ซ่งจี๋ซินเอนตัวพิงราวระเบียง ครุ่นคิดแล้วก็ตอบว่า “มีชีวิตดีๆ มาจนเคยชินแล้วน่ะสิ พอต้องเจอกับความอยุติธรรมนิดๆ หน่อยๆ เลยรับไม่ได้”
สีหน้าจื้อกุยกระจ่างแจ้ง “แบบนี้เองหรือ ถ้าอย่างนั้นนิสัยของบ่าวก็ดีกว่าพวกเขามากเลย”
ซ่งจี๋ซินเข้าใจผิดนึกว่านางพูดถึงเรื่องหยุมหยิมไม่มีสาระในตรอกทั้งหลายที่อยู่ใกล้เคียงของปีนั้น จึงยิ้มกล่าวว่า “รอให้คุณชายได้ดิบได้ดีเมื่อไหร่ จะต้องช่วยระบายโทสะแทนเจ้าแน่”
จื้อกุยอืมรับหนึ่งที แล้วถามว่า “หนังสือสามเล่มนั้น คุณชายยังมองอะไรไม่ออกอีกหรือ?”
ซ่งจี๋ซินเหนื่อยล้าเล็กน้อย เขาหลับตาลง ยกสองมือนวดคลึงข้างแก้ม “ไม่แน่ว่าอาจเป็นแค่ตำราทั่วไป ทำให้ข้าสงสัยโน่นนี่อยู่เป็นนาน”
ซ่งจี๋ซินพลันสอดมือเข้าไปในชายแขนเสื้อ หยิบงูสี่ขาสีเหลืองดินที่ลักษณะเหมือนงูสี่ขาทั่วไปในป่าเขาออกมาโยนลงบนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ “ตอนอยู่ในงานเลี้ยงเชียนโซ่วเยี่ยน มันกระเหี้ยนกระหือรือเต็มที หากไม่เป็นเพราะสวี่รั่วใช้ปราณกระบี่กำราบเอาไว้ เกรงว่ามันคงพุ่งไปกัดหัวฮ่องเต้ต้าสุยเอามากินเป็นอาหารมื้อดึกแล้ว”
สาวใช้ย่อตัวลงนั่งยอง หยิบเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งออกมาวางบนฝ่ามือ
งูสี่ขาตัวนั้นทำท่าขลาดกลัว ยังคงไม่กล้าเขมือบกลืนอาหารเลิศรสนั่น
ซ่งจี๋ซินก้มตัวลงมองเจ้าตัวน้อยที่บนหน้าผากมีเขางอกออกมาแล้วกล่าวอย่างระอาใจว่า “ดูท่าทางขี้ขลาดของเจ้านี่สิ แล้วก็ลองมองงูน้ำที่ทะเลสาบเจี่ยนหูตัวนั้น ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ”
ซ่งจี๋ซินไม่สนใจมันอีก เขาอ้าปากหาวหวอด เดินไปนอนในห้องที่อยู่ด้านใน
จื้อกุยแกว่งฝ่ามือ งูสี่ขายังคงไม่กล้าเดินขึ้นหน้ามา
“ถือว่าเจ้ายังรู้ความ”
จื้อกุยยิ้มตาหยีโยนเงินฝนธัญพืชใส่เข้าปากตัวเอง เจ้าตัวน้อยส่งเสียงฟ่อเบาๆ คล้ายน้อยเนื้อต่ำใจ
จื้อกุยกำหมัดต่อยลงบนหัวของมัน “สามปีไม่เปิดกิจการ เปิดกิจการทีกินได้สามปี แค่นี้ก็ไม่เข้าใจหรือ?”
นางลุกขึ้นยืน เตะงูสี่ขาตัวนั้นกระเด็นเข้าไปในลานบ้าน “ไม่มีความสามารถสักนิด แต่ยังกล้าปรารถนาอยากครอบครองคราบร่างเซียนบรรพกาลของราชครู แอบน้ำลายไหลก็ยังพอว่า แต่นี่ยังทำให้คนเขาจับได้อีก ทำไมข้าถึงต้องมาเจอเจ้าตัวที่มือไม้พายเอาเท้าราน้ำอย่างเจ้าด้วยนะ”
จื้อกุยนั่งลงบนขั้นบันได ถอดรองเท้าปักออกมาข้างหนึ่ง กวักมือเรียกมันมา
เจ้าตัวน้อยวิ่งมาหยุดอยู่ข้างเท้านางแต่โดยดี นางที่ยังโมโหจึงยกรองเท้าปักลวดลายตบลงบนตัวเจ้าตัวเล็กครั้งแล้วครั้งเล่า
……
บนภูเขาพีอวิ๋นเขตการปกครองหลงเฉวียน สำนักศึกษาหลินลู่ที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ เกาเซวียนองค์ชายแห่งต้าสุยมาขอศึกษาต่อที่นี่ ทั้งต้าสุยและต้าหลีต่างก็ไม่ได้จงใจจะปิดบังเรื่องนี้
นี่เป็นครั้งที่สองที่เกาเซวียนได้เข้ามาในเขตการปกครองหลงเฉวียน แต่ครั้งแรกนั้นเขาต้องเดินผ่านบันไดทอดฟ้าขึ้นไปยังถ้ำสวรรค์หลีจูที่อยู่บนท้องฟ้า ครั้งนี้กลับอยู่บนดิน อยู่บนอาณาเขตของต้าหลีอย่างแท้จริง
ตอนนี้ภูเขาพีอวิ๋นคือขุนเขาเหนือของต้าหลี ภูเขาคือลูกใหม่ สำนักศึกษาก็คือแห่งใหม่ ตั้งแต่อาจารย์ผู้ถ่ายทอดความรู้ไปจนถึงปัญญาชนหนุ่มสาวที่มาขอศึกษาต่อก็ล้วนถือว่าเป็นคนใหม่
สำนักศึกษาหลินลู่คือสำนักศึกษาที่ราชสำนักต้าหลีเป็นผู้สร้าง ไม่มียศหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษา เจ้าขุนเขาและรองเจ้าขุนเขาไม่มีชื่อเสียงมากนัก หนึ่งในนั้นก็คือรองเจ้ากรมผู้เฒ่าจากแคว้นหวงถิงที่ในอดีตเคยเป็นแคว้นใต้อาณัติของต้าสุย แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าสำนักศึกษาหลินลู่ต้องพุ่งเข้าหา ‘เจ็ดสิบสอง’ อย่างแน่นอน นี่เป็นสิ่งที่สกุลซ่งต้าหลีต้องครอบครองให้จงได้
ตอนแรกเริ่มเกาเซวียนยังนึกว่าตัวเองที่อยู่ในสำนักศึกษาจะต้องพบเจอกับความขัดแย้งมากมาย อย่างน้อยก็ต้องถูกคนดูแคลนหรือทำตัวเย็นชาใส่ ไม่ก็ลองหยั่งเชิงด้วยเจตนาร้าย เหมือนอย่างที่พวกหลี่เป่าผิงและอวี๋ลู่ที่ไปอยู่สำนักศึกษาซานหยาบนภูเขาตงหัวโดนกระทำ จะอย่างไรก็ต้องเจอกับความยากลำบากที่ถูกรังแกบ้าง แต่เกาเซวียนมาอยู่สำนักศึกษาหลินลู่ได้ไม่กี่เดือนก็ต้องรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะดูเหมือนว่านับตั้งแต่อาจารย์มาจนถึงลูกศิษย์ พวกเขาต่างก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับลูกศิษย์หรือเพื่อนร่วมชั้นอย่างองค์ชายจากแคว้นศัตรูเช่นเขาเท่าไหร่ แทบจะไม่มีใครเผยความเป็นศัตรูออกมาอย่างชัดเจน
เกาเซวียนยังเคยฉงนสนเท่ห์กับเรื่องนี้อยู่พักใหญ่ ภายหลังถึงได้รับคำชี้แนะจากบรรพบุรุษสกุลเกาเกอหยางที่มาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนภูเขาพีอวิ๋น
ในระยะเวลาสั้นๆ แค่ร้อยปี ราชวงศ์ต้าหลีก็เปลี่ยนจากแคว้นที่พึ่งพาราชวงศ์สกุลหลู เปลี่ยนจากขันทีที่มีส่วนร่วมกับงานบริหารบ้านเมืองและพระญาติที่กุมอำนาจในช่วงยุคแรกซึ่งไม่ต่างจากบ่อโคลนเละๆ เติบโตกลายมาเป็นผู้พิชิตพื้นที่ทางเหนือของแจกันสมบัติทวีปอย่างในทุกวันนี้ ในช่วงเวลานี้มีศึกสงครามเกิดขึ้นไม่หยุดย่อน พวกเขาคอยต่อสู้อยู่ตลอดเวลา มีคนตายอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งฮุบกลืนแคว้นเพื่อนบ้านใกล้เคียง ต่อให้ชาวบ้านของเมืองหลวงต้าหลีจะเป็นคนที่มาจากสี่ด้านแปดทิศ ไม่มีฐานะและตัวตนอย่างคนมากมายในราชสำนักต้าสุย ตอนนี้เป็นเช่นไร เหล่าบรรพบุรุษของพวกเขาเมื่อสองสามร้อยปีก่อนก็เป็นเช่นเดียวกัน
เกาเซวียนรู้เพียงแค่นี้ก็กระจ่างแจ้ง น้ำที่ไหลอยู่ตลอดเวลาย่อมไม่เน่า วงกบประตูที่ถูกเปิดตลอดเวลามอดย่อมไม่กิน (อุปมาว่าเมื่อฝึกปรือฝีมือตลอดเวลาก็ย่อมเกิดความคล่องชำนาญ)
แต่บรรพบุรุษสกุลเกาที่เคยอาศัยอยู่ในเมืองหลวงต้าสุย ใช้ฐานะของนักเล่านิทานปะปนอยู่กับหมู่ชาวบ้านกลับเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “น้ำไหล? เลือดไหลน่ะสิไม่ว่า”
ยามที่เกาเซวียนมีเวลาว่างก็มักจะสะพายหีบหนังสือไปท่องเที่ยวตามภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกของเขตการปกครองหลงเฉวียนเพียงลำพัง บ้างก็ไปเดินเล่นตามตรอกซอกซอยของเมืองเล็ก หรือไม่ก็ไปเที่ยวในเมืองที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ทางทิศเหนือ อีกทั้งยังตั้งใจเดินอ้อมเล็กน้อยเพื่อไปจุดธูปที่ศาลภูเขาแห่งหนึ่งทางทิศเหนือ ระหว่างทางก็แวะกินเกี้ยวน้ำ เจ้าของร้านแซ่ต่ง เป็นคนหนุ่มร่างสูงใหญ่ มักจะปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความมีไมตรีปรองดอง ไปๆ มาๆ เกาเซวียนจึงกลายเป็นเพื่อนกับเขา หากต่งสุ่ยจิ่งไม่ยุ่งก็จะเข้าครัวทำกับข้าวธรรมดาสองจาน แล้วคนทั้งสองก็กินแกล้มเหล้าด้วยกัน
บางครั้งเกาเซวียนก็จะไปเยือนบ้านหลังหนึ่งที่ไม่มีคนอยู่อาศัยแล้ว ว่ากันว่าเจ้าของบ้านคือบุรุษที่มีนามว่าหลี่เอ้อร์ ตอนนี้บ้านหลังนี้ถูกคนบ้านเดิมฝั่งภรรยาของเขายึดครองไปแล้ว กำลังคิดว่าจะเอามาขายในราคาสูง เพียงแต่ว่าดูเหมือนจะติดขัดที่ฝ่ายอาคารบ้านเรือนของที่ว่าการอำเภอ เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีโฉนดที่ดิน
ในหีบหนังสือของเกาเซวียนมีข้องราชามังกรอยู่ใบหนึ่ง
ทุกวันเขาจะต้องใช้เวทลับที่บรรพบุรุษสกุลเกาถ่ายทอดให้ นำเงินร้อนน้อยมาหลอมเล็กแล้วกรอกเทเข้าไปข้างใน เป็นเหตุให้ปราณวิญญาณที่อยู่ในนั้นเข้มข้นราวกับน้ำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!