สำนักศึกษากลายเป็นฟ้าดินขนาดเล็กที่มีอริยะเฝ้าพิทักษ์ บนยอดเขาภูเขาตงหัวก็คล้ายจะเป็นฟ้าดินอีกแห่งหนึ่ง
หลังจากที่เหมาเสี่ยวตงโคจรวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ ภาพบรรยากาศบนยอดเขาก็กลายเป็นเหมือนอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่เป็นสีทองอร่าม
อากาศเย็นสบาย
เฉินผิงอันนั่งอยู่ทิศตะวันตก ด้านหน้าวางเตาตู้สีทองห้าสี ใช้ปราณวิญญาณที่กักเก็บไว้ในช่องโพรงน้ำมา ‘พัดลม’ ใช้ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของผู้ฝึกยุทธ ‘จุดไฟ’ ผลักดันให้ในกระถางเกิดไฟที่แท้จริงซึ่งใช้ในการหลอมวัตถุลุกโชนเป็นลูกๆ
เตาหลอมโอสถพลันส่องประกายแสงเจิดจ้า ประหนึ่งดวงอาทิตย์ในโลกมนุษย์
หัวใจบุ๋นสีทองดวงนั้นลอยตัวอยู่เหนือเตาหลอม แล้วค่อยๆ ลดระดับลงเบื้องล่างช้าๆ
เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอัน เขาจึงทำไปตามลำดับขั้นตอน ใช้คาถาหลอมวัตถุของเซียนบทที่มีต้นกำเนิดมาจากศิลาขอฝนจากเซียนหน้าศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอมาขับเคลื่อนกรวดทองไหหนึ่งที่มีขนาดเท่าฝ่ามือให้สาดลงไปในเตาหลอมโอสถ เปลวพลิงยิ่งลุกโชติช่วง สาดสะท้อนให้ใบหน้าของเฉินผิงอันเป็นสีแดงสว่างจ้า โดยเฉพาะดวงตาใสกระจ่างที่เคยเห็นขุนเขาและสายน้ำมานับพันนับหมื่นคู่นั้นที่ยิ่งงดงามเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา มือคู่นั้นที่เคยขึ้นรูปเครื่องปั้นมานับครั้งไม่ถ้วนไม่มีอาการสั่นเทาแม้แต่น้อย ทะเลสาบหัวใจใสกระจ่างดุจกระจก แล้วก็เหมือนบ่อน้ำโบราณที่ไร้ริ้วน้ำ
หัวใจบุ๋นสีทองที่ถูก ‘ควัก’ ออกมาจากหัวใจของเสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในเตาหลอมโอสถ เดี๋ยวก็หมุนคว้าง เดี๋ยวก็พลิกกลับ
ในหัวใจบุ๋นมีทั้งควันธูปที่ได้รับมาปีแล้วปีเล่าเป็นเวลาหลายร้อยปีจากชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาในแคว้นไฉ่อี แล้วก็มีปราณแห่งความเที่ยงธรรมยิ่งใหญ่ที่เสิ่นเวินมุ่งมั่นยึดถือเอาไว้หลังจากตายไป รวมไปถึงแสงแห่งจิตวิญญาณที่ฟูมฟักออกมาหลังจากได้อยู่กับตราประทับซึ่งแกะสลักจากฝีมือของเทียนซือใหญ่ภูเขามังกรพยัคฆ์มานานวัน พวกมันอยู่ในรูปลักษณ์จุดๆ เป็นดวงๆ ประหนึ่งดวงดาราที่ลอยอยู่กลางท้องนภายามค่ำคืน
ในบรรดาวัตถุดิบวิเศษมากมาย ก็มีเพียงดาบประจำกายของอริยะบู๊ในศาลบู๊ประจำเมืองหลวงของแคว้นหนึ่งในแจกันสมบัติทวีป รวมไปถึงเขาวัวพันปียาวครึ่งจั้งที่หลอมได้ยากที่สุด
จิตใจเฉินผิงอันสงบนิ่ง เขาแค่ต้องก้าวไปทีละก้าวอย่างมั่นคงไร้ข้อผิดพลาด ใช้คาถาเซียนที่สามารถ ‘หล่อหลอมหมื่นสรรพสิ่ง’ หลอมพวกมันไปอย่างเชื่องช้า
ดาบประจำกายที่เคยติดตามอริยะบู๊ท่านนั้นมาทั้งชีวิตลอยอยู่กลางอากาศเหนือเตาหลอม ค่อยๆ ละลายไปอย่างช้าๆ โดยเริ่มจากปลายดาบ กลั่นออกมาเป็นไข่มุกสีทองเม็ดหนึ่งที่ตกลงไปในเตาตู้ทองห้าสี ยิ่งเป็นช่วงท้ายๆ ความเร็วในการหยดลงของหยดน้ำก็ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ติดต่อกันจนกลายเป็นเส้นสาย หากมีคนสามารถใช้วิธีการมองสำรวจภายใน นำกายมาพักพิงอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กของเตาหลอมโอสถแล้วแหงนหน้ามองไป ไข่มุกเส้นนั้นก็จะเหมือนน้ำตกสีทองที่หล่นลงจากฟากฟ้ามาสู่โลกมนุษย์
ทองคือธาตุหลักของปอด
และหากคิดจะบำรุงปอด การที่ผู้ฝึกตนคลำหากฎเกณฑ์ข้อหนึ่งที่บอกว่าต้องบำรุงมหาสมุทรลมปราณ จุดตั้นจง (จุดฝังเข็มอยู่ตรงช่วงหน้าอก) และจุงเฟ่ยอวี๋ (จุดฝังเข็มตรงปอด) ไว้ได้แต่เนิ่นๆ ถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างถึงที่สุด
ตอนที่เฉินผิงอันหายใจก็จะใช้วิธีโคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดไปด้วยคล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา ส่งลมปราณผ่านช่องโพรงลมปราณสามแห่ง ด่านทั้งสามแห่งพลันมีปราณกระบี่เหมือนสายรุ้งพาดผ่าน จากนั้นกล้ามเนื้อภายนอกของเฉินผิงอันก็กระตุกขึ้นลงเล็กน้อยประหนึ่งรัวกลองบนสนามรบ แม้ว่าบนยอดเขาตงหัวจะไม่ได้ยินเสียงอะไร แต่ในความเป็นจริงแล้วในร่างกายของเฉินผิงอันที่เป็นฟ้าดินขนาดเล็กกลับมีสมรภูมิรบสามแห่งที่เต็มไปด้วยปราณเข่นฆ่าสังหารซึ่งมีปราณกระบี่เป็นหลัก คล้ายซากปรักหักพังของสนามรบที่ยังคงมีจิตวิญญาณของวีรบุรุษเซียนกระบี่ที่ไม่เต็มใจจะอยู่นิ่งเฉยอย่างสงบ
การหลอมวัตถุดิบวิเศษทั้งสามสิบกว่าชิ้นล้วนจำเป็นต้องอิงตามลำดับก่อนหลัง จำเป็นต้องเอาใส่เตาตามช่วงเวลาที่กำหนดไว้ ผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ขนาดไฟเล็กใหญ่ในเตาหลอมก็ยิ่งไม่อาจมีข้อผิดพลาดได้
เวลานี้เหมาเสี่ยวตงมีฐานะเป็นอริยะลัทธิขงจื๊อผู้เฝ้าพิทักษ์สำนักศึกษา เขาสามารถใช้วิชาลับที่เป็นวิชาสืบทอดดั้งเดิมมาออกเสียงเอ่ยเตือน เพื่อที่ไม่ต้องคอยกังวลว่าเฉินผิงอันจะเสียสมาธิจนเป็นเหตุให้ธาตุไฟเข้าแทรก
เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันไม่ให้โอกาสนี้แก่เขาเลย
เฉินผิงอันรวบรวมสมาธิแน่วนิ่งได้ตลอดเวลา จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน ใช้คาถาในการหลอมวัตถุของเซียนมาหล่อหลอมวัตถุดิบวิเศษแต่ละชิ้นจากของที่จับต้องได้จริงให้กลายเป็นภาพมายา ใช้ปราณวิญญาณในช่องโพรงน้ำกับปราณแท้จริงบริสุทธิ์ที่เกิดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่ามาบังคับเตาหลอมอย่างระมัดระวัง ใช้ปราณกระบี่สิบแปดหยุดมาสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่ ‘สมรภูมิรบ’ ที่เป็นด่านช่องโพรงลมปราณใหญ่สามด่าน เนื่องจากการหลอมหัวใจบุ๋นสีทองดวงนี้เกี่ยวพันกับการฝึกตนของลัทธิขงจื๊อ เมื่อเทียบกับการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกลมปราณทั่วไปแล้ว ยังต้องมีเรื่องยุ่งยากที่ใหญ่เทียมฟ้าเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือต้องท่องบทคาถาที่เกี่ยวพันกับธาตุทองซึ่งเป็นหนึ่งในห้าธาตุ ยกตัวอย่างเช่นบทความอริยะปราชญ์หรือบทกวีที่มีตัวอักษรคำว่าซี ชิว หรานอยู่ภายใน เกินครึ่งเป็นตัวอักษรที่เฉินผิงอันเลือกมาจากแผ่นไม้ไผ่ของตัวเอง ส่วนอีกเกือบครึ่งถึงจะเป็นตัวอักษรที่เหมาเสี่ยวตงแนะนำให้ตอนอยู่ในห้องหนังสือ
ในการฝึกตนของลัทธิขงจื๊อ ด่านนี้ถูกเรียกขานว่า ‘ใช้ถ้อยคำที่มาจากปอด เยี่ยมเยือนขอคำแนะนำจากอริยะปราชญ์’ (ถ้อยคำที่มาจากปอดเป็นคำที่แปลตรงตัวจากประโยคว่า 肺腑之言 ซึ่งถ้าแปลโดยภาพรวมจะหมายถึงถ้อยคำที่ออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ)
อันที่จริงเหมาเสี่ยวตงค่อนข้างเป็นกังวลกับด่านนี้
ในความเป็นจริงแล้วครั้งแรกที่ไปเยือนศาลบุ๋นประจำเมืองหลวงต้าสุย การที่ไม่เพียงแต่ต้องการเอาส่วนปันผลของสำนักศึกษาซานหยากลับมา ยังยืมเครื่องดนตรีและภาชนะที่ใช้ในการเซ่นไหว้เพิ่มขึ้นด้วย นั่นก็เพราะเหมาเสี่ยวตงกลัวว่าการหลอมวัตถุของเฉินผิงอันจะเกิดช่องโหว่ตรงจุดนี้ ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ไม่เคยสัมผัสกับวิชาการฝึกตนของลูกศิษย์สำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อมาก่อน อีกทั้งยังไม่มีทางลัดที่สามารถปิดฟ้าข้ามทะเลให้เดิน จึงได้แต่ใช้ภาชนะของศาลบุ๋นที่กักเก็บโชคชะตาบุ๋นไว้อย่างเข้มข้นมาเป็นตัวชดเชย พยายามฝืนฝ่าด่านไปให้ได้
แต่ยังดีที่เฉินผิงอันทำได้ดียิ่งกว่าที่ผู้เฒ่าจิตนาการเอาไว้
นี่หมายความว่าการอ่านหนังสือของเฉินผิงอันได้อ่านเข้าหัวไปจริงๆ ทั้งคนอ่านหนังสือและหลักการเหตุผลที่อยู่ในตำราต่างก็ยอมรับซึ่งกันและกัน ดังนั้นนี่จึงกลายเป็นรากฐานในการหยัดยืนของตัวเฉินผิงอันเอง ก็เหมือนกับระหว่างทางที่เหมาเสี่ยวตงพาเฉินผิงอันเดินไปศาลบุ๋นแล้วพูดชวนคุยว่า ตัวอักษรในตำราไม่มีขาให้เดินเอง ไม่อาจวิ่งเข้ามาในท้อง บินเข้ามาในหัวใจของคนได้ ต้องให้ตัวเองไป ‘ขบให้แตก’ ขบให้แตกคำเดียวกับประโยคว่าอ่านหมื่นตำราให้แตกฉาน! หลักการเหตุผลของลัทธิขงจื๊อยิบย่อยมากมายก็จริง แต่ไม่เคยเป็นกรงขังที่พันธนาการผู้คน นั่นต่างหากจึงจะเป็นรากฐานของการทำตามใจปรารถนาได้โดยไม่ละเมิดกฎเกณฑ์
เหมาเสี่ยวตงสะทกสะท้อนใจ
ศาลบุ๋นอันเป็นศาลดั้งเดิมในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแห่งนั้นมีห้องโถงความรู้แห่งหนึ่งที่ลึกลับไม่เปิดเผยแก่คนภายนอก ซึ่งภายในเต็มไปด้วยบทความและประโยคหลักการเหตุผลที่เหล่าอริยะปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อทิ้งไว้ในใต้หล้าไพศาล อีกทั้งยังได้รับการยอมรับจากฟ้าดิน
ตัวอักษรมีเล็กใหญ่ แสงสีทองมีทั้งเข้มข้นและบางเบา
ตัวอักษรสีทองที่อยู่ใกล้พื้นมากที่สุด ส่วนใหญ่แล้วหากตัวอักษรยิ่งใหญ่เท่าไหร่ แสงที่เปล่งออกมาก็จะยิ่งสว่างบริสุทธิ์มากเท่านั้น
บรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาหรือไม่ก็ผู้มีความสามารถรุ่นหลังที่มีชื่อเสียงของเมธีร้อยสำนักจำนวนมากชื่นชมเลื่อมใสสถานที่แห่งนี้ พวกเขาสามารถร่ายใช้วิชาอภินิหารทำให้บทความในจุดสูงบางส่วนที่แต่ละตัวอักษรหนักนับหมื่นชั่ง แน่วนิ่งไม่ขยับดุจขุนเขาทั้งห้าในแผ่นดินกลาง มากพอจะทิ้งชื่อเสียงอันหอมหวนไว้ได้นานนับร้อยปีโยกคลอน หรือถึงขั้นย้ายตัวอักษรจำนวนมากในบทความไปไว้ที่อื่นได้ตามแต่ใจปรารถนา ทว่าจนถึงทุกวันนี้กลับยังไม่มีใครที่สามารถขยับเคลื่อนตัวอักษรสีทองที่เหมือนเมล็ดข้าวโพดขนาดใหญ่ยักษ์ที่อยู่บนพื้นเหล่านั้นได้เลย
เพราะนั่นคือความรู้อันเป็นรากฐานของปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่ง
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ สีทองของตัวอักษรบางตัวของปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่งที่ลอยอยู่ในจุดสูงของโถงความรู้ก็ยังจืดจางและสลายหายไปด้วยตัวเอง ในประวัติศาสตร์ลับของศาลบุ๋น ครั้งแรกที่เหตุการณ์เช่นนี้ปรากฏขึ้น ทำให้เหล่าอริยะในสถานศึกษาตื่นตะลึงพรึงเพริด แม้แต่รองเจ้าขุนเขาลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งที่เฝ้าพิทักษ์ศาลบุ๋นในเวลานั้นก็จำต้องรีบไปอาบน้ำผลัดเสื้อผ้า แล้วไปจุดธูปอัญเชิญปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!