เฉินผิงอันตั้งใจฟังกู้ช่านจนจบ เขาไม่ได้บอกว่าผิดหรือถูก เพียงแค่ถามต่อไปว่า “แล้วหลังจากนั้น เมื่อเจ้าสามารถปกป้องตัวเองอยู่บนเกาะชิงเสียได้แล้ว ทำไมถึงยังจงใจปล่อยนักฆ่าคนหนึ่งไป จงใจให้พวกเขากลับมาลอบฆ่าเจ้าต่ออีกครั้ง?”
กู้ช่านกล่าว “นี่ก็เป็นวิธีที่ใช้สยบคนชั่วเหมือนกันนี่นา ต้องฆ่าให้พวกเขารู้สึกอกสั่นขวัญผวา หวาดกลัวจนตัวสั่น ถึงจะสะบั้นความคิดชั่วร้ายที่ถือกำเนิดขึ้นมาของศัตรูทุกคนได้อย่างเด็ดขาด นอกจากจะให้หนีชิวน้อยออกไปต่อสู้แล้ว ข้ากู้ช่านก็ต้องแสดงออกให้เห็นว่าชั่วร้ายกว่าพวกเขา ฉลาดกว่าพวกเขา ถึงจะได้! ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะกระเหี้ยนกระหือรือ รู้สึกว่ามีโอกาสให้ฉกฉวย นี่ไม่ใช่ว่าข้าพูดเหลวไหล เฉินผิงอันเจ้าเองก็เห็นแล้ว ข้าทำถึงขนาดนี้แล้ว ส่วนหนีชิวน้อยก็อำมหิตมากพอแล้วใช่ไหม? ทว่าจนกระทั่งถึงวันนี้ นักฆ่าของราชวงศ์จูอิ๋งก็ยังคงไม่ถอดใจ ยังจะมาสังหารข้าอีก ใช่ไหม? วันนี้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปด คราวหน้าต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าแน่”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ใช้นิ้วข้างหนึ่งวาดเส้นหนึ่งลงบนผิวโต๊ะ พูดพึมพำกับตัวเอง “ตามเส้นสายปลายเหตุเส้นนี้ของเจ้า ตอนนี้ข้าพอจะเข้าใจความคิดของเจ้าบ้างแล้ว อืม นี่คือเหตุผลของเจ้ากู้ช่าน อีกทั้งเมื่ออยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนยังเป็นเหตุผลที่ใช้ได้ แม้ว่าจะใช้ไม่ได้ผลเมื่ออยู่กับข้า แต่เส้นทางทุกสายในใต้หล้านี้ไม่ใช่ว่าข้าเฉินผิงอันจะยึดครองมาได้ทั้งหมด ยิ่งไม่ใช่ว่าเหตุผลของข้าจะเหมาะสมกับทุกคนและทุกสถานที่ ดังนั้นข้าจึงยังคงไม่ตัดสินว่าระหว่างพวกเราใครถูกใครผิด ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามเจ้าอีกหนึ่งคำถาม หากอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าเจ้ากับท่านอาหญิงไม่มีทางถูกทำร้าย…ช่างเถิด หากเดินไปตามเส้นทางเส้นนี้ของเจ้ากับทะเลสาบซูเจี่ยน ยังไงก็เดินผ่านทะลุไปไม่ได้อยู่ดี”
กู้ช่านมึนงงไม่เข้าใจ เฉินผิงอันยังไม่ทันพูดความคิดของตัวเองจบก็ปฏิเสธความคิดของตัวเองแล้วหรือ?
ใต้หล้านี้มีคนที่พูดเหตุผลกับคนอื่นแบบนี้ด้วยหรือไร?
เวลาทะเลาะกับคนอื่น หรือควรจะเปลี่ยนมาพูดให้น่าฟังก็คือ เวลาใช้เหตุผลกับคนอื่น เพื่อให้ตัวเองเป็นฝ่ายที่มีเหตุผล ไม่ยอมถอยให้แม้แต่ก้าวเดียว ก็ไม่ควรพูดให้อีกฝ่ายตายไปเลยหรือไง? นี่ก็เหมือนกับเวลาที่ตีกับคนอื่นแล้วต้องตีให้ฝ่ายตรงข้ามตายรวดเดียวอย่างไรล่ะ
จากนั้นกู้ช่านก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ เพียงแต่พยายามขึงหน้าตัวเองให้ตึง หากเวลานี้เขากล้าหลุดเสียงหัวเราะออกไป เขากลัวว่าเฉินผิงอันจะสะบัดฝ่ามือใส่หน้าเขาอีกรอบ ถ้าเป็นอย่างนั้นเขากู้ช่านจะเอาคืนได้หรือไง?
ก็ได้แต่ต้องทนรับไม่ใช่หรือ
อีกอย่างถูกเฉินผิงอันตบแค่ไม่กี่ที กู้ช่านไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย
ใต้หล้านี้แม้แต่ท่านแม่ก็ยังไม่ตีเขากู้ช่าน
มีเพียงเฉินผิงอันที่จะตี ไม่ใช่ว่าเกลียดเขากู้ช่าน แต่เป็นเพราะสงสารจริงๆ โมโหจริงๆ ผิดหวังจริงๆ ถึงได้ตีเขา
กู้ช่านรู้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ตรอกหนีผิงแล้ว
ทำไมในบรรดาสิบวีรบุรุษแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนผายลมสุนัขอะไรนั่น กู้ช่านถึงได้สนิทสนมกับเจ้าโง่ฟ่านเยี่ยนมากที่สุดอย่างแท้จริง?
นั่นเป็นเพราะมีเพียงคนโง่ที่เส้นประสาทในสมองขาดไปอย่างฟ่านเยี่ยนเท่านั้นถึงจะพูดประโยคโง่ๆ ทำนองว่า ‘ถูกท่านแม่ตีลงบนร่างเบาๆ ข้ากลับเจ็บปวดหัวใจ’
ตอนนี้บนใบหน้าของหนีชิวน้อยก็มีรอยยิ้มบางๆ
ไม่ว่าจะอย่างไร เฉินผิงอันก็ยังไม่เปลี่ยนไป
ต่อให้ข้ากู้ช่านจะเปลี่ยนไปมากมายขนาดนั้น เฉินผิงอันก็ยังคงเป็นเฉินผิงอันคนนั้น
เวลานี้เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนที่จะพูด
ก่อนหน้านั้นตอนอยู่ที่โต๊ะหนังสือ ขณะที่เตรียมจะยกพู่กันเขียนตัวอักษร เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองเคยพูดเรื่องหนึ่งกับเผยเฉียน เกี่ยวกับปลาจี้เดือนสามและนกสามวสันต์ ตอนนั้นเฉินผิงอันอธิบายให้เผยฉียนฟังว่า นั่นคือความหวังดีที่ล้ำค่าซึ่งสามารถพูดกับคนที่มีข้าวให้กินอิ่ม มีเสื้อผ้าให้สวมอุ่นกาย แต่กลับไม่อาจนำประโยคที่มีเมตตากรุณาเหล่านี้ไปพูดกับคนที่ใกล้จะหิวตายได้ เพราะมันไร้เหตุผล ไม่ถูกไม่ควร การที่มนุษย์เป็นมนุษย์ ขนาดคนที่ใกล้จะตายก็ยังไม่สงสาร แต่กระโดดไปสงสารนก สงสารกบ อิงตามทฤษฎีลำดับขั้นตอนที่อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งสอนเฉินผิงอัน นี่ก็คือไม่ถูกแล้ว
และเมื่อเฉินผิงอันนำประโยคที่ตัวเองเคยกล่าวไปนี้มาวางไว้ในทะเลสาบซูเจี่ยนและเกาะชิงเสีย ก็เป็นเช่นนี้
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่าทำดีหรือไม่ทำดี แต่นี่เป็นเรื่องที่ว่ากู้ช่านกับมารดาของเขาควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร
ดังนั้นเฉินผิงอันถึงได้เริ่มทบทวนตัวเอง
หลังจากแยกผิดถูกก่อนหลังแล้ว
ก็มาตัดสินว่าใหญ่หรือเล็ก
แล้วค่อยจำกัดความว่าดีหรือเลว
จะพูดเหตุผลของตัวเองกับกู้ช่านโดยกระโดดข้ามไปไม่ได้แม้แต่ขั้นตอนเดียว
หากตนยังคิดไม่ได้อย่างชัดเจน คิดไม่ได้กระจ่างแจ้งมากพอ ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ล้วนผิดไปหมด ต่อให้เป็นเหตุผลที่ถูกแค่ไหนก็เป็นแค่หอเรือนกลางอากาศหลังหนึ่งเท่านั้น
นึกถึงเหตุผลที่ตนเคยพูดกับเผยเฉียน เขาก็ไพล่นึกไปถึงบ้านเกิดของเผยเฉียนอย่างพื้นที่มงคลดอกบัว เมื่อคิดถึงพื้นที่มงคลดอกบัวก็อดที่จะนึกถึงในอดีตที่พอจิตใจของตนไม่สงบก็จะไปที่วัดซินเซียงซึ่งอยู่ใกล้กับตรอกจ้วงหยวน ไปพบภิกษุเฒ่าที่หน้าตาเมตตาปราณีในวัดคนนั้นไม่ได้ สุดท้ายนึกไปถึงประโยคก่อนตายที่ภิกษุเฒ่าผู้ซึ่งไม่ชอบเอ่ยพระธรรมเอ่ยกับตนว่า ‘ทุกเรื่องไม่ควรเดินไปบนเส้นทางที่สุดโต่ง เวลาที่ใช้เหตุผลกับคนอื่น กลัวการที่ ‘เหตุผลของข้ายึดครองความถูกต้องทั้งหมด’ มากที่สุด กลัวที่สุดว่าหากขัดแย้งกับใครก็จะมองไม่เห็นความดีของเขาอีก’
สุดท้ายเฉินผิงอันก็นึกถึงประโยคที่อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งพูดขึ้นหลังจากเมามาย เขากล่าวว่า ‘ต้องอ่านหนังสือมากเท่าไหร่ถึงกล้าพูดว่าโลกใบนี้ ‘ก็เป็นแบบนี้’ เคยพบเห็นคนมามากน้อยแค่ไหนถึงกล้าพูดว่าชายหญิงล้วน ‘เป็นเช่นนี้’? เจ้าเคยเห็นความสงบสุขและความยากลำบากมากับตาตัวเองมากน้อยเท่าไหร่ถึงกล้าสรุปว่าคนอื่นดีหรือเลว?”
ดังนั้นก่อนที่กู้ช่านจะมาถึง เฉินผิงอันจึงเริ่มยกพู่กันเขียนตัวอักษรแล้ว บนกระดาษสองแผ่นเขาแยกกันเขียนเป็นคำว่า ‘แบ่งก่อนหลัง’ ‘ตัดสินเล็กใหญ่’
กระดาษสองแผ่นวางเรียงกัน แต่เขาไม่ได้หยิบกระดาษแผ่นที่สามมาเขียนคำว่า ‘จำกัดความดีเลว’
หลังจากเขียนคำว่า ‘แบ่งก่อนหลัง’ ลงบนกระดาษแผ่นแรกแล้ว เฉินผิงอันก็เริ่มเขียนชื่อเรียงติดกัน
กู้ช่าน ท่านอาหญิง หลิวจื้อเม่า ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของเกาะชิงเสีย ศิษย์พี่ใหญ่ นักฆ่าโอสถทอง…สุดท้ายจึงเขียนว่า ‘เฉินผิงอัน’
หลังจากเขียนเสร็จ มองคำว่าผู้ถวายงาน ศิษย์พี่ใหญ่ นักฆ่า ฯลฯ ที่ไม่มีแม้แต่ชื่อแล้ว เฉินผิงอันก็เริ่มจมสู่ภวังค์การครุ่นคิด
จากนั้นกู้ช่านก็มา
จึงได้แต่วางพู่กันลง ลุกขึ้นเดินออกไปจากโต๊ะหนังสือ
เวลานี้กู้ช่านเห็นว่าเฉินผิงอันเริ่มเหม่อลอยอีกครั้ง
กู้ช่านจึงไม่ส่งเสียงดังรบกวนเขา ฟุบตัวลงบนโต๊ะ หนีชิวน้อยลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะปลุกความกล้าฟุบตัวลงบนร่างของกู้ช่าน
ศีรษะทั้งสองต่างก็จ้องมองเฉินผิงอันที่ขมวดคิ้วเป็นปม
อันที่จริงหนีชิวน้อยสงสัยใคร่รู้ในตัวของเฉินผิงอันที่เดิมทีควรจะเป็นเจ้านายของตนอย่างมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!