กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 444

สรุปบท บทที่ 444.2 กินลมเย็นจนเต็มอิ่ม: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

อ่านสรุป บทที่ 444.2 กินลมเย็นจนเต็มอิ่ม จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บทที่ บทที่ 444.2 กินลมเย็นจนเต็มอิ่ม คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

หลิวจื้อเม่าด่าขันๆ “เลิกพูดจาเหลวไหลสักที!”

จางเย่เอ่ยเนิบช้า “ถ้าอย่างนั้นเพราะอะไรกันแน่? ไม่ใช่ว่าข้าจางเย่ดูถูกตัวเอง ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ข้าช่วยอะไรได้ไม่มากจริงๆ หากจะให้ข้าไปทำหน้าที่เป็นนักรบเดนตาย ข้าไม่มีทางตอบรับเด็ดขาด ต่อให้ข้าจะรู้ว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แต่จะดีจะชั่วก็ยังมีเวลาถึงหกสิบปี นั่นถือเป็นชั่วชีวิตหนึ่งของคนธรรมดาแล้ว เวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ สุข ข้าเสพมาแล้ว ทุกข์ ข้าก็ยิ่งเผชิญมาไม่น้อย ข้าไม่ติดค้างอะไรเจ้าและเกาะชิงเสียสักนิดเดียว”

หลิวจื้อเม่าไม่ได้ตอบคำถามของจางเย่ แต่ทอดถอนใจขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ “เจ้าว่าหากในทะเลสาบซูเจี่ยนล้วนมีแต่คนอย่างเฉินผิงอัน คนแก่หนังเหนียว คนชั่วช้าที่ด้านหนึ่งก็ถูกคนด่าว่ามีโทษมหันต์สมควรตาย แต่อีกด้านหนึ่งก็มีคนเคารพยกย่องอย่างพวกเรา จะยังมีชีวิตกันอยู่ได้อีกอย่างไร? จะสร้างความเจริญก้าวหน้าให้ตัวเองได้อย่างไร?”

จางเย่ยิ้มกล่าว “ท่านเจ้าเกาะ คนแบบนี้ มีไม่มากหรอก”

หลิวจื้อเม่าหันหน้ามามองผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตประตูมังกรที่จิตวิญญาณเสื่อมโทรมท่านนี้ มองอยู่นานมาก

จางเย่ก็ไม่พูดอะไร

หลิวจื้อเม่าจึงพูดขึ้นว่า “จางเย่ เจ้าหาวันฤกษ์ดีสักวัน แล้วปลายปีของปีนี้ ไม่ต้องรอให้ถึงวันเริ่มฤดูใบไม้ผลิก็แอบออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนเงียบๆ เถอะ ไปให้ไกลสักหน่อย หาสถานที่ที่น้ำใสภูเขาเขียว ใช้เวลาหกสิบปีสุดท้ายในชีวิตตัวเองอย่างสงบสุขเถอะ”

จางเย่ขมวดคิ้วแน่น กล่าวอย่างกังขาว่า “สถานการณ์เลวร้ายถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”

หลิวจื้อเม่าลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ตอบอย่างตรงไปตรงมา “หากดูจากตอนนี้ อันที่จริงไม่ถือว่าเลวร้ายที่สุด ทว่าเรื่องราวทางโลกยากจะคาดการณ์ สกุลซ่งต้าหลีเข้ามาปักหลักอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนก็คือแนวโน้มของสถานการณ์ใหญ่ แต่หากวันใดในสมองของต้าหลีขาดเส้นประสาทไปเส้นหนึ่ง หรือไม่ก็รู้สึกว่าแบ่งส่วนแบ่งให้หลิวเหล่าเฉิงมากเกินไป คิดจะหาทางชดเชยเอาจากตัวข้า เกาะชิงเสียจะต้องถูกคิดบัญชีย้อนหลัง ถึงเวลานั้นต้าหลีหาข้ออ้างง่ายๆ สักข้อมาสังหารข้า ก็ทั้งทำให้คนในทะเลสาบซูเจี่ยนสาแก่ใจ แล้วยังจะได้สมบัติเป็นเกาะใหญ่อีกสิบกว่าเกาะไปด้วย หากข้าเป็นคนที่จัดการธุระให้กับต้าหลีก็ต้องทำอย่างนี้แน่นอน ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะเริ่มลับมีดแล้วด้วย”

หลิวจื้อเม่าตบไหล่จางเย่ “ไม่ใช่ว่าจงใจจะซื้อใจผู้อื่น หากเจ้าไม่ใช่จางเย่ ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่ฝีมือธรรมดาคนหนึ่งจะนับเป็นผายลมอะไรได้ ไหนเลยต้องให้ข้าหลิวจื้อเม่ามาพร่ำพูดด้วยความหวังดีนานเป็นครึ่งๆ วันเช่นนี้ หากมีเวลาว่างแบบนี้จริงๆ ข้าเอาไปปิดด่านฝึกตนไม่ดีกว่าหรือ? หากไม่ทันระวังฝึกได้ขอบเขตหยกดิบ ก็คอยดูกับมารดามันเถอะว่าต้าหลีจะยังกล้าลับมีด ยังตัดใจใช้วิธีเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลกับข้าได้อีกไหม เป็นขอบเขตหยกดิบเหมือนกัน หร่วนฉงผู้นั้นแทบจะถูกสกุลซ่งต้าหลียกบูชาขึ้นหิ้งอยู่แล้ว ก่อกำเนิดที่ขาดอีกแค่ครึ่งก้าวอย่างข้า เมื่อเทียบกับหร่วนฉงแล้วก็ต่างกันแค่ครึ่งขอบเขตเท่านั้น มันน่าโมโหจริงๆ”

“แต่จะว่าไปแล้ว ควรจะซื้อใจคนอย่างไร ปีนั้นก็เป็นเจ้าที่สอนข้ามาเองกับมือ”

หลิวจื้อเม่าดึงมือออกมาจากไหล่ของจางเย่ แล้วช่วยจัดสาบเสื้อของเขาให้ดูเรียบร้อยพลางยิ้มกล่าวว่า “ข้าหวังว่าบรรดาเพื่อนเก่าที่อยู่ข้างกาย ควรจะมีสักคนหนึ่งที่มีจุดจบที่ดี ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการกระทำที่ไม่เปลืองแรงอยู่แล้ว ไม่ต้องขอบคุณข้า ไม่อย่างนั้นจะดูห่างเหินกันเกินไป”

จางเย่พลันสบถด่าดังลั่น “หากมีวันที่ตะพาบเฒ่าอย่างเจ้าถูกต้าหลีหรือหลิวเหล่าเฉิงฆ่าตายจริงๆ แล้วข้าไปหลบซ่อนตัว เวลาหกสิบปีผ่านไป ข้าจะไล่ตามเจ้าไปทันคุยกับเจ้าบนเส้นทางไปปรโลกได้อย่างไร?”

จางเย่ส่ายหน้า เอ่ยเบาๆ “ข้าไม่ไป”

หลิวจื้อเม่ามองเจ้าคนที่โรคดื้อดึงกำเริบอีกแล้วผู้นี้ แล้วพูดนอกเรื่องว่า “เจ้าน่าจะเป็นสหายกับนักบัญชีของเราผู้นั้นได้ เวลาที่ฉลาดก็ฉลาดจนไม่เหมือนคนดี แต่เวลาที่รั้นขึ้นมาก็คล้ายคนโง่ที่น้ำเข้าสมอง”

จางเย่กล่าว “ตอนนี้สภาพจิตใจของเจ้าไม่ค่อยปกติ ไม่มีประโยชน์ต่อการฝึกตน ต้องเดินหนึ่งร้อยลี้ แต่เดินไปได้เก้าสิบลี้กลับเท่ากับครึ่งทางเท่านั้น (เปรียบเปรยว่าเรื่องราวยิ่งใกล้ประสบความสำเร็จก็ยิ่งยากลำบาก ส่วนใหญ่จะนำมาโน้มน้าวคนว่าเมื่อทำดีแล้วก็ทำดีให้ถึงที่สุด) หากเวลานี้กำลังใจร่วงดิ่งลงเหว ชั่วชีวิตนี้ก็ยากที่จะดึงกลับขึ้นมาได้อีก แล้วจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนได้อย่างไร? คลื่นลมและมรสุมลูกใหญ่กว่านี้ก็ยังผ่านมาแล้ว เจ้าจะไม่รู้เลยหรือว่าคู่ต่อสู้ที่ตายไปด้วยน้ำมือของพวกเรา ส่วนใหญ่แล้วก็ล้วนขาดกำลังใจเฮือกหนึ่งกันทั้งนั้น?”

หลิวจื้อเม่าร้องโอ้โหหนึ่งที “จางเย่ ใช้ได้เลยนี่นา เริ่มสั่งสอนข้าอีกแล้ว แถมยังกล้าพูดถึงเรื่องฝึกตนกับข้าด้วย นึกจริงๆ หรือว่าพวกเราสองคนยังคงเป็นคนหนุ่มใจร้อนขอบเขตชมมหาสมุทรอย่างในปีนั้นอีก?”

จางเย่ยิ้ม “ตอนที่ข้าเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตยังพอจะถือว่าเป็นคนหนุ่มใจร้อนได้อยู่ แต่เจ้าหลิวจื้อเม่าเวลานั้นกลับอายุไม่น้อยแล้ว ช่วยไม่ได้ ผู้ฝึกตนอิสระที่ขุดดินหาอาหารอย่างสุนัขเช่นพวกเจ้ามีชีวิตแย่กว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอย่างพวกเราเยอะเลย”

หลิวจื้อเม่าเอ่ยเย้ยหยัน “เป็นผู้ฝึกตนอิสระอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนมานานหลายปี ถึงเวลากลับยังเรียกตัวเองว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอย่างภาภคภูมิใจอีกหรือไง?”

จางเย่พึมพำ “มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เก็บไว้ในใจไม่เคยบอกใคร นับตั้งแต่วันแรกที่ข้ากับเจ้าคนที่ชื่อว่าหลิวจื้อเม่าผู้นั้นมาถึงทะเลสาบซูเจี่ยนก็คาดหวังอย่างถึงที่สุดว่า สักวันหนึ่งจะได้เห็นหลิวจื้อเม่าใช้สถานะของผู้ฝึกตนอิสระมาก่อตั้งสำนักอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าจึงมักจะไปเยือนสถานที่แห่งหนึ่งบ่อยๆ ที่นั่นคือสถานที่แรกที่ข้ากับหลิวจื้อเม่าหยัดยืนขึ้นมาได้ในทะเลสาบซูเจี่ยน มันคือเกาะเล็กๆ ที่มีชื่อเดียวกับจวนเหิงโป เกาะเหิงโป สถานที่เล็กเพียงแค่ฝ่ามือแห่งนั้น สุดท้ายแล้วกลับถูกศัตรูคู่อาฆาตที่เป็นโอสถทองซึ่งตอนนั้นมองดูเหมือนเก่งกาจไร้เทียมทานใช้สมบัติอาคมแห่งชะตาชีวิตทำลายทิ้งไปเสีย ข้าโมโหแทบตายจริงๆ ตอนนั้นจึงแอบหลิวจื้อเม่าที่ไม่มีความทดท้อแม้แต่น้อยพายเรือไปหลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง”

……

เฉินผิงอันและถานหยวนอี้มาถึงจวนเหิงโปแทบจะเวลาเดียวกัน

เพียงแต่ว่าคนหนึ่งมาอย่างเปิดเผย อีกคนมาอย่างลับๆ

หลิวจื้อเม่าเดินออกจากห้องมานำทางนักบัญชีที่ในมือถือเตาอุ่นมือไปยังห้องลับแห่งหนึ่งด้วยตัวเอง ในห้องลับแห่งนั้น ผนังทั้งสี่ด้านและพื้นล้วนเป็นเงินเกล็ดหิมะทั้งหมด แล้วก็วางเบาะไว้แค่สี่ใบเท่านั้น

ถานหยวนอี้เจ้าเกาะลี่ซู่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งใบหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว เขากำลังหลับตาทำสมาธิ หลังจากที่หลิวจื้อเม่าเดินเคียงไหล่เข้ามาพร้อมเฉินผิงอัน จึงลืมตาขึ้นแล้วลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าวว่า “ชื่อเสียงของท่านเฉินดังก้องดุจสายฟ้าผ่า”

เฉินผิงอันถามคำถามหนึ่งอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ “สถานการณ์ล่าสุดของทะเลสาบซูเจี่ยน เพื่อนร่วมงานในศาลาคลื่นมรกตของเจ้าเกาะลี่ซู่อย่างหลี่เป่าเจินที่ตอนนี้อยู่ในแคว้นชิงหลวน จะรับรู้ด้วยหรือไม่?”

ถานหยวนอี้กล่าว “ทุกๆ ระยะเวลาช่วงหนึ่งจะมีการแลกเปลี่ยนรายงานลับที่สำคัญต่อกัน หากท่านเฉินไม่ยินดีถูกกล่าวถึงในรายงานลับมากเกินไป ข้าสามารถเขียนเรื่องอื่นไปแทนได้”

แน่นอนว่าเฉินผิงอันต้องกุมหมัดขอบคุณ

ถานหยวนอี้พูดจาตามมารยาทอยู่พักหนึ่ง อย่างเช่นว่าท่านเฉินคือราชาใหญ่แห่งขุนเขาของเขตการปกครองหลงเฉวียน อีกทั้งยังเป็นสหายของเว่ยป้อองค์เทพขุนเขาเหนือ ทุกคนในศาลาคลื่นมรกตต่างก็ชื่นชมเฉินผิงอันมานานแล้ว

ผู้ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานคือซิ่วหู่ตนหนึ่งอย่าง ราชครูชุยฉาน

ตอนนั้นชุยฉานดื่มชา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มอบเงินเล็กน้อยแค่นั้นให้ศิษย์ลัทธิขงจื๊อยากจนที่เป็นครูสอนหนังสือคนนั้นของต้าหลี กรมการคลังของพวกเจ้ายังกล้าถ่วงเวลามานานขนาดนี้? พวกเจ้าก็มีชาติกำเนิดเป็นบัณฑิตเหมือนกันไม่ใช่หรือ? ซ่งเหยียนรองเจ้ากรมฝ่ายขวาของกรมการคลังอย่างเจ้า หากข้าจำไม่ผิด ช่วงแรกเริ่มสุดก็เรียนหนังสือชั้นประถมมาจากโรงเรียนในหมู่บ้านเช่นกัน จะใจดำตวัดพู่กันเขียนลงไปได้จริงๆ หรือ? ต้าหลีของพวกเรายากจนข้นแค้นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ไม่สนใจรองเจ้ากรมการคลังที่ตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวคนนั้น ชุยฉานหันหน้าไปมองเจ้ากรมการคลังที่เส้นผมขาวโพลนทั้งศีรษะ ทว่ากลับยังดูแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า “ใต้เท้าหันท่านเทพเจ้าแห่งทรัพย์สิน ต้าหลียากจนขนาดนี้ จะโทษใคร? โทษข้า? หรือว่าโทษเจ้า?”

คิดไม่ถึงว่าเจ้ากรมผู้เฒ่ากลับชี้ไปยังซ่งเหยียนอย่างไร้ความเกรงกลัว “ไหนเลยจะกล้าโทษใต้เท้าราชครู ข้าอายุมากแล้ว แต่ความหลงใหลในตำแหน่งขุนนางกลับมีมากกว่า อีกอย่างกรมการคลังของพวกเราก็ไม่จน มีเงินอยู่กองโต ก็แค่ตัดใจเอามาใช้สิ้นเปลืองอย่างส่งเดชไม่ลง ดังนั้นจะโทษข้าไม่ได้ จะโทษก็ต้องโทษซ่งเหยียน เงินก้อนนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบกรมการคลังของพวกเราล้วนทำตามความต้องการของท่านราชครูอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา ไม่ขาดไม่น้อยไปแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว เพียงแต่ซ่งเหยียนทำเสียเรื่อง ลูกผู้ชายกล้าทำต้องกล้ารับ ซ่งเหยียน เร็วเข้า รีบเอาความกล้าหาญของขุนนางกรมการคลังพวกเราออกมาสักหน่อย”

คนจากกองทัพชายแดนที่มาเรียกร้องขอเงินผู้นั้นเบิกตากว้าง มารดามันเถอะ ขุนนางระดับสูงในที่ว่าการหกกรมเขาทำงานกันอย่างนี้น่ะหรือ? ไม่ดีไปกว่าบุรุษหยาบกระด้างที่อยู่ในกองทัพชายแดนอย่างพวกเขาเลย

ดูท่าการพูดคุยของคนหน้าไม่อายในใต้หล้านี้คงจะเป็นเหมือนกันทั้งหมดกระมัง?

ชุยฉานดื่มชาหนึ่งอึก แล้วยิ้มพูดกับเจ้ากรมผู้เฒ่าว่า “เอาล่ะ เลิกใช้วิธีเลื้อยลดคดเคี้ยวหาทางรอดให้ลูกน้องตัวเองเสียที ความผิดของซ่งเหยียนมีไม่น้อย แต่ยังไม่ถึงขั้นต้องออกจากตำแหน่ง ผลการประเมินในเมืองหลวงหลายครั้งก็ถือว่าไม่เลว ถ้าอย่างนั้นก็เอาเงินเดือนของสามปีออกมาเติมเงินก้อนนั้นให้เต็มก็แล้วกัน”

ซ่งเหยียนที่เข่าอ่อนรู้สึกเหมือนได้รับอภัยโทษ “ข้าน้อยยินดีเอาเงินเดือนสิบปีออกมา…”

เจ้ากรมผู้เฒ่าตบหัวเขาดังป้าบ “เจ้าโง่ขี้ขลาด รนหาที่ตายหรือไง”

ชุยฉานยังคงไม่มีโทสะ มือหนึ่งถือถ้วยชา อีกมือหนึ่งที่ถือฝาถ้วยโบกมือให้ซ่งเหยียน “นี่ไม่ใช่วิถีที่คนเป็นขุนนางสมควรมี หลังกลับไป สติกลับคืนเข้าร่าง อารมณ์สงบลงแล้วก็จงขอความรู้ในด้านการเป็นขุนนางจากเจ้ากรมผู้เฒ่าให้ดี อย่าเอาแต่คิดว่าผู้บังคับบัญชาที่อยู่เหนือหัวของตัวเองอาศัยแค่ความสามารถในการหาเงินถึงได้หยัดยืนอยู่ในศูนย์กลางของราชสำนักได้”

เจ้ากรมผู้เฒ่าจึงพารองเจ้ากรมที่รอดพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิดออกไปจากห้องโถงใหญ่

คนทั้งสองปาดเหงื่อพร้อมกัน เจ้ากรมผู้เฒ่าโมโหจึงถีบเข้าที่ขาของรองเจ้ากรม สบถด่าเบาๆ “หากข้าหนุ่มกว่านี้อีกสักสามสิบสี่สิบปีจะเตะให้เจ้าขี้ราดเลยเชียว”

ฝ่ายหลังได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน นี่ยังใช่เจ้ากรมผู้เฒ่าที่วันๆ ชอบพูดจาสุภาพเป็นทางการอยู่อีกหรือ?

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!