กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 445

คนทั้งสองยืนพิงราวระเบียงชมทิวทัศน์ด้วยกัน

ชุยตงซานกระโดดทีเดียวก็พลิ้วกายขึ้นไปนั่งอยู่บนราวระเบียง แล้วเริ่มพูด ‘ถ้อยคำจากใจจริง’ ที่ตอนนั้นทำให้ฟ่านเหยี่ยนรู้สึกอกสั่นขวัญผวา เพียงแต่ว่าฟ่านเหยี่ยนหรือจะกล้าบอกให้คนผู้นั้นหุบปาก เขาก็ได้แต่ฟังไปเท่านั้น

ชุยตงซานกล่าวว่า “การไม่รู้คือสภาพการณ์หนึ่งที่ทำให้สบายใจและมีความสุขอย่างมาก เมื่อคนคนหนึ่งเดินขึ้นไปได้สูงอีกนิดก็จะคิดว่า นี่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเดิมแล้ว เพราะไม่เคยเข้าใจถึงสาเหตุของความโชคดีและความโชคร้าย แค่รับมันไปก็พอ เมื่อผ่านพ้นไปได้ก็ยังคงเป็นชายชาตรีอยู่เหมือนเดิม หากผ่านไปไม่ได้ก็ด่าสวรรค์ ข้าไม่ได้บอกว่าทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ถึงขั้นที่ว่าข้าเองก็ยังรู้สึกอิจฉาคนที่อยู่ในสภาพการณ์สองอย่างนี้”

“ข้าเคยออกเดินทางท่องไปทั่วสารทิศพร้อมกับอาจารย์คนแรกของตัวเอง มีครั้งหนึ่งเข้าไปในร้านหนังสือข้างทาง เจอเข้ากับบัณฑิตสามคนที่อายุไม่มาก คนหนึ่งมาจากชนชั้นสูงของพื้นที่ คนหนึ่งชาติกำเนิดยากจน อีกคนหนึ่งที่แม้จะสวมชุดธรรมดาเรียบง่าย แต่มองดูแล้วกลับมีความสุภาพสง่างาม คนทั้งสามต่างก็เป็นบัณฑิตที่เข้าร่วมการสอบระดับท้องถิ่นของเมือง ตอนนั้นมีดรุณีน้อยคนหนึ่งกำลังหาหนังสืออยู่ในร้าน”

“บัณฑิตคนที่มีเงินอยากจะดึงดูดความสนใจจากสาวงามจึงหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาแล้วเริ่มพูดวิจารณ์หนังสือเล่มนั้น บัณฑิตที่ไม่มีเงินคอยพยักหน้ารับคำ รู้สึกเลื่อมใสอีกฝ่ายอย่างแท้จริง เพราะถึงอย่างไรเขาก็ยากจน ก่อนที่จะโชคดีได้เป็นเศรษฐี เขาก็เคยอ่านหนังสือมาแค่ไม่กี่เล่ม”

“เถ้าแก่ร้านหนังสือเป็นปัญญาชนที่ตกอับคนหนึ่ง เขาอดทนฟังอยู่นาน สุดท้ายทนไม่ไหวจริงๆ จึงเอ่ยสองสามประโยคที่ถือว่ามีหลักฐานมีเหตุผลน่าเชื่อถือ”

“ผลกลับกลายเป็นว่าถูกบัณฑิตที่มีเงินชี้หน้าด่า บอกว่าข้ามาจากตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงของเมือง คนทั้งตระกูลต่างได้รับการศึกษา และข้าเองก็มีอาจารย์คอยให้ความรู้มาตั้งแต่เด็ก ความรู้ของเมธีร้อยสำนักในตำราทั้งหลายข้าล้วนเคยอ่านมาจนครบหมดแล้ว ยังต้องให้เจ้ามาสอนหลักการการวางตัวกับข้าด้วยหรือไง? เจ้าจะนับเป็นอะไรได้?”

“อาจารย์ที่ยากจนของข้าจึงทำหน้าที่เป็นคนไกล่เกลี่ย ช่วยไม่ได้ ชีวิตนี้ของเขาชอบสอดมือเข้ายุ่งกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากที่สุด เพราะมักจะรู้สึกว่าทุกคนไม่ได้ผิดมากขนาดนั้น ต่อให้มีความผิดก็สามารถแก้ไขได้ เขาจึงพูดโน้มน้าวไม่ให้เถ้าแก่โมโห บอกว่าหลักการเหตุผลมีมากมาย ทุกคนล้วนมีกันทั้งนั้น จากนั้นก็ยื่นมือไปกดนิ้วที่บัณฑิตยื่นชี้ออกมา บอกว่าพูดจากับคนอื่นด้วยท่าทางเช่นนี้ไม่เหมาะสม ต่อให้มีเหตุผลก็จะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าไม่มีเหตุผลได้อยู่ดี”

“บัณฑิตผู้นั้นเป็นคนอารมณ์ร้ายไม่น้อย เขาตบมืออาจารย์ของข้าทิ้ง แผดเสียงด่าว่าไอ้แก่เจ้าจะไปไหนก็ไป”

“อาจารย์ข้าย่อมไม่โกรธอยู่แล้ว และจากนั้นคนหนุ่มที่มองดูมีมาดของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ มองดูแล้วสุภาพอ่อนน้อมมากที่สุดคนนั้นก็ยิ้มตาหยีเอ่ยประโยคสามประโยค ประโยคแรกก็คือ ‘ที่นี่คือร้านขายหนังสือ พวกเราคือบัณฑิตที่มาซื้อหนังสือ ระวังว่านอกจากจะไม่ได้ซื้อหนังสือที่ถูกใจกลับไปแล้ว ยังต้องถูกคนไล่ไปด้วย’ ฟ่านเหยี่ยน เจ้ารู้หรือไม่ว่าประโยคนี้ยอดเยี่ยมที่ตรงไหน? เจ้าต้องรู้แน่นอน ยอดเยี่ยมตรงที่เอาก่อนและหลังมาปนกันมั่วซั่ว ไม่พูดถึงการเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามก่อน กลับกันยังเริ่มตั้งสมมติฐานส่งเดช ร้านหนังสือเป็นของเถ้าแก่ หากไล่ลูกค้าถูกออกไป เขาก็ ‘มีเหตุผล’ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขามีเหตุผลจริงๆ น่ะหรือ? หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นคงไม่รู้สึกอย่างนั้นกระมัง ดังนั้นตามหลักแล้วไม่ควรพูดถึงเส้นสายของความถูกผิด เพราะหากอนุมานย้อนกลับไป เจ้าของร้านจะกลายเป็นคนไร้เหตุผลในทันที นี่น่าสนใจมากเลยใช่ไหม? หากคนอื่นไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ เพียงแค่ได้ยินประโยคนี้ หรือเจอกับฉากที่เถ้าแก่ร้านไล่คน ยังจะยินดีแยกแยะถูกผิดอีกหรือไม่? คงไม่กระมัง ชีวิตคนยุ่งวุ่นวาย ใครเล่าจะยินดีสืบเสาะหาต้นตอของเรื่องนี้ แค่ชมเรื่องสนุกก็พอแล้ว ดังนั้นตอนที่ได้ยินประโยคนี้ข้าจึงรู้สึกว่าตลกมาก และรู้สึกว่าคนผู้นี้ฉลาดไม่น้อย”

“ประโยคที่สอง ‘ท่านผู้เฒ่าคงเจอหาหนังสือที่อยากซื้อเจอแล้วกระมัง แต่ก็อย่าเข้าข้างเถ้าแก่เพราะเหตุผลนี้เลย หากเป็นเช่นนี้จริงจะดูผิดต่อหลักมารยาทแล้ว ข้าเห็นว่าท่านผู้เฒ่าก็น่าจะเป็นบัณฑิตเหมือนกัน เหตุใดถึงไม่มีมาดของบัณฑิตเสียเลย? ชอบประจบเอาใจคนขายหนังสือขนาดนี้เชียวหรือ?’ รู้สึกว่ายิ่งน่าขบคิดใช่ไหม? ขอแค่มีคนนอกอยู่ในร้านหนังสือแล้วช่วยพูดแทนเถ้าแก่ ก็จะกลายเป็นพวกขี้ประจบสอพลอไปทันที พวกคนที่มามุงดูซึ่งไม่อยากจะมีส่วนเกี่ยวข้อง ต่อให้ไม่เห็นด้วยกับเหตุผลข้อนี้ แต่ก็ต้องอดใจกระตุกกันไม่มากก็น้อยแล้วใช่ไหม?”

“ประโยคที่สาม ‘หากเถ้าแก่ท่านนี้มีความรู้ที่ดีและสูงจริง เหตุใดต้องมาขายหนังสือหาเงินเลี้ยงชีพอยู่ที่นี่? เหตุใดไม่ไปมีตำแหน่งสูงอยู่ในราชสำนักหรือสร้างผลงานที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลกแล้ว?’ เป็นอย่างไร? นี่เป็นการทำร้ายจิตใจกันแล้วใช่ไหม? อันที่จริงนี่คือการตั้งสมมติฐานเพิ่มมาอีกสองข้อ อย่างแรกก็คือหลักการเหตุผลบนโลกใบนี้ล้วนจำเป็นต้องอาศัยชื่อเสียงและสถานะมาช่วยประคับประคอง เถ้าแก่ร้านขายหนังสืออย่างเจ้าไม่มีสิทธิ์มาพูดถึงหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์เลย ข้อที่สองก็คือมีเพียงประสบความสำเร็จเท่านั้นถึงจะถือว่ามีเหตุผล เหตุผลอยู่แค่บนตำราของอริยะปราชญ์ อยู่แค่ในราชสำนักเท่านั้น ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดที่ไก่บินหมากระโดด ในร้านหนังสือที่มีกลิ่นหอมของหมึกอบอวลไม่ได้มีเหตุผลเลยแม้แต่ข้อเดียว”

“เจ้าลองเดาดูสิว่าผลสรุปเป็นอย่างไร อาจารย์ของข้าฟาดฝ่ามือออกไป แล้วเริ่มผรุสวาทด่าทอบัณฑิตที่ฉลาดที่สุดคนนั้น ข้าเป็นลูกศิษย์เขามานานขนาดนี้ นั่นเป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นอาจารย์คนดีของตนที่ไม่เพียงแต่โกรธ ยังด่าและตีคนอื่นด้วย ซิ่วไฉเฒ่าด่าเจ้าคนน่าสงสารผู้นั้นว่า ‘จากพ่อแม่มาจนถึงอาจารย์ในโรงเรียน แล้วมาจนถึงตำราอริยะปราชญ์แต่ละเล่ม ควรต้องมีเหตุผลสักข้อสองข้อที่สอนเจ้าได้ แต่มารดาเจ้าเถอะ ผลกลับกลายเป็นว่าลูกตาของเจ้ามันถูกทาด้วยขี้ไก่ ในท้องก็ถูกอัดแน่นด้วยขี้หมางั้นรึ?!’”

“คราวนี้หลังจากตีและด่าเจ้าคนโง่ตาไร้แววผู้นั้นแล้ว เจ้าเดาดูสิว่าหลังจากนั้นเหตุการณ์เป็นยังไง? คนที่ถูกตี ไม่เหลือความกล้าอีกแม้แต่นิดเดียว มีเพียงความเกลียดแค้นฝังกระดูกที่ฉายอยู่ในดวงตา ในใจกำลังวางแผนชั่วร้าย กลับกลายเป็นบัณฑิตมีเงินและบัณฑิตนิสัยซื่อๆ คนนั้นที่พากันม้วนชายแขนเสื้อหมายจะตีอาจารย์ของข้า อาจารย์ของข้ายังจะทำอะไรได้อีก ก็หนีน่ะสิ แล้วข้าจะทำอะไรได้ ก็วิ่งหนีตามไปน่ะสิ”

“วิ่งออกไปไกลมากแล้ว พวกเราถึงได้หยุด อาจารย์ของข้าหันไปเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตามมาก็หัวเราะร่าเสียงดัง แต่หัวเราะไปหัวเราะมา เสียงหัวเราะก็หายไป นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นอาจารย์ของตนเผยความผิดหวังต่อเรื่องเรื่องหนึ่งมากขนาดนี้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!