เฉินผิงอันกลับมาที่เรือนของชุยตงซาน หลินโส่วอีและเซี่ยเซี่ยต่างก็กำลังฝึกตน
หากผู้ฝึกลมปราณเดินไปบนเส้นทางของการฝึกตนแล้วละก็ ก่อนที่จะเลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทอง การฝึกตนมักจะไม่เลือกช่วงเวลากลางวันกลางคืน
ไม่อาจไม่ตัดขาดต่อเรื่องราวทางโลก เพื่อทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไร้กิเลสปรารถนาได้
เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที
แล้วเริ่มฝึกเดินนิ่งอยู่ในลานบ้านด้วยท่าเดินกลับหัว
ใช้ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่งมาหล่อเลี้ยงบำรุงอวัยวะภายใน เส้นชีพจรและโครงกระดูกด้วยความอบอุ่น
ว่ากันว่าหลังจากเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดร่างทองแล้ว จะเรียกว่าใช้ลมปราณเป็นเก้า นั่นก็คือสามารถเลื่อนไปสู่ขอบเขตอันเลิศล้ำที่ไม่ต้องมีลมปราณออกหรือเข้าจากจมูก
เมื่อไปถึงขอบเขตสิบ หรือก็คือขอบเขตสุดท้ายของผู้เฒ่าแซ่ชุย หลี่เอ้อร์และซ่งจ่างจิ้ง ก็จะสามารถเรียกตัวเองได้ว่าฟ้าดินขนาดเล็ก ประหนึ่งทวยเทพบรรพกาลองค์หนึ่งที่เยื้องกรายมาเยือนโลกมนุษย์อย่างแท้จริง
ผู้ที่ใช้ลมปราณได้อย่างเชี่ยวชาญจะสามารถควบคุมน้ำทำให้น้ำในแม่น้ำไหลทวนกระแส ควบคุมน้ำให้ทะเลสาบมหาสมุทรเดือดพล่าน ต่อให้อยู่ท่ามกลางโรคระบาดใหญ่ เชื้อโรคทั้งหลายก็ไม่อาจกล้ำกราย หมื่นเสนียดจัญไรมิอาจรุกราน
ก็คือหลักการนี้
เฉินผิงอันพลันนึกถึงสตรีร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่พบเจอโดยบังเอิญบนถนนในช่วงที่เดินทางไปภูเขาห้อยหัว
ตอนนั้นสายตาของเฉินผิงอันยังตื้นเขิน มองความลี้ลับอะไรมากมายไม่ออก ตอนนี้ลองมาย้อนนึกดู มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่านางก็คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่ง!
ผู้ฝึกยุทธผสานมรรคา ฟ้าดินรวมเป็นหนึ่ง
ชุยตงซานไม่ได้อยู่ในเรือน
เขามาปรากฎตัวบนยอดเขาตงหัว
ยืนอยู่กับเหมาเสี่ยวตง
ชุยตงซานเอ่ยประโยคที่ไม่ค่อยจะเกรงใจนัก “หากพูดถึงเรื่องของการสอนหนังสือถ่ายทอดความรู้ เจ้าด้อยกว่าฉีจิ้งชุนมากนัก เจ้าได้แต่ซ่อมแซมแก้ไขบ้านเรือน ผนังสี่ด้านหรือหน้าต่าง แต่ฉีจิ้งชุนกลับสามารถช่วยสร้างบ้านให้กับลูกศิษย์ของตัวเองได้”
เหมาเสี่ยวตงไม่ได้ตอบโต้ชุยตงซานอย่างที่หาได้ยาก
ชุยตงซานเอ่ยเนิบช้า “จ้าวเหยาไม่ต้องกังวลเรื่องการกินการอยู่มาตั้งแต่เด็ก เกิดมาก็มีพรสวรรค์ฉลาดเฉลียว นิสัยอ่อนโยน จึงต้องสอนให้เขารู้จักสละสิ่งของบางอย่าง เข้าใจถึงความยากลำบากทุกข์ทนบนโลกใบนี้ เขาถึงจะได้รู้จักทะนุถนอมเห็นค่าของสิ่งที่ได้เรียนรู้มาและสิ่งของทุกอย่างที่อยู่ในมืออย่างแท้จริง ซ่งจี๋ซินมองดูเหมือนยโสโอหัง เฉียบคม ทว่าในใจกลับมีความน้อยเนื้อต่ำใจ ขี้ขลาด จำเป็นต้องใช้ความรู้บางอย่างของสำนักนิติธรรมที่ใกล้เคียงกับลัทธิขงจื๊อมาสร้างความแข็งแกร่งให้กับจิตใจของเขา แยกแยะกฎเกณฑ์ให้ได้อย่างชัดเจน การที่จะปกครองบ้านเมือง จำเป็นต้องละทิ้งความฉลาดเล็กๆ น้อยๆ และช่วงชิงเอาสติปัญญาขั้นสูงมาใช้ แต่ก็ต้องไม่ห่างเหินจากลัทธิขงจื๊อมากเกินไป อีกทั้งสุดท้ายยังต้องเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องด้วย ส่วนอาจารย์ของข้าเคยชินกับการที่ไม่มีอะไรแล้ว ในใจของเขาแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด แต่ก็เพราะไม่มีที่พึ่งพา ดังนั้นจึงควรต้องให้เขาเรียนรู้ที่จะหยิบบางอย่างขึ้นมา จากนั้นก็เล่าเรียนศึกษาความรู้ให้กับตัวเองอย่างต่อเนื่อง แล้วค่อยนำหลักการเหตุผลที่ตัวเองวิเคราะห์ใคร่ครวญออกมาได้มาทำเป็นหินทับท้องเรือยามที่เรือลำน้อยล่องอยู่กลางนาวาแห่งความขมขื่น นี่เรียกว่าสอนตามความสามารถของผู้เรียน การศึกษาไม่แบ่งชนชั้น”
ในที่สุดเหมาเสี่ยวตงก็เปิดปากพูด “ข้าสู้ฉีจิ้งชุนไม่ได้ ข้าไม่ปฏิเสธ แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ข้าสู้เจ้าชุยฉานไม่ได้”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เอาตัวมาเปรียบเทียบกับคนอย่างข้า เจ้าขุนเขาใหญ่เหมาไม่รังเกียจว่าจะเสียหน้าบ้างรึ?”
เหมาเสี่ยวตงกระตุกมุมปาก รังเกียจที่จะพูดต่อปากต่อคำ
ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก “จะเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่? ถึงเวลานั้นข้าจะเตรียมของขวัญแสดงความยินดีมาให้เจ้า”
เหมาเสี่ยวตงไม่ยินดีจะตอบคำถามข้อนี้ อารมณ์ของเขาเวลานี้ค่อนข้างหนักอึ้ง “ทางฝ่ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะเกิดปัญหาใหญ่หรือไม่? ตอนนี้เมธีร้อยสำนักลิงโลดกันขนาดนี้ ต่างพากันวางเดิมพันกับราชวงศ์โลกมนุษย์แห่งต่างๆ ในเก้าทวีปใหญ่ เป็นการละเมิดกฎเกณฑ์อย่างมาก ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่า…”
เหมาเสี่ยวตงไม่พูดต่ออีก
ชุยตงซานกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “ใต้หล้าไพศาลต่างก็รู้สึกว่าใช้นักโทษกลุ่มนั้นไปต้านทานเผ่าปีศาจ คือเรื่องที่พวกเราเก้าทวีปใหญ่เคยชินคิดว่าสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินและต้องเป็นหน้าที่ของพวกผู้ฝึกกระบี่ ส่วนความจริงและผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร คงต้องรอดูกันไป”
เหมาเสี่ยวตงหันหน้ามามองเขา
ชุยตงซานทอดสายตามองไปไกล “ลองเอาตัวไปอยู่ในสถานการณ์ หากเจ้าคือกากเดนเผ่าปีศาจที่หลงเหลืออยู่ในใต้หล้าไพศาล เจ้าอยากจะเป็นใบไม้ร่วงที่กลับคืนสู่รากหรือไม่? หากเจ้าคือชาวบ้านพลัดถิ่นหรือนักโทษที่ถูกกักขังอยู่ในกรงขังแห่งหนึ่ง จะอยากหันกลับมาพูด…ความในใจที่เก็บกลั้นมานานปีกับใต้หล้าไพศาลหรือไม่?”
เหมาเสี่ยวตงขมวดคิ้ว “กำแพงเมืองปราณกระบี่มีอริยะสามลัทธิเฝ้าพิทักษ์มาโดยตลอด”
ชุยตงซานคลี่ยิ้ม “ไม่พูดถึงใต้หล้าเปลี่ยวร้างทั้งแห่ง เอาแค่ครึ่งเดียว ขอแค่เต็มใจร่วมมือกัน และยินดีจ่ายค่าตอบแทนอย่างไม่เสียดาย การที่จะบุกมาโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วค่อยกลืนกินทวีปทั้งหลายในใต้หล้าไพศาล เป็นเรื่องยากนักหรือ?”
เหมาเสี่ยวตงกล่าว “ข้าคิดว่าไม่ง่าย”
ชุยตงซานไม่ได้ปฏิเสธ เขาเอ่ยเพียงว่า “ลองเปิดตำราประวัติศาสตร์อ่านให้มากๆ ก็จะรู้คำตอบเอง”
เหมาเสี่ยวตงลังเลเล็กน้อย “ทักษิณาตยทวีปที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากที่สุดมีเฉินฉุนอันที่บนไหล่แบกดวงตะวันและดวงจันทรา!”
ชุยตงซานเอ่ยเนิบช้า “ในตำราประวัติศาสตร์ก็มีคนบางส่วนที่ตายเร็ว ทิ้งชื่อเสียงอันดีงามหอมขจรพันปี ตายช้า ทิ้งชื่อเสียงเน่าเหม็นฉาวโฉ่หมื่นปี”
เหมาเสี่ยวตงกำลังจะขยับปากพูดอะไรบางอย่าง ชุยตงซานกลับหันหน้ามายิ้มให้เขาเสียก่อน “ข้าก็พูดไปส่งเดช นี่เจ้าคิดจริงจังด้วยหรือ?”
เหมาเสี่ยวตงกล่าว “หากความเป็นจริงพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าพูดเหลวไหล ถึงเวลานั้นข้าจะเลี้ยงเหล้าเจ้าเอง”
ชุยตงซานยกยิ้ม “ไม่เสียแรงที่เป็นบัณฑิตซึ่งกำลังจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบ ตบะสูงแล้ว ความใจกว้างก็เพิ่มมากตามไปด้วย”
เหมาเสี่ยวตงทอดสายตามองออกไป
ใต้หล้าไพศาลมีอาณาบริเวณกว้างขวาง แต่ละแคว้นแต่ละสถานที่ก็ย่อมมีไฟสงครามและความวุ่นวายเกิดขึ้น ทว่าโดยภาพรวมแล้วยังถือว่าสงบสุขสันติเหมือนอย่างเมืองหลวงต้าสุยแห่งนี้ พวกเด็กได้เห็นภาพเลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ ภาพคนอดยากหิวโหยยาวไกลเป็นพันลี้จากแค่ในตำราเท่านั้น ทุกๆ วันพวกผู้ใหญ่ก็แค่ต้องคิดเรื่องกินเรื่องอยู่ บัณฑิตยากจนที่ตรากตรำเล่าเรียนต่างก็อยากเป็นชาวนาในยามเช้า เป็นขุนนางในยามเย็น ปัญญาชนส่วนใหญ่ที่ได้เป็นขุนนางแล้ว ต่อให้ต้องตกอยู่ในอ่างย้อมสีขนาดใหญ่ (เปรียบเปรยถึงว่าถูกสิ่งไม่ดีแพร่มาสู่ตัว) ที่คนเปลี่ยนสิ่งของคงเดิมอย่างวงการขุนนาง ทว่าบางครั้งยามพลิกอ่านตำราช่วงดึกที่เงียบสงัดก็อาจจะยังรู้สึกละอายใจต่อคำสอนของอริยะปราชญ์ วาดฝันถึงอนาคตอันรุ่งโรจน์ยาวไกล
ชุยตงซานมองลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของสายบุ๋นซึ่งเขาเคยดูแคลนมาโดยตลอดผู้นี้ แล้วจู่ๆ ก็พลันเขย่งปลายเท้า ตบไหล่เหมาเสี่ยวตง “วางใจเถอะ ถึงอย่างไรใต้หล้าไพศาลก็ยังมีคนอย่างอาจารย์ของข้า ศิษย์น้องเล็กของเจ้า อีกอย่างก็ยังมีเวลาให้พวกเป่าผิงน้อย หลี่ไหว หลินโส่วอีเติบโต ใช่แล้ว มีประโยคหนึ่งพูดไว้ว่าอย่างไรแล้วนะ?”
เหมาเสี่ยวตงพูดประโยคมีชื่อเสียงที่สืบทอดต่อกันมาหลายรุ่นของอาจารย์ตน “สีครามเกิดจากต้นคราม แต่เข้มกว่าคราม”
ชุยตงซานกระแอมหนึ่งที “บอกตามตรง ปีนั้นที่ซิ่วไฉเฒ่าสามารถพูดประโยคนี้ออกมาได้ เป็นข้าที่มีคุณความชอบใหญ่หลวง งั้นเดี๋ยวข้าเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ให้เจ้าฟังดีกว่า ตอนนั้นข้ากับซิ่วไฉเฒ่าเดินผ่านโรงย้อมผ้าแห่งหนึ่ง เจอกับแม่นางน้อยหน้าตางดงามทรวดทรงอ้อนแอ้น…”
เหมาเสี่ยวตงคว้าไหล่ของชุยตงซานแล้วเหวี่ยงออกไปอย่างแรงจนร่างของชุยตงซานลอยหวือตกลงไปจากยอดเขาภูเขาตงหัว เขาผรุสวาทอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้าตะพาบน้อย พูดจาเหลวไหลจนติดลมเลยรึ?”
……
ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ดวงจันทร์สามดวงลอยอยู่กลางนภา
หุบเหวขนาดใหญ่ยักษ์แห่งหนึ่งที่ลักษณะคล้ายบ่อโบราณ
ถูกใต้หล้าแห่งนี้เรียกขานว่าตำหนักอิงหลิง (วิญญาณวีรบุรุษ)
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!