กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 445

สรุปบท บทที่ 445.1 เรื่องราวและคนบนโลกล้วนเล็กเท่าเมล็ดงา: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอน บทที่ 445.1 เรื่องราวและคนบนโลกล้วนเล็กเท่าเมล็ดงา จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 445.1 เรื่องราวและคนบนโลกล้วนเล็กเท่าเมล็ดงา คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ด้านนอกภูเขาสุ้ยซาน

ผู้อำนวยการสถานศึกษาท่านหนึ่งมาถึงอย่างเงียบเชียบ และยังคงรอคอยคำตอบด้วยความอดทน

แม้แต่องค์เทพเกราะทองตนนั้นยังเริ่มรู้สึกเวทนา

บัณฑิตคนหนึ่งที่มีหวังว่าจะกลายเป็นรองเจ้าลัทธิในศาลบุ๋นกลับถูกซิ่วไฉเฒ่าที่แม้แต่เทวรูปยังถูกทุบแตกปล่อยให้รอคอยอย่างนี้มาเกินครึ่งเดือนแล้ว หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ลำพังเพียงแค่น้ำลายของบัณฑิตในใต้หล้าไพศาล คาดว่าคงท่วมทับภูเขาสุ้ยซานได้เลยกระมัง

บนยอดเขาสุ้ยซาน

สำหรับการที่ทางฝ่ายศาลบุ๋นระดมคนอย่างจริงจัง ซิ่วไฉเฒ่ายังคงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกวันเขาที่อยู่บนยอดเขาแห่งนี้จะต้องอนุมานแนวโน้มของสถานการณ์ เดี๋ยวก็พูดบ่น เดี๋ยวก็ชื่นชมตัวอักษรบนหลักศิลา ให้คำชี้แนะแก่ผืนแผ่นดิน เดินเตร็ดเตร่ไปมา หากใช้คำพูดขององค์เทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซานมาพูดก็คือ ซิ่วไฉเฒ่าเหมือนแมลงวันแก่ตัวหนึ่งที่หาขี้กินไม่ได้ ซิ่วไฉเฒ่าไม่เพียงแต่ไม่โกรธ กลับยังตบลงบนเสื้อเกราะสีทองขององค์เทพแห่งขุนเขา กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “คำพูดนี้เข้าท่า วันหน้าหากข้าเจอตาเฒ่าก็จะเอาคำพูดนี้ของเจ้าเป็นคำพูดสรุปแบบตอกปิดฝาโลงให้พวกนักปราชญ์ที่เทวรูปตั้งบูชาอยู่ในศาลบุ๋นพวกนั้น”

องค์เทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซานสีหน้าเย็นชา “หากเจ้ากล้าพูดอย่างนี้ วันหน้าก็ไม่ต้องมาที่ภูเขาสุ้ยซานอีก”

ซิ่วไฉเฒ่ารีบถ่มน้ำลายลงบนฝ่ามือ แล้วเอามาเช็ดเสื้อเกราะสีทองให้องค์เทพใหญ่ “แค่คำพูดล้อเล่นก็ยังฟังไม่ออก เจ้านี่น่าเบื่อซะจริง”

องค์เทพเกราะทองที่ขึ้นชื่อว่าอารมณ์ร้ายที่สุดในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไม่สะทกสะท้าน สองมือกุมกระบี่ ทอดสายตามองไปยังชายแดนนอกเขตการปกครองของภูเขาสุ้ยซาน ท่าทางคุ้นเคยกับการกระทำเช่นนี้ของซิ่วไฉเฒ่าเป็นอย่างดี นี่แสดงให้เห็นว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เขาต้องเจอกับความยากลำบากจากซิ่วไฉเฒ่ามาไม่น้อย เรียกได้ว่าถูกย่ำยีกลั่นแกล้งจนเต็มอิ่ม ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถึงขั้นเฉยชาขนาดนี้

มือหนึ่งของซิ่วไฉเฒ่าเอื้อมไปเกาท้ายทอย ยืนอยู่ข้างกายองค์เทพเกราะทอง “คนที่เป็นอาจารย์ เจ้าจะไม่มีทางรู้เลยว่าคำพูดไหนที่ตัวเองพูดออกไป หลักการเหตุผลข้อไหนที่ตัวเองอธิบายออกไป เรื่องไหนที่ตัวเองทำลงไปจะถูกลูกศิษย์จดจำไว้ขึ้นใจจนชั่วชีวิต หากเป็นบัณฑิตที่เรียกตัวเองอย่างภาคภูมิใจว่า ‘ช่วยให้ความรู้ไขข้อข้องใจแก่ปวงประชาในใต้หล้า’ อย่างแท้จริง อันที่จริงลึกๆ ในใจจะรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าจึงอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวอย่างใหญ่หลวงนี้จนไม่อาจถอนตัวออกมาได้ สุดท้ายกลายเป็นคนหมดอาลัยตายอยาก เพราะข้าพบว่าจุดด่างพร้อยไม่อย่างนั้นก็อย่างนี้ในบรรดาตัวของลูกศิษย์ตัวเอง ล้วนมีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าข้าเป็นคนสร้างขึ้น”

องค์เทพเกราะทองหัวเราะหยัน “ที่แท้ก็ไม่ใช่แค่แกว่งเท้าหาเสี้ยน”

ซิ่วไฉเฒ่าเต้นผางสบถด่า “ข้าเตือนเจ้าไว้เลยนะ อย่าอาศัยว่าพวกเราสนิทสนมกันแล้วคิดว่าเจ้าจะสามารถเลียนแบบบัณฑิตจอมปลอมพวกนั้นมาพูดจาเหน็บแนมกันได้ เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเกลียดเรื่องนี้ที่สุด? ข้าอดทนกับเจ้ามาหลายร้อยปีแล้ว หากเจ้ายังไม่เปลี่ยนนิสัยแย่ๆ นี่ วันหน้าข้าจะไม่ย้ายไปไหนแล้วจริงๆ จะอยู่ที่นี่ทำให้เจ้ารำคาญมันทุกวันเลยนี่แหละ”

องค์เทพร่างทองหัวเราะร่า “ข้ากลัวจะตายอยู่แล้ว”

ซิ่วไฉเฒ่าพึมพำ “ซิ่วไฉเจอกับทหาร มีเหตุผลก็อธิบายได้ไม่ชัดเจน”

องค์เทพร่างทองเอ่ยถาม “ตามผลลัพธ์ที่เจ้าอนุมานได้ ชุยฉานที่อยู่ในแจกันสมบัติทวีปเดี๋ยวก็ตีตะวันออก เดี๋ยวก็กระหนาบตะวันตก (เปรียบเปรยว่าทำอะไรไม่มองภาพรวม ไม่คิดให้รอบคอบ) สุดท้ายวางแผนทุกย่างก้าวเพื่อเล่นงานเด็กคนนั้น นอกจากคิดจะชักคะเย่อดึงให้ชุยตงซานมาอยู่ข้างกายตัวเองแล้ว เป็นเพราะยังมีแผนการร้ายที่ใหญ่กว่านี้อีกหรือไม่?”

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มตาหยี “คนฉลาดสุดยอดที่รู้ฟ้ารู้ดินรู้ทุกอย่างเช่นข้า ย่อมต้องรู้ถึงสิ่งที่ชุยฉานแสวงหาอย่างแท้จริง แต่ข้าไม่พูดให้เจ้าฟังหรอก”

องค์เทพร่างทองพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอเจ้าว่าอย่าพูดดีกว่า”

ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ ดึงผมเส้นหนึ่งออกมาเบาๆ แล้วยื่นส่งให้เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานที่อยู่ด้านข้าง

องค์เทพร่างทองขมวดคิ้วถาม “ทำอะไร?”

ซิ่วไฉเฒ่าหน้าเครียด “ตอไม้ทึ่มทื่อที่เรียนรู้อะไรก็ไม่ได้เรื่องอย่างเจ้า เอาผมเส้นนี้ไปแขวนคอตายซะ”

องค์เทพร่างทองหัวเราะ “เจ้าคิดจะหาทางลงให้ตัวเอง เลยจะยั่วให้ข้าโมโห เมื่อถูกหนึ่งกระบี่ของข้าผ่าให้ออกไปจากอาณาเขตของภูเขาสุ้ยซาน เจ้าก็จะได้ออกไปพบผู้อำนวยการใหญ่คนนั้น ขอโทษที ไม่มีเรื่องดีๆ แบบนี้หรอก”

ซิ่วไฉเฒ่าจุ๊ปากพูด “เจ้าไม่โง่จริงๆ”

สีหน้าที่ถูกปกปิดอยู่ใต้หน้ากากขององค์เทพร่างทองพลันเคร่งเครียดขึ้นมา “เรื่องใหญ่หลายเรื่องที่เจ้าอนุมาน ยังคงพร่าเลือนไม่ชัดเจนหรือ?”

ซิ่วไฉเฒ่าหุบยิ้ม “ยุ่งยากมาก ด่านโบราณแห่งนั้น หากข้าลงมือด้วยตัวเองก็อาจจะพอมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่จะช้าอย่างยิ่ง น้ำไกลไม่อาจช่วยดับไฟใกล้ ดังนั้นข้าจึงไม่ค่อยอยากพบผู้อำนวยการใหญ่สถานศึกษาที่อยู่ริมชายแดนภูเขาสุ้ยซานผู้นั้น ปัญหาที่ยุ่งยากที่สุดก็คือ คราวนี้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเอาจริงแล้ว ที่นั่นมีผู้มากพรสวรรค์หลายคนที่เหมือนจะเกิดมาพร้อมโชค การประลองที่กำแพงเมืองปราณกระบี่คราวนั้นก็เป็นแค่การประลองเล็กๆ ของพวกคนรุ่นเยาว์ไม่กี่คนเท่านั้น แต่นั่นก็ถือเป็นเงินก้อนใหญ่มากๆ แล้ว ดังนั้นข้าถึงได้ไปหาเจ้าคนคร่ำครึที่นาตยทวีปผู้นั้น เตือนเขาว่าหากไม่ระวังต้องตายอย่างแน่นอน แล้วยังต้องถูกคนด่านานร้อยปีพันปีด้วย”

องค์เทพร่างทองกำลังจะเปิดปากพูด

ซิ่วไฉเฒ่ากลับส่ายหน้า “เจตนารมณ์สวรรค์มิอาจแพร่งพราย สำนักหยินหยางสายของสกุลลู่แผ่นดินกลางนี้ ข้าไม่อาจเชื่อใจได้โดยเด็ดขาด ขาดก็แค่ไม่ได้เอาผลลัพธ์จากการอนุมานทั้งหมดของพวกเรามาย้อนลองฟังก็เท่านั้น”

องค์เทพร่างทองกล่าว “ทางฝั่งของป๋ายเจ๋อ ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาหลี่จี้ได้ไปชนตอเข้า ทางฝั่งของเกาะนอกทะเล ผู้อำนวยการใหญ่สายของหย่าเซิ่งก็ยิ่งอนาถ ได้ยินมาว่าแม้แต่หน้าก็ไม่ได้พบ ท่านสุดท้ายผู้นี้ก็ต้องกินน้ำแกงประตูปิดอยู่ดีไม่ใช่หรือ ผู้อำนวยการใหญ่ทั้งสามท่านของสถานศึกษากลับโชคร้ายขนาดนี้ ทำไม ลัทธิขงจื๊อของพวกเจ้าต้องใช้ชีวิตกันถึงขั้นนี้แล้วหรือ? อดีตพันธมิตรและคนกันเองกลับเลือกที่จะนิ่งดูดาย นั่งมองภูเขาและแม่น้ำพังทลายลงมา?”

ซิ่วไฉเฒ่าทอดถอนใจพลางลูบหนวด “สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตาเฒ่าและหลี่เซิ่งคิดอย่างไรกันแน่”

องค์เทพร่างทองหัวเราะหยัน “เจ้าบอกว่าตัวเองเป็นคนฉลาดไม่ใช่หรือไง?”

ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เรื่องใหญ่ที่แท้จริงไม่เคยอาศัยความฉลาด แต่อาศัย…ความโง่”

ซิ่วไฉเฒ่ากระทืบเท้าอย่างขุ่นเคือง พูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ไอ้ข้าก็อุตส่าห์รวบรวมอารมณ์ฮึกเหิมเสียเต็มเปี่ยม!”

……

หอสูงสกุลฟ่านในนครน้ำบ่อ เวลานี้เรียกได้ว่าคนจากไปหอเรือนว่างเปล่า

หอเรือนที่สูงตระหง่านยิ่งใหญ่ที่สุดในนครน้ำบ่อแห่งนี้ เดิมทีคือหอชมทิวทัศน์ที่สกุลฟ่านภาคภูมิใจ ยามที่แขกมาเยือน สถานที่แห่งนี้จะต้องเป็นที่แรกที่ถูกเลือก

เพียงแต่ว่าตอนนี้สกุลฟ่านไม่เพียงแต่สั่งปิดหอเรือนแห่งนี้ ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามา ยังถึงขนาดมีลางว่าจะปิดกิจการลงด้วย หน้าประตูหอเรือนเงียบสนิทไร้ผู้คน บนถนนนอกประตูก็ไม่มีภาพบรรยากาศอันคึกคักที่ผู้คนและรถม้าสัญจรไปมาขวักไขว่อีกแล้ว

วันนี้ฟ่านเหยี่ยนมายืนอยู่ด้านล่างหอ ในฐานะเจ้าของสกุลฟ่านที่แท้จริง หากเป็นเมื่อก่อน ในเมื่อเขาเป็นผู้ออกคำสั่งห้ามเข้าด้วยตัวเอง แน่นอนว่าไม่ต้องรักษากฎก็ได้ คิดจะขึ้นไปชมทิวทัศน์ของทะเลสาบบนหอเรือนตัวเอง จะนับเป็นอะไรได้

แต่ฟ่านเหยี่ยนกลับไม่กล้า

‘เจ้านครน้อยคนโง่’ แห่งนครน้ำบ่อที่หลอกคนของทะเลสาบซูเจี่ยนได้เกือบหมดผู้นี้ จนถึงตอนนี้สติก็ยังไม่กลับเข้าร่าง ราวกับว่าถูกคนใช้มีดแกะสลักวาดกรีดลงบนหัวใจอย่างสะเปะสะปะ เวลานี้แค่คิดถึงมีดเล่มนั้น โดยเฉพาะคนที่ถือมีดแกะสลักผู้นั้น หัวใจเขาก็จะเจ็บแปลบขึ้นมาทันที และแค่คิดถึงทั้งคนและทั้งมีด ฟ่านเหยี่ยนก็จะรู้สึกปวดหัวเหมือนหัวจะแตก

วันที่ชุยตงซานไปจากนครน้ำบ่อ

ตอนนั้นหิมะแรกยังไม่ตกลงมาบนทะเลสาบซูเจี่ยน แต่ฟ่านเหยี่ยนกลับต้องเผชิญกับหิมะใหญ่ในชีวิตที่ทำให้เขาเกือบต้องแข็งตายไปแล้ว ต่อให้เป็นตอนนี้ ฟ่านเหยี่ยนก็ยังคงรู้สึกหนาวเสียดลึกไปถึงกระดูก

วันนั้นชุยตงซานเรียกฟ่านเหยี่ยนให้ไปหา

ก่อนหน้านี้ที่อยู่ชั้นบนของหอเรือน ฟ่านเหยี่ยนถูกพ่อแม่ตบหน้าไปหลายสิบที พอออกมาจากหอเรือน อยู่ในห้องลับของสกุลเหยี่ยน ฟ่านเหยี่ยนก็ให้บิดามารดาแท้ๆ ของตนผลัดกันตบหน้ากันเองต่อหน้าตน ใบหน้าของคนทั้งสองบวมฉึ่ง เลือดสดไหลนอง แต่พวกเขาก็ยังไม่กล้าปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว

จากนั้นไม่กี่วันฟ่านเหยี่ยนก็ไป ‘เข้าพบ’ เด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้น

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!