เหมาเสี่ยวตงไม่มัวเหม่อลอยอีก เขาทยอยเอาชะตาบุ๋นที่บรรจุอยู่ในเครื่องดนตรีและภาชนะแต่ละชิ้นกรอกเทเข้าไปในเตาหลอมโอสถตามลำดับด้วยฝีมือที่ประณีตอัศจรรย์ถึงขีดสุด
นี่จึงเป็นเหตุให้สือโหรวและเซี่ยเซี่ยได้เห็นภาพทิวทัศน์งดงามเลิศล้ำที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาบนยอดเขาถูกอาบย้อมไปด้วยประกายแสงสีทองหนึ่งชั้น
เตาหลอมโอสถที่มีปราณห้าสีลอยตลบอบอวลพลันหยุดชะงัก จากนั้นไอเมฆหมอกก็สลายหายไปจนสิ้น
หัวใจบุ๋นสีทองที่ลอยอยู่นิ่งๆ ตรงก้นของเตาตู้สีทองห้าสีกลายเป็นของเหลวสีทอง จากนั้นก็ค่อยๆ มีบัณฑิตสวมชุดขงจื๊อสะพายกระบี่สูงหนึ่งนิ้วมือ ‘เติบโต’ ขึ้นมา เพียงแต่ว่าร่างทั้งร่างเป็นสีทอง มันกระโดดผลุงทีเดียวก็มาอยู่ตรงขอบบนสุดของเตาหลอมโอสถ แหงนหน้ามองเฉินผิงอัน ใบหน้ายังคงพร่าเลือน ไม่เห็นองคาพยัพทั้งห้าอย่างชัดเจน แต่มองดูแล้วมีลักษณะเหมือนเฉินผิงอัน นอกจากจะสะพายกระบี่ยาวเล่มหนึ่งไว้ด้านหลังแล้ว ตรงเอวยังห้อยตำราเล่มเล็กสีทองหลายเล่มที่ใช้ด้ายสีทองเส้นเล็กบางร้อยเข้าไว้ด้วยกัน คนจิ๋วสีทองที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อพูดเหมือนคนแก่ว่า “ต้องอ่านหนังสือให้มาก! อีกอย่าง เจ้าก็พูดเองว่า รู้ผิดแล้วแก้ไขจึงนับว่าประเสริฐ!”
เฉินผิงอันที่เหงื่อแตกเต็มศีรษะยกมือเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากแล้วพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ร่วมแรงร่วมใจไปด้วยกัน”
ศิษย์ลัทธิขงจื๊อสีทองตัวจิ๋วกลายร่างเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งที่พุ่งพรวดผลุบหายเข้าไปในช่องโพรงปอดของเฉินผิงอัน มันนั่งขัดสมาธิ หยิบเอาตำราเล่มหนึ่งที่ห้อยไว้ตรงเอวขึ้นมาเปิดอ่าน
นอกจากนี้ยังมีหัวใจบุ๋นอีกดวงลอยอยู่ในถ้ำสถิต อันที่จริงหัวใจดวงนี้ก็ถือเป็นร่างเดียวกับคนจิ๋วที่สวมชุดขงจื๊อสะพายกระบี่และห้อยตำราผู้นี้
เหมาเสี่ยวตงอึ้งตะลึง จากนั้นก็เริ่มขมวดคิ้ว
เฉินผิงอันกล่าวอย่างสนเท่ห์ “มีอะไรไม่เหมาะหรือ?”
เหมาเสี่ยวตงถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “หัวใจบุ๋นสีทองที่ถูกนำมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตก่อตัวกลายมาเป็นปัญญาชนลัทธิขงจื๊อ ข้าไม่รู้สึกว่าน่าตกตะลึงอะไร แต่ทำไมมันถึงได้พูดประโยคนั้น?”
เฉินผิงอันตั้งใจใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งถึงตอบว่า “หลังจากที่ข้าได้รู้จักตัวอักษรและอ่านหนังสือออกก็กลัวมาโดยตลอดว่าหลักการเหตุผลที่ตัวเองสรุปออกมาจะผิดพลาด ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นปีนั้นที่เจอกับเด็กชายชุดเขียวหรือภายหลังที่ได้เจอกับเผยเฉียน แล้วก็ตามมาด้วยชุยตงซานที่ถามคำถามสองข้อนั้นกับข้า ข้าก็กลัวมาโดยตลอดว่าความรู้ของตัวเองจะเป็นความรู้ที่ข้าคิดไปเองว่ามีเหตุผล แต่แท้จริงแล้วกลับผิดเมื่อนำไปใช้กับคนอื่น อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ครอบคลุมมากพอ ไม่สูงส่งมากพอ ก็เลยเป็นกังวลว่าจะชักนำลูกศิษย์ไปในทางที่ผิดพลาด”
เหมาเสี่ยวตงพลันกระจ่างแจ้ง เขาคลี่ยิ้มอย่างชื่นชม “แบบนี้แหละ…ถูกต้องมากๆ แล้ว!”
เหมาเสี่ยวตงลุกขึ้นยืน โบกมือสลายวิชาอภินิหารของอริยะบนยอดเขาทิ้งไป แต่ฟ้าดินขนาดเล็กของสำนักศึกษายังคงอยู่ เขาเอ่ยกำชับว่า “ให้เวลาเจ้าหนึ่งก้านธูป หลังจากนี้สามารถหยิบเอาป้ายหยกสีทอง ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ แผ่นนั้นออกมาดึงเอาโชคชะตาบุ๋นที่ยังเหลืออยู่ในเครื่องดนตรีและภาชนะเซ่นไหว้ ไม่ต้องกังวลว่าหากตัวเองล้ำเส้นแล้วจะไปขโมยโชคชะตาบุ๋นและปราณวิญญาณของภูเขาตงหัวมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ข้าจะเป็นคนชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียเอง และหลังจากนี้เจ้าก็จะกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสองที่แท้จริงแล้ว”
เฉินผิงอันรีบลุกขึ้นยืนเอ่ยขอบคุณ
เหมาเสี่ยวตงโบกมือ บ่นว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าไอ้นิสัยขี้เกรงใจของศิษย์น้องเล็กอย่างเจ้านี่ไปเรียนรู้มาจากใคร”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “ไม่แน่ว่าอาจจะเรียนรู้มาจากท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งก็ได้นะ?”
เหมาเสี่ยวตงรีบตีหน้าเคร่งพูดจริงจัง “ความหวังดีและตั้งใจจริงของท่านอาจารย์ เจ้าต้องหัดเรียนรู้มาให้ดี!”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน “ข้าล้อเล่นนะ”
เหมาเสี่ยวตงเอ่ยสั่งสอน “การถ่ายทอดความรู้ของอาจารย์อยู่ที่คำพูด อยู่ที่การทำตัวเป็นแบบอย่าง อยู่ที่สิ่งละอันพันละน้อย ในฐานะเด็กรุ่นหลัง จะทำเป็นเล่น จะทำอย่างขอไปทีได้อย่างไร!”
เฉินผิงอันได้แต่พยักหน้ารับ
เหมาเสี่ยวตงหมุนตัวกลับ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไหนเลยจะมีท่าทางขุ่นเคืองเช่นเมื่อครู่ ศิษย์น้องเล็ก เจ้ายังอ่อนด้อยนัก
แม่น้ำแห่งกาลเวลาบนยอดเขาไหลย้อนกลับอย่างเชื่องช้า ฤดูใบไม้ร่วงสีทองอร่ามกลับคืนสู่บรรยากาศของฤดูร้อน ใบไม้ที่ร่วงหล่นย้อนกลับไปเกาะกิ่งก้าน เปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีเขียวขจี
พอเหมาเสี่ยวตงจากไปแล้ว เฉินผิงอันก็หยิบแผ่นหยกสีทองมากำไว้ในมือ เริ่มดูดดึงโชคชะตาบุ๋นที่เหลืออยู่จากการหล่อหลอมของเตาโอสถ
ลำธารสีทองเส้นเล็กๆ หนาเท่านิ้วหัวแม่มือเส้นหนึ่งล้อมวนอยู่รอบป้ายหยก จากนั้นก็ไหลรินเข้าไปในแผ่นป้ายอย่างเชื่องช้า
แล้วค่อยไหลจากป้ายหยกไปยังฝ่ามือของเฉินผิงอัน มุ่งหน้าไปยังช่องโพรงลมปราณที่คนจิ๋วชุดลัทธิขงจื๊อและหัวใจบุ๋นสีทองอาศัยอยู่
เมื่อเคลื่อนผ่านตำแหน่งหนึ่งในนั้นก็ได้ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผืนนาหัวใจของเฉินผิงอัน
เมื่อลำธารโชคชะตาบุ๋นสีทองไหลหลั่งเข้าสู่ช่องโพรงลมปราณ คนจิ๋วที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อก็ไม่อ่านหนังสืออีกต่อไป มันหัวเราะปากกว้าง กระโดดโลดเต้นโบกไม้โบกมืออย่างลิงโลด
นี่คงเป็นนิสัยเด็กๆ ที่น้อยครั้งนักจะเปิดเผยออกมาท่ามกลางช่วงเวลาการเติบโตของเฉินผิงอัน
หลังจากลำธารมาหยุดอยู่ในถ้ำสถิตแล้ว คนจิ๋วสีทองก็เดินลุยน้ำมาถึงหน้าประตูใหญ่ของจวน ตะโกนเสียงดังหนึ่งครั้งก็เห็นว่ามังกรเพลิงตัวที่จำแลงมาจากปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์พุ่งพรวดมาถึง
มันกระโดดผลุงหนึ่งทีก็ไปนั่งอยู่บนหัวมังกร ร้องตวาดออกคำสั่งแล้วควบขาสองข้างอย่างแรง ขี่มังกรลาดตระเวนไปในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างคนนี้
เฉินผิงอันใช้วิธีสำรวจภายในมองไปเห็นภาพนี้ก็รู้สึกอับอายเล็กน้อย
เหตุใด ‘ตน’ ถึงได้ซุกซนขนาดนี้?
ดูเหมือนจะไม่ได้ดีไปกว่ากู้ช่านและเด็กชายชุดเขียวสักเท่าไหร่เลย?
……
อันที่จริงเหมาเสี่ยวตงลอบมองเหตุการณ์ทางฝั่งนี้อยู่เงียบๆ ตลอดเวลา
สุดท้ายเฉินผิงอันก็ใช้ป้ายหยกสีทองดูดดึงเอาโชคชะตาบุ๋นของศาลบุ๋นต้าสุยมาจนหมดไม่มีเหลือ
และถึงแม้การหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตจะเผาผลาญปราณวิญญาณที่สั่งสมในจวนน้ำแห่งนั้นไปจนสิ้น อีกทั้งตอนนี้ยังได้เป็นผู้ฝึกลมปราณตัวจริงเสียจริงแล้ว ทว่าอย่าว่าแต่โชคชะตาบุ๋นของภูเขาตงหัวเลย ต่อให้เป็นปราณวิญญาณที่เมื่อเทียบกันแล้วไม่ค่อยมีค่า แม้ว่าศิษย์พี่อย่างเขาจะเปิดปากอนุญาตแล้ว แต่เฉินผิงอันกลับไม่ยอมดึงเอาไปแม้แต่หยดเดียว
จนกระทั่งบัดนี้เหมาเสี่ยวตงถึงได้คิดว่าตัวเองน่าจะรู้แล้วว่าเฉินผิงอันข้ามผ่านเส้นทางแห่งจิตใจที่อันตรายช่วงนั้นมาได้อย่างไร
ควบคุมตน
ง่ายดายเพียงเท่านี้
คนที่รักษากฎระเบียบอย่างเคร่งครัดจนแทบจะเรียกได้ว่าคร่ำครึ เป็นผู้ฝึกตนแต่กลับไม่รู้จักแสวงหาโชควาสนาและผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้กับตัวเอง มักจะทำให้คนฉลาดบนโลกมีเหตุผลให้พูดจาเย้ยหยันเหน็บแนมใส่เสมอ
เป็นเหตุให้หลักการและเหตุผลที่พัฒนามาจากความเข้าใจของเฉินผิงอันเป็นสิ่งที่คนไร้เหตุผลรังเกียจมากเป็นพิเศษ
ในใจเหมาเสี่ยวตงพลันสั่นสะท้าน
ก้อนหินใหญ่ยักษ์บางก้อนที่กดทับอยู่บนหัวใจมานาน ก้อนหินขวางทางที่แทบจะตัดขาดการเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนของเขา เวลานี้คล้ายจะเริ่มขยับเคลื่อนคลายตัวบ้างแล้ว
หลักการเหตุผลไม่แบ่งแยกสายบุ๋น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!