คงเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงความไม่คงที่ของสภาพจิตใจเฉินผิงอัน
เหมาเสี่ยวตงจึงไม่ได้เรียกเฉินผิงอันมาที่ห้องหนังสือ แต่เลือกช่วงเวลากลางดึกที่เงียบสงัดไร้ผู้คนพาเฉินผิงอันไปเดินเที่ยวทั่วสำนักศึกษา
เดินเล่นพลางพูดคุยกันไป เหมาเสี่ยวตงมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติตัวยามอยู่ร่วมกับผู้อื่นหรือยามที่สอนหนังสืออบรมผู้คน เขาจะรักษากฎข้อหนึ่งเอาไว้ ข้าสอนความรู้ที่มีในตำราให้แก่เจ้า พูดถึงหลักการเหตุผลของตัวเอง จะเป็นลูกศิษย์ในสำนักศึกษาก็ดีหรือเฉินผิงอันศิษย์น้องเล็กก็ช่าง พวกเจ้าลองฟังดูก่อน ถือซะว่าเป็นคำแนะนำอย่างหนึ่ง ไม่แน่เสมอไปว่าจะเหมาะสมกับเจ้า แต่อย่างน้อยพวกเจ้าก็สามารถอาศัยสิ่งนี้มาเปิดโลกทัศน์ให้กว้างไกลมากขึ้น
เฉินผิงอันกับเหมาเสี่ยวตงเดินผ่านโถงนักปราชญ์ที่แขวนภาพอริยะทั้งสามท่านเอาไว้ เดินผ่านหอเก็บตำราที่มีแสงตะเกียงสว่างไสวราวแสงดาว เดินผ่านหอพักที่มีเสียงกรนหรือไม่ก็เสียงพึมพำของคนละเมอดังลอยมา
สุดท้ายคนทั้งสองก็เดินมาถึงบนยอดเขา ก้มหน้ามองทัศนียภาพยามค่ำคืนของเมืองหลวงต้าสุยไปพร้อมกัน
แถบของคนมีเงิน แสงไฟสว่างไสวเรืองรองติดกันเป็นแถบ แม้จะอยู่ห่างขนาดนี้ก็ราวกับว่ายังสามารถได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะเคล้าเสียงดนตรีบรรเลงของที่แห่งนั้นได้
แถบของคนอยากจนก็มีแสงจันทร์เคียงข้าง แล้วก็มีกลิ่นของอาหารลอยโชยมา
เฉินผิงอันพลันกล่าวว่า “เจ้าขุนเขาเหมา ข้าคิดได้แล้ว หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าชิ้น รวบรวมให้ครบห้าธาตุก็เพื่อสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่ แต่ข้ายังอยากจะฝึกหมัดให้ดีมากกว่า ถึงอย่างไรการฝึกหมัดก็คือการฝึกกระบี่ ส่วนข้อที่ว่าจะสามารถบ่มเพาะให้เกิดกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเอง กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งได้หรือไม่ ข้ายังไม่ไปคิดถึงมัน ดังนั้นต่อไปนี้ นอกจากช่องโพรงสำคัญที่น่าจะเหมาะกับการวางวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุแล้ว ข้าก็ยังจะต้องหล่อเลี้ยงปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์ที่บริสุทธิ์ในร่างขุมนั้นให้เต็มที่ที่สุด”
เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ “วางแผนทำเช่นนี้ ข้าคิดว่าเป็นไปได้ ส่วนสุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะดีหรือร้าย อย่าเพิ่งไปถามหาผลเก็บเกี่ยว แค่ลงมือเพาะปลูกไปก่อนจะดีกว่า”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที
อันที่จริงเหมาเสี่ยวตงไม่ได้พูดอย่างแจ่มแจ้ง การที่เขายอมรับในการกระทำนี้ของเฉินผิงอันเป็นเพราะการที่เฉินผิงอันแค่บุกเบิกเปิดจวนห้าแห่ง แล้วประคองสองมือมอบอาณาเขตที่เหลือให้กับปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของผู้ฝึกยุทธ อันที่จริงไม่ใช่เส้นทางสายขาด
เดิมทีในร่างของมนุษย์ก็คือฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งอยู่แล้ว แล้วก็มีคำเรียกว่าถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลด้วยเช่นกัน ต่ำกว่าโอสถทองลงไป ช่องโพรงลมปราณทั้งหมด ไม่ว่าเจ้าจะบุกเบิกขัดเกลาได้ดีแค่ไหนก็อยู่แค่ในขอบเขตของพื้นที่มงคลเท่านั้น เมื่อสร้างโอสถทองได้สำเร็จถึงจะสามารถสัมผัสกับความลี้ลับมหัศจรรย์ของถ้ำสวรรค์ได้ในชั้นต้น ตำราลัทธิเต๋าบางเล่มมีการเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ไว้อย่างชัดเจนนานแล้วว่า ‘ถ้ำโพรงในภูเขา ทอดยาวสู่ฟากฟ้า เชื่อมโยงภูผามากมาย ขานรับกันอยู่ไกลๆ ฟ้าดินร่วมปราณ ผสานรวมเป็นหนึ่ง’
ผู้ที่สร้างโอสถทองจึงจะเป็นคนรุ่นเดียวกับข้า
การที่ประโยคนี้ได้รับความนิยมไปทั่วหล้า ถูกผู้ฝึกลมปราณทุกคนยกย่องให้เป็นประโยคมาตรฐาน แน่นอนว่าต้องมีต้นสายปลายเหตุของมัน
เหมาเสี่ยวตงไม่พูด เพราะขอแค่เฉินผิงอันเดินไปข้างหน้าทีละก้าว สักวันหนึ่งก็จะต้องเดินไปถึงก้าวนั้น พูดไว้แต่เนิ่นๆ ทำให้ความปรารถนาที่งดงามผุดออกมากะทันหัน กลับอาจจะสั่นคลอนสภาพจิตใจที่กว่าจะสงบนิ่งมั่นคงได้ไม่ใช่ง่ายๆ ของเฉินผิงอันในเวลานี้
การถ่ายทอดวิชาความรู้ไม่เคยเป็นเรื่องง่าย จะไม่รอบคอบแล้วรอบคอบอีกได้อย่างไร การแกะสลักหยกงามก็ยิ่งต้องค่อยๆ ใช้มีดงัดแกะสิ่งเจือปนออก เก็บไว้เพียงแต่แก่นแท้ที่งดงาม ต้องห้ามทำลายเส้นเอ็น กระดูกและจิตวิญญาณของหยกก้อนนั้น เรื่องที่ยากถึงเพียงนี้จะกล้าไม่ขัดเกลาซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อย่างไร?
ถอยไปพูดหนึ่งก้าว เฉินผิงอันเองก็ปฏิบัติกับแม่นางน้อยที่ชื่อว่าเผยเฉียนแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ?
เพียงแต่ว่าตอนนี้ตัวเฉินผิงอันเองอาจจะยังไม่รู้ก็เท่านั้น
เหมาเสี่ยวตงเอ่ยเบาๆ “เกี่ยวกับประโยคที่อาจารย์กล่าวว่ามนุษย์นั้นเดิมทีมีสันดานชั่วร้าย ลูกศิษย์ในสำนักอย่างพวกเราต่างคนต่างก็เข้าใจไปแตกต่างกันมาตั้งนานแล้ว บางคนเงียบหายไปพร้อมกับอาจารย์ ปฏิเสธตัวเอง เปลี่ยนแปลงความคิดและท่าที บางคนก็ล้มแล้วไม่อาจลุกขึ้นมาเดินได้อีก เกิดความสงสัยในตัวเอง บางคนใช้สิ่งนี้มาสร้างชื่อเสียง ยกยอว่าตนพิเศษไม่เหมือนใคร กล่าวว่าจะเดินทวนกระแสสถานการณ์ใหญ่ ไม่ยอมร่วมกระทำความชั่วเด็ดขาด จะสืบทอดสายบุ๋นของอาจารย์พวกเราต่อไป เรื่องราวมากมายหลากหลาย จิตใจคนแปรเปลี่ยนได้ง่าย ภายในของสายบุ๋นที่แทบจะขาดสะบั้นของพวกเราก็ยิ่งมีภาพความวุ่นวายที่เกิดจากต่างคนต่างความคิด สายบุ๋นของพวกหลี่เซิ่ง หย่าเซิ่งมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทั่วหล้าอย่างจริงแท้แน่นอน แล้วลองจินตนาการดูสิว่าภายในของพวกเขาจะซับซ้อนแค่ไหน”
เหมาเสี่ยวตงตบไหล่เฉินผิงอันเบาๆ “ภาระหนักหนาและหนทางก็ยิ่งยาวไกลนี่นะ”
เฉินผิงอันยิ้มขื่น “แต่ไหล่มีสองข้าง”
เหมาเสี่ยวตงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “อย่างข้านี่เรียกว่ามองคนแบกหาบไม่เปลืองแรง มองคลื่นอยู่บนฝั่งรังเกียจว่าน้ำน้อยไป”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ ครึ่งประโยคแรกคือคำกล่าวโบร่ำโบราณของบ้านเกิดเขาเอง
……
คืนนี้เผยเฉียนกับหลี่ไหวสองคนหลบอยู่นอกเรือนหลังเล็ก คนทั้งสองนัดหมายกันไว้แล้วว่าจะโพกผ้าดำแสร้งทำเป็นนักฆ่า แอบไป ‘ลอบฆ่า’ ชุยตงซานที่ชอบนอนอยู่บนระเบียงไม้ไผ่มรกต
อ่านนิยายยุทธภพไปตั้งมากมายขนาดนั้น จะให้เสียเปล่าไม่ได้ ต้องเรียนแล้วนำมาใช้จริง!
เผยเฉียนเอากระบี่ไม้ไผ่ให้หลี่ไหวยืมอย่างใจกว้าง
คนทั้งสองปรึกษากันที่หอพักของหลี่ไหวมาแล้วหนึ่งรอบ รู้สึกว่าจะเดินเข้าไปทางประตูของเรือนพักไม่ได้ แต่ต้องปีนกำแพงเข้าไป ไม่ทำเช่นนั้นก็ไม่อาจแสดงให้เห็นถึงมาดของยอดฝีมือและความอันตรายในยุทธภพได้
หลิวกวานกับหม่าเหลียนสองคนอยากจะเข้าร่วมด้วย ทำหน้าที่เป็นทหารทัพหน้าให้แก่องค์หญิงอย่างเผยเฉียน แต่น่าเสียดายที่เผยเฉียนใช้คำพูดที่เต็มไปด้วยเหตุผลทรงพลังปฏิเสธอย่างเด็ดขาด บอกว่าพวกเขาเป็นแค่จอมยุทธเด็กน้อยที่เพิ่งออกมาเผชิญโลกกว้าง ฝีมือไม่ยอดเยี่ยมมากพอ สังหารปีศาจใหญ่ไม่ได้ก็ได้แต่พาตัวไปตายเท่านั้น
คนทั้งสองมาหยุดอยู่บนทางสายเล็กที่เงียบสงบนอกเรือนหลังเล็ก ยังคงใช้วิธีค้ำถ่อเหมือนก่อนหน้านั้น เผยเฉียนกระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพงก่อน จากนั้นจึงโยนไม้เท้าเดินป่าที่สร้างคุณความชอบใหญ่หลวงในมือให้กับหลี่ไหวที่ยืนมองตาปริบๆ อยู่ด้านล่าง
หลี่ไหวกระโดดขึ้นบนกำแพงได้อย่างไม่มีผิดพลาด เผยเฉียนมองมาด้วยสายตาชื่นชม หลี่ไหวจึงยืดอดตั้ง ลูบเส้นผมเลียนแบบคนบางคน
เพียงแต่ว่าตอนที่คนทั้งสองพลิ้วกายลงบนพื้น เผยเฉียนประหนึ่งแมวตัวเบาไร้เสียง แต่หลี่ไหวกลับร่วงลงมาดังตุ้บเสียงไม่เบา
เผยเฉียนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “หลี่ไหว เจ้าทำอะไรน่ะ เสียงดังขนาดนี้ คิดจะตีฆ้องลั่นกลองหรือไงกัน? แบบนั้นเขาเอาไว้ใช้ในสนามรบ ไม่ใช่เอามาลอบฆ่าปีศาจใหญ่อย่างลับๆ ในบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ เอาใหม่!”
หลี่ไหวรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดจึงไม่ตอบโต้ เพียงถามเบาๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะออกจากเรือนไปข้างนอกอย่างไร?”
เผยเฉียนถลึงตาใส่ “เดินออกทางประตูใหญ่สิ ถึงอย่างไรครั้งนี้ก็ล้มเหลวไปแล้ว”
คนทั้งสองเดินออกไปจากประตูเรือนที่เดิมทีก็ไม่ได้ลงกลอนเอาไว้ ไปหยุดอยู่บนทางสายเล็กนอกกำแพงเรือนอีกครั้ง
ชุยตงซานที่นอนอยู่ในระเบียงเหลือกตามองบน
เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่าอยู่ในมือ พูดท่องประโยคโหมโรงว่า “ข้าคือชาวยุทธที่อำมหิตเลือดเย็นคนหนึ่ง”
หลี่ไหวเลียนแบบทันที “ข้าคือนักฆ่าไร้ความเมตตา ข้าฆ่าคนตาไม่กะพริบ ข้าสร้างลมคาวฝนเลือดอยู่ในยุทธภพ…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!