับพื้นไม่มีเสียงใดๆ เล็ดรอดให้ได้ยิน

จากนั้นนางก็ยื่นไม้เท้าเดินป่าส่งให้หลี่ไหวอย่างใจกว้าง

หลี่ไหวเองก็เลียนแบบเผยเฉียน ถอยไปอยู่มุมกำแพง วิ่งเหยาะๆ ไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าเร่งร้อนก่อน จากนั้นก็ชำเลืองตามองพื้นดิน แล้วพลันทิ่มไม้เท้าเดินป่าลงไปในร่องแตกของก้อนหิน ตวาดเบาๆ หนึ่งที พอไม้เท้าเดินป่างอตัวเป็นเส้นโค้ง ร่างของหลี่ไหวก็ถูกยกลอยขึ้น เพียงแต่ว่าท่วงท่าและองศาในการส่งแรงช่วงสุดท้ายไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้สองขาของหลี่ไหวกางชี้ฟ้า หัวทิ่มลงหาดิน ร่างเอียงกระเท่เร่ ร้องเฮ้ยๆๆ อยู่สองสามที แล้วก็ร่วงดิ่งลงพื้นในท่านั้น

อวี๋ลู่เป็นเหมือนลมเย็นที่พัดวูบผ่านไป รีบรับตัวหลี่ไหวแล้วประคองให้เขายืนอยู่ในท่าตรง

หลี่ไหวคุยโวอย่างไม่ละอายว่า “ล้มเหลวในขั้นสุดท้าย ขาดอีกแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น น่าเสียดาย น่าเสียดายนัก”

เผยเฉียนหัวเราะเสียงเย็น “ถ้าอย่างนั้นจะให้โอกาสเจ้าอีกสิบครั้งไหมล่ะ?”

หลี่ไหวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แม้ว่าข้าหลี่ไหวจะมีพรสวรรค์เลิศล้ำ ไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธที่พันปียากจะพานพบสักครั้งก็ต้องเป็นแปดร้อยปี แต่ปณิธานของข้าไม่ได้อยู่ที่สิ่งนี้ ดังนั้นข้าจึงไม่คิดจะแข่งขันสูงต่ำกับเจ้าในเรื่องนี้แล้ว”

หลี่เป่าผิงหยิบไม้เท้าเดินป่ามาจากมือของหลี่ไหว แล้วนางก็ลองทำดูรอบหนึ่ง

ผลคือภายใต้สายตาของคนมากมายจับจ้อง แม่นางน้อยชุดกระโปรงสีแดงผู้นี้ไม่เพียงแต่ทำสำเร็จ ยังทำสำเร็จมากเกินไป นางถึงกับบินลอยพ้นไปจากหัวกำแพง

มีเสียงบางเบาส่งมาจากนอกกำแพง

สำหรับหลี่เป่าผิงที่คุ้นเคยกับเรื่องประเภทนี้เป็นอย่างดีย่อมไม่บาดเจ็บ เพียงแต่ว่าตอนร่วงลงพื้นร่างไม่มั่นคงนัก เข่าสองข้างงอลงเล็กน้อย ยังไม่ทันจะคุกเข่าร่างก็ผงะหงายไปด้านหลัง ก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น

หลี่เป่าผิงลุกขึ้นยืน ไม่รู้สึกรู้สาอะไรแม้แต่น้อย

ผู้เฒ่าหลังค่อมคนหนึ่งยืนหัวเราะร่าอยู่ห่างไปไม่ไกล “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

หลี่เป่าผิงยิ้มตอบ “แค่นี้จะเป็นอะไรได้เล่า!”

จูเหลี่ยนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

หลี่เป่าผิงวิ่งฉิวกลับเข้าไปในเรือน

ในฐานะปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกล สายตาของจูเหลี่ยนจึงดีเยี่ยมเหนือกว่าคนทั่วไป แน่นอนว่าเขารู้ดีกว่าใครว่าหลี่เป่าผิงไม่มีทางเป็นอะไร เขาถึงไม่ได้ลงมือช่วยเหลือนาง

จูเหลี่ยนเดินเล่นรอบเรือนหลังนี้ต่ออีกครั้ง

ตอนนั้นก่อนที่เฉินผิงอันจะไปจากสำนักศึกษา บทสนทนาระหว่างเขากับหลี่เป่าผิง จูเหลี่ยนที่ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลได้ยินชัด และเฉินผิงอันเองก็ไม่คิดจงใจปิดบังอะไรเขา

จูเหลี่ยนถึงขั้นรู้สึกเสียดายแทนสุยโย่วเปียนที่ไม่ได้ยินบทสนทนาครั้งนั้น

ก่อนหน้านี้พวกเขาสี่คนในภาพวาดยังไม่ได้แยกย้ายกัน ตอนที่อยู่ร้านยาฮุยเฉินของนครมังกรเฒ่า ผู้เฒ่าแซ่สวินที่หมายตาใน ‘พรสวรรค์เซียนกระบี่’ ของสุยโย่วเปียนมาตั้งแต่แรกผู้นั้นชอบจะมาเยือนที่ร้านยา มีครั้งหนึ่งที่นั่งดูการประชันหมากล้อมในลานบ้านระหว่างสุยโย่วเปียนกับหลูป๋ายเซี่ยง ผู้เฒ่าได้พูดสองสามประโยคโดยใช้หลักการของหมากล้อมมาบรรยายวิถีแห่งกระบี่

ตั้งขวางตัดสลับ วางหมากลงตรงจุด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!