กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 414

เฉินผิงอันเปิดปากถาม “อาจารย์ที่สอนในโรงเรียนก็คือวิญญูชนและนักปราชญ์ที่คัดเลือกมาจากสำนักศึกษามาอย่างตั้งใจงั้นหรือ?”

เหมาเสี่ยวตงส่ายหน้า “ย่อมไม่ใช่ ไม่อย่างนั้นก็ไร้ความหมายแล้ว เพราะต่อให้ประสบความสำเร็จ อย่างมากสุดประเพณีนิยมของหนึ่งแคว้นก็จะเปลี่ยนเป็นของหนึ่งทวีป ทว่ากลับจะทำให้อีกแปดทวีปที่เหลือหิวตาย ใช้โชคชะตาบุ๋นของแปดทวีปมาประคับประคองความสงบสุขของหนึ่งทวีป มีความหมายที่ใด? ดังนั้นภายใต้การจับตามองของแต่ละฝ่าย สกุลหลิวแห่งธวัลทวีปจึงเตรียมการลับๆ มาล่วงหน้าเกือบสี่สิบปี ไม่ว่าจะด้านใดก็ล้วนต้องให้ได้รับการยอมรับจากตัวแทนของเมธีร้อยสำนัก ขอแค่มีใครคนหนึ่งปฏิเสธก็จะนำมาปฏิบัติจริงไม่ได้ นี่ก็คือครั้งเดียวที่หลี่เซิ่งยอมเผยโฉมเพื่อเสนอข้อเสนอเพียงหนึ่งเดียว”

เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดไม่สมดังใจปรารถนา?”

เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ “ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางเกิดศึกตรีจตุตามมาในภายหลัง”

เฉินผิงอันจมอยู่ในภวังค์ความคิด ใคร่ครวญว่าเหตุใดถึงได้ล้มเหลว

ความคิดของเขายุ่งเหยิงพัวพันกันเป็นปม

เหมาเสี่ยวตงพูดเบาๆ “นับแต่ปรมาจารย์มหาปราชญ์ไปจนถึงหลี่เซิ่ง ท่านหนึ่งคือผู้บรรยายคุณธรรมเมตตาธรรม อีกท่านหนึ่งคือผู้สร้างกรอบของกฎเกณฑ์ เพราะอะไร?”

เหมาเสี่ยวตงถามเองตอบเอง “ก่อนจะตอบคำถามข้อนี้ ข้าเองก็เคยขอความรู้จากคนผู้นั้นมาก่อนว่า ทำไมหลังจากที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่งได้สร้างระบบดั้งเดิมและได้รับการยกย่องให้เป็นระบบเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้าไพศาลแล้ว ถึงยังยอมรับเมธีร้อยสำนักไว้ได้อีก? เหตุใดถึงไม่เหลือแค่ความรู้ของลัทธิขงจื๊อไว้อบรมสั่งสอนปวงประชาอย่างเดียว? คำตอบของคนผู้นั้นทำให้คนหัวทึบเหมือนตอไม้อย่างข้าพลันกระจ่างแจ้ง ถึงได้รู้ว่าที่แท้ฟ้าดินก็กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ คนผู้นั้นบอกว่าเพราะมรรคาจารย์เต๋าได้เห็นหนึ่งนั้น (หนึ่งนั้นในที่นี้มาจากภาษาจีนว่า 那个一 ‘น่าเก่ออี’ ซึ่งอีหรือหนึ่งสามารถตีความได้หลากหลาย ในเนื้อเรื่องยังไม่เฉลยว่าหนึ่งที่ว่านี้คืออะไร) จลาจลความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในตอนนั้นถึงได้ย้ายไปอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ และใต้หล้าไพศาลของพวกเราก็ไม่ได้ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ปีศาจจนสิ้น ศาสดาพุทธเองก็ทิ้งไว้เพียงหนึ่งประโยคที่เป็นการทำนายบอกว่าสักวันหนึ่งยุคแห่งความเสื่อมจะมาถึง ‘กาลต่อจากนี้ ผู้บวชเป็นพระ แม้จะโกนผมโกนเครา สวมห่มจีวร แต่พวกเขากลับทำลายกฎเกณฑ์ ไม่ดำรงอยู่ในหลักธรรม’”

เหมาเสี่ยวตงถามกลับ “เจ้าคิดว่าทั้งสามท่านนี้ต้องการอะไร?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าไม่รู้

เหมาเสี่ยวตงจึงกล่าวว่า “คนผู้นั้นบอกข้าว่า เขาเองก็ไม่รู้คำตอบเหมือนกัน แต่บางทีอาจเป็นเพราะหวังให้สรรพชีวิตบนโลกใบนี้มีอิสระเสรีที่ใกล้เคียงกับความหมายที่แท้จริง ความอิสระเสรีที่เจ้าไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนเพิ่มเติมก็สามารถบรรลุถึงได้”

เหมาเสี่ยวตงถาม “เข้าใจหรือไม่?”

เฉินผิงอันตอบไปตามตรง “ไม่เข้าใจ”

เหมาเสี่ยวตงคลี่ยิ้ม “เฉินผิงอัน เจ้าไม่จำเป็นต้องซักไซ้หาคำตอบของคำถามประเภทนี้ในเวลานี้”

เหมาเสี่ยวตงลุกขึ้นยืน ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นห่างจากพื้นชุ่นกว่า จากนั้นก็ยกขึ้นสูงอีกสองครั้ง “ความรู้มากมายในทุกวันนี้ การรู้รากฐานและความหมายที่แท้จริงของพวกมันจำเป็นต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอน เดินขึ้นสูงไปทีละก้าว ถ้าเช่นนั้นคนผู้หนึ่งไม่ว่าจะยืนอยู่สูงแค่ไหน จิตใจก็ล้วนมั่นคงได้เสมอ ไม่ต้องไปสนใจพวกวิชานอกรีตที่สะเปะสะปะยุ่งเหยิงเหล่านั้น อย่างน้อยบัณฑิตอย่างพวกเราก็ควรจะเป็นเช่นนี้”

เฉินผิงอันนึกถึงเรื่องที่ตนพูดคุยกับเหยาจิ้นจือบนยอดเขาของราชวงศ์ต้าเฉวียน เกี่ยวกับวงกลมที่จากในไปนอก จากเล็กไปใหญ่ก็พลันคลี่ยิ้มอย่างเข้าใจ “เรื่องนี้ข้าเข้าใจ”

เหมาเสี่ยวตงกลับมานั่งที่เดิม ยิ้มถามว่า “เข้าใจจริงรึ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจจริงๆ”

เหมาเสี่ยวตงยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคี มีครบทั้งสามอย่างแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มหลอมวัตถุได้แล้ว”

เฉินผิงอันหลับตาลงก่อน ครั้นจึงสูดลมหายใจเบาๆ หนึ่งที

หัวใจบุ๋นสีทองดวงหนึ่งลอยนิ่งๆ อยู่เบื้องหน้าเขา

เฉินผิงอันยังคงไม่รีบร้อนใช้ปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธที่บริสุทธิ์ไป ‘เปิดเตาจุดไฟ’ แต่เขากลับหวนนึกถึงเรื่องหนึ่งตอนที่ตนยังอยู่ในบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงสมัยยังเป็นเด็กหนุ่ม

วันที่สองเดือนสอง มังกรเงยหัว ส่องไฟตามเสาคาน กิ่งไม้ท้อตีผนัง งูและแมลงไร้ที่หลบซ่อนในโลกมนุษย์…

นั่นต่างหากจึงจะเป็นจุดเริ่มต้นแรกสุดที่เฉินผิงอันออกท่องยุทธภพ

เวลานั้นเขายังไม่พบเจอใครหลายๆ คน

แต่พอเดินไปทีละก้าวก็เริ่มพบไปทีละคน

ฝึกวิชาหมัดไม่เหน็ดเหนื่อย เรียนหนังสือก็คุ้มค่ามาก

ที่แท้การยืนหยัดที่จะใช้เหตุผลพูดคุยกับผู้อื่นก็ใช่ว่าจะสบายใจทุกครั้งไป แต่กลับไม่เคยทำให้เสียใจภายหลัง

ที่แท้ข้าเฉินผิงอันก็มีวันนี้ได้เหมือนกัน

ที่แท้แม่นางหนิงก็สายตาดีขนาดนี้เชียวหรือ?

เหมาเสี่ยวตงดุอย่างขุ่นเคือง “สภาพจิตใจลิงโลดเกินไปแล้ว รีบหยุดเดี๋ยวนี้!”

เหมาเสี่ยวตงเกือบจะยกไม้บรรทัดฟาดออกไป พูดสั่งสอนอย่างกรุ่นโกรธว่า “ต่อให้มีแม่นางที่ชื่นชอบก็ควรจะหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปนึกถึง! ถึงเวลานั้นใครจะไปสนว่าเจ้าจะคิดถึงนางสักกี่ชั่วยาม จะอารมณ์ดีจนมีบุปผาผลิบานอยู่ในใจเลยหรือไม่?! ไม่รู้จักหนักจักเบาเสียเลย!”

เฉินผิงอันรีบเช็ดใบหน้าอย่างขลาดๆ เก็บรอยยิ้มลงไปแล้วเริ่มทำจิตใจให้สงบนิ่งมั่นคงอีกครั้ง

มองดูเหมือนเหมาเสี่ยวตงโมโหอย่างมาก แต่อันที่จริงในใจกลับแอบหัวเราะ พูดกับตัวเองว่า อาจารย์ เรื่องนี้ศิษย์ทำได้ดีหรือไม่? จะขอคำชมจากอาจารย์สักคำคงไม่มากเกินไปกระมัง?

……

ขณะที่เฉินผิงอันกำลังนั่งตรงข้ามกับเหมาเสี่ยวตงอยู่บนยอดเขาภูเขาตงหัว

ในสำนักศึกษาก็มีคนสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน ต่งจิ้งผู้รอบรู้ที่เชี่ยวชาญวิชาอสนีและหลินโส่วอีที่ถือเป็นลูกศิษย์ของเขาครึ่งตัว

เวลานี้ฟ้าดินเงียบสงัดและหยุดนิ่ง เป็นลางว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลากำลังจะเผยตัว ต่งจิ้งขมวดคิ้ว มองเห็นว่าแสงสว่างทางจิตวิญญาณของหลินโส่วอีกำลังจะหยุดตามไปด้วย เขาจึงโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง สลายฟ้าดินขนาดเล็กทิ้งไป เพียงแต่ว่าการทำเช่นนั้นค่อนข้างกินแรงผู้รอบรู้ท่านนี้อยู่มาก

ต่งจิ้งกล่าวเสียงทุ้มหนัก “อย่าวอกแวก ทำให้เหมือนการอ่านหนังสือ เมื่อพบเจอบทความอริยะปราชญ์ที่มหัศจรรย์จนมิอาจบรรยาย จิตใจสามารถจมจ่อมไปกับมัน นั่นถือเป็นความสามารถ หากดึงออกมาได้ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงฝีมือ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นได้แค่หนอนหนังสือไปชั่วชีวิต จะมีโอกาสขานรับกับความรู้ของอริยะปราชญ์ได้อย่างไร?!”

หลินโส่วอีพยักหน้ารับ

ต่งจิ้งพูดหัวข้อก่อนหน้านี้ต่ออีกครั้ง “ไม่ต้องรีบร้อน พยายามบุกเบิกช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตเพิ่มอีกสองแห่ง การฝ่าทะลุขอบเขตก็จะไม่สายไป การฝึกตนของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊ออย่างพวกเรา พรสวรรค์ในการฝึกตนไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ลัทธิขงจื๊อได้กลายเป็นระบบหลักดั้งเดิมของใต้หล้าไพศาลแล้ว การฝึกตนของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ หากสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็คือการฝึกฝนหาวิชาความรู้นั่นเอง หลินโส่วอี ข้าถามเจ้า เหตุใดทั้งๆ ที่คนมากมายบนโลกรู้จักหลักการเหตุผลในตำราหลายเล่ม แต่กลับยังคงเลอะเลือนมึนงง หรืออาจถึงขั้นไม่อาจหยัดยืนได้ตรง?”

หลินโส่วอีตอบเสียงทุ้ม “ไม่รู้รากฐานต้นตอของหลักการเหตุผลหรือความรู้ ก็ย่อมไม่รู้ว่าควรจะใช้หลักการเหตุผลมาอยู่ร่วมกับผู้อื่นบนโลกอย่างไร เป็นเหตุให้เมื่อได้รับคำพูดล้ำค่าที่แต่ละคำหนักดุจทองพันชั่งมาอยู่ในมือ แต่กลับเป็นเหมือนปุยฝ้ายที่ไม่เกาะเป็นกลุ่มก้อน เมื่อลมพัดมาก็พร้อมที่จะปลิวปรายไปตามสายลม ไม่อาจป้องกันความหนาว ถึงเวลาก็ได้แต่บ่นว่าหลักการเหตุผลไม่ใช่หลักการเหตุผล เหลวไหลสิ้นดี”

“เจ้าพูดถูกแค่ครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่ผิดนั้นอยู่ที่ว่าหลักการความรู้มากมายของอริยะปราชญ์ เดิมทีก็ไม่ใช่สิ่งที่คนบนโลกใช้สองมือคว้าจับไว้ได้ แต่พวกมันจะไปพักพิงอยู่มุมหนึ่งในใจเงียบๆ”

ต่งจิ้งพยักหน้าอย่างชื่นชม “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ข้าจะพูดประโยคของอริยะปราชญ์กับเจ้าแค่ประโยคเดียว พวกเรามาหาความรู้จากประโยคนี้กัน”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!