มาถึงมุมหนึ่งของทะเลสาบ เฉินผิงอันก็หยุดพายเรือ วางไม้พายลง หยิบอาหารแห้งส่วนหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อเพื่อใช้มันเติมเต็มท้องประทังความหิว
หลิวเหล่าเฉิงพลันถามเฉินผิงอันด้วยรอยยิ้มว่าชอบตกปลาหรือไม่ บอกว่าทะเลสาบซูเจี่ยนมีสามสิ่งที่สุดยอดซึ่งล้วนเป็นอาหารเลิศรสหายากที่จะต้องมีในงานเลี้ยงของชนชั้นสูงราชวงศ์จูอิ๋ง หนึ่งในนั้นก็คือปลาที่ตกมาได้ในฤดูหนาว ยิ่งเป็นช่วงที่อากาศหนาวเหน็บมากเท่าไหร่ ปลาที่ถูกเรียกว่าตงจี้ (จี้คือปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ตงจี้หมายถึงปลาในฤดูหนาว) นี้ก็จะยิ่งมีรสชาติอร่อยล้ำมากเท่านั้น หลิวเหล่าเฉิงชี้ไปที่ใต้ทะเลสาบ บอกว่าแถบนี้มีปลาชนิดนั้นอยู่ ไม่รอให้หลิวเหล่าเฉิงพูดอะไรมาก เฉินผิงอันก็หยิบคันเบ็ดตกปลาที่ทำจากไม้ไผ่ของเกาะไผ่ม่วงซึ่งไม่เคยมีโอกาสได้นำมาใช้ออกมาพร้อมกับกากข้าวโพดโถเล็ก
หลิวเหล่าเฉิงก็ทำเช่นเดียวกันด้วยท่าทางคล่องแคล่วคุ้นเคย เพียงแต่เหยื่อตกปลาของเขาแตกต่างออกไป คันเบ็ดก็เป็นไม้ไผ่สีเขียวขจีราวกับจะสามารถคั้นน้ำออกมาได้ อีกทั้งปราณวิญญาณยังเปี่ยมล้นมากเป็นพิเศษ
สุดท้ายหลิวเหล่าเฉิงก็ตกปลาตงจี้ขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมาได้สามตัว เฉินผิงอันได้สองตัว คนทั้งสองเก็บคันเบ็ดในเวลาไล่เลี่ยกัน จากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างร่ายวิชาอภินิหารของใครของมัน แผ่นหิน เตาไฟ ถ้วยโถ ไม้ฟืน น้ำมัน เกลือ น้ำตาล เต้าเจี้ยว น้ำส้มสายชู ฯลฯ ล้วนมีครบครัน
คนหนึ่งนั่งอยู่ตรงหัวเรือ อีกคนนั่งอยู่ท้ายเรือ ต่างคนต่างต้มปลาของตัวเองไป
ไอร้อนลอยระอุ คนทั้งสองนั่งขัดสมาธิ มือหนึ่งถือตะเกียบ อีกมือหนึ่งถือกาเหล้า
ทั้งสองมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน กินข้าวพลางพูดคุยกันไปด้วย
อุบายแยบยล ไอสังหารล้อมสี่ทิศมาพร้อมกับการพูดคุยกันด้วยเสียงหัวเราะอย่างผ่อนคลายชั่วขณะ
หลังจากการพูดคุยกันอย่างถูกคอผ่านพ้นไป เพิ่งจะเก็บเตาไฟและถ้วยชามเสร็จเรียบร้อย เฉินผิงอันก็ตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งที กระบี่บินสืออู่บินพรวดออกมา เฉินผิงอันพูดสั่งกระบี่บินต่อหน้าหลิวเหล่าเฉิงว่า “ไปแจ้งข่าวแก่หลิวจื้อเม่าที่เกาะชิงเสียก่อน บอกว่าหลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่วอยู่กับข้า ต้องการให้เขาเปิดค่ายกลภูเขา ส่วนข้าจะขึ้นเกาะไปเพียงลำพัง”
หลิวเหล่าเฉิงถาม “แค่ออกคำสั่ง ไม่หาข้ออ้างเพิ่มไปด้วยหรือ? ไม่อย่างนั้นหลิวจื้อเม่าจะไม่เกิดสงสัยหรืออย่างไร?”
เฉินผิงอันตอบ “พูดมากไปกลับกลายเป็นว่าจะทำให้เขาไม่กล้าเปิดค่ายกล”
หลิวเหล่าเฉิงพยักหน้ารับ “แทงมีดตรงจุด หากไม่ข่มขู่ให้ศัตรูกลัวก็แตกหักกันไปโดยตรง วิธีการนี้เหมาะกับคนอย่างหลิวจื้อเม่ามากที่สุด อย่าได้เหลือพื้นที่ว่างใดๆ ให้พวกเขาได้กลับตัว”
ดวงตาเฉินผิงอันเป็นประกายจ้า
หลิวเหล่าเฉิงยิ้มกล่าว “ทำไม แค่คำพูดง่ายๆ ของข้าประโยคเดียวก็ทำให้เจ้าได้รับประโยชน์แล้ว?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ก่อนหน้านี้ข้าแค่พอจะรู้อย่างเลือนรางว่าควรจะทำเช่นนี้ ไม่กระจ่างชัดอย่างที่เจ้าเกาะหลิวพูด อืม ก็เหมือนเจ้าเกาะหลิวนำไม้บรรทัดเล่มหนึ่งมาวางตรงหน้าข้า เมื่อก่อนข้าจะยึดมั่นว่าไม่ว่าคนหรือเรื่องราวก็ไม่ควรเดินไปบนทางที่สุดโต่ง แต่เจ้าเกาะหลิวกลับสอนข้าว่าการรับมือกับคนอย่างหลิวจื้อเม่าควรจะใช้วิธีที่ตรงกันข้าม นั่นคือต้องพยายามผลักพวกเขาไปยังปลายทางที่สุดขั้วทั้งสองด้าน”
หลิวเหล่าเฉิงพยักหน้ารับแสดงให้รู้ว่าเห็นด้วย เพียงแต่ขณะเดียวกันนั้นเขาก็กล่าวด้วยว่า “พูดกับคนอื่นควรเอ่ยแค่เจ็ดแปดส่วน ไม่ควรมอบความจริงใจทั้งหมดให้ไป ระหว่างเจ้าและข้ายังคงเป็นศัตรูกัน พูดจาจริงใจต่อกันได้ตั้งแต่เมื่อไหร่? เจ้าเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่?”
เฉินผิงอันหยิบไม้พายขึ้นมาถ่อเรือต่ออีกครั้ง “คนละเรื่องกัน หากเอาแต่คิดว่าไม่เจ้าตายก็ข้าที่รอด ครั้งนี้ข้าก็ไม่มีทางไปเยือนเกาะกงหลิ่ว สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว ข้ายังคงหวังว่าพวกเราทั้งสองฝ่ายต่างก็ปิติยินดี เจ้าเกาะหลิวยังคงได้ผลประโยชน์ก้อนใหญ่ ส่วนข้าก็ขอเพียงความสบายใจ ไม่มีทางจะแย่งชิงเงินทองอะไรไปจากเจ้าเกาะหลิว”
หลิวเหล่าเฉิงไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เพียงดื่มเหล้าไปช้าๆ
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ตอนที่ข้าเรียนหมากล้อมกับคนอื่น ไม่มีไหวพริบสักเท่าไหร่จริงๆ ไม่ว่าเรียนอะไรก็ล้วนเชื่องช้า ขนาดสูตรคงที่ที่คนในอดีตมองว่าตายตัว ข้าต้องใช้เวลาพิจารณานานมาก แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจเข้าใจถึงแก่นแท้ ดังนั้นข้าจึงชอบคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย คิดว่าจะมีกระดานหมากใดหรือไม่ที่ทุกคนล้วนสามารถชนะ ไม่ใช่ว่าจะต้องแบ่งแพ้ชนะอย่างเดียวเสมอไป แต่ให้ทั้งสองฝ่ายชนะเหมือนกัน เพียงแค่แบ่งว่าใครชนะมาก ใครชนะน้อยก็เท่านั้น”
หลิวเหล่าเฉิงส่ายหน้า “อย่าพูดเรื่องเล่นหมากล้อมกับข้าเลย ปวดหัว ข้าไม่เคยชอบ ทักษะการเล่นหมากล้อมสูงหรือต่ำ กับการกระทำที่ดีหรือเลว ไม่เคยเกี่ยวข้องกันกับผายลมอะไรทั้งนั้น”
เฉินผิงอันกำลังจะพูดต่อ คงเพราะอยากจะลองพูดคุยกับหลิวเหล่าเฉิงดู ถึงอย่างไรหลิวเหล่าเฉิงก็พูดเองว่า คนเราเมื่อมีเวลาว่างก็สามารถเป็นเจ้าของสายลมจันทราอะไรนั่นได้ การที่เขายืนกรานจะค่อยๆ ถ่อเรือเดินทางกลับเกาะชิงเสียในครั้งนี้ เดิมทีก็เพราะอยากจะทำความเข้าใจนิสัยของหลิวเหล่าเฉิงให้มากขึ้น แม้ว่าโอกาสที่แผนการนี้จะล้มเหลวจะมีมากกว่า สูงกว่า แต่ว่า…
หลิวเหล่าเฉิงกลับยกมือขึ้น “หุบปาก อย่าได้คืบแล้วจะเอาศอก คิดจะเป็นอาจารย์กับศิษย์อะไรนั่น อย่ามากสุดเจ้าก็เป็นได้แค่นักบัญชีที่คำนวณรางลูกคิดได้ไม่เลว เรือก็ใหญ่แค่นี้ หากเจ้าพูดมาก ข้าอยากฟังก็ฟัง ไม่อยากฟังก็ต้องฟัง แต่ถ้าคิดจะอยู่อย่างสงบก็ได้แต่ตบให้เจ้าร่วงลงไปในทะเลสาบ ด้วยสภาพร่างกายและจิตใจของเจ้าในเวลานี้ไม่อาจแบกรับความทรมานไปมากกว่านี้ได้แล้ว อีกทั้งตอนนี้ยังอาศัยช่องโพรงลมปราณแห่งเดียวมาฝืนประคับประคองตัวเอง หากจวนแห่งนี้แหลกสลาย สะพานแห่งความเป็นอมตะของเจ้าคงต้องขาดสะบั้นลงอีกครั้ง ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้สะพานแห่งความเป็นอมตะของเจ้าขาดลงได้อย่างไร? ข้าสงสัยใคร่รู้ไม่น้อย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ปีนั้นตอนที่อยู่ในตรอกเล็กของบ้านเกิด ได้ถูกผู้ฝึกตนหญิงบนภูเขาคนหนึ่งทำลาย แต่มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่านางเองก็ถูกหลิวจื้อเม่าวางแผนเล่นงานเช่นกัน หายนะครั้งนั้นอันตรายอย่างยิ่ง ตอนนั้นหลิวจื้อเม่ายังเล่นตุกติกกับจิตใจของข้า หากไม่เป็นเพราะโชคดี เกรงว่าทั้งข้าและผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นคงต้องตายไปอย่างไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว เป็นการเข่นฆ่าที่เลอะเลือนชวนสับสนครั้งหนึ่ง เทพเซียนบนภูเขาอย่างพวกเจ้า นอกจากจะมีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่แล้ว ยังชอบฆ่าคนไม่เห็นเลือดกันอีกด้วย”
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันเล่าเรื่องของตัวเองให้หลิวเหล่าเฉิงฟัง
ถือว่าพอจะมีความจริงใจอยู่บ้าง
ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันคงต้องเป็นกังวลจริงๆ ว่าเมื่อไปถึงเกาะชิงเสียแล้วจะทำให้ผู้ฝึกตนเฒ่าที่นิสัยแปรปรวนยากจะคาดเดาผู้นี้โกรธเกรี้ยวเอาได้
ดูเหมือนหลิวเหล่าเฉิงเองก็ประทับใจกับความจริงใจของเขา “ผู้ฝึกตนบนภูเขากลัวว่าจะต้องแปดเปื้อนเรื่องทางโลกอย่างยิ่ง ในทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ ข้าน่าจะเป็นคนที่มีคุณสมบัติเอ่ยประโยคนี้มากที่สุด ดังนั้นผู้ฝึกตนสำนักการทหารถึงเป็นที่อิจฉาของผู้ฝึกลมปราณประเภทอื่นๆ ไม่ว่าจะฆ่าใครก็ล้วนไม่ต้องกลัวว่าจะมีผลกรรมติดตัว เพราะฉะนั้นพวกสำนักนิติธรรม สำนักจ้งเหิง สำนักการค้าและสำนักกสิกรรมจึงชอบไปฝึกตนอยู่ด้านล่างภูเขามากกว่า ผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นหนึ่งในสี่ผีใหญ่ตอแยด้วยยากที่สุดบนภูเขาก็สบายเหมือนกัน เพราะพันธนาการน้อย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้ฝึกตนสำนักนิติธรรม นักพรตเรือนซือเตา ข้าล้วนเคยพบเจอมาก่อน เหลือแค่คนเชื่อดาบของสำนักโม่เท่านั้นที่ยังไม่เคยเห็นฝีมือ”
หลิวเหล่าเฉิงหลุดหัวเราะพรืด “ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าไปมีเรื่องกับคนเชื่อดาบดีกว่า นั่นคือผีตอแยในบรรดาผีตอแยอีกที ต้องเรียกว่าเป็นพวกผีเล็กผีน้อยที่เฝ้าประตูให้พญายมราชเลยด้วยซ้ำ” (มาจากประโยคพญายมพบง่าย ผีน้อยตอแย เปรียบเปรยว่าบุคคลยิ่งใหญ่พูดคุยด้วยง่าย แต่ยิ่งเป็นคนตำแหน่งเล็กไม่มีหน้าที่สำคัญเท่าไหร่ก็ยิ่งชอบตอแยเซ้าซี้ เพราะคนประเภทนี้จะชอบจงใจสร้างความลำบากใจให้ผู้อื่น)
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าจะระวัง”
เส้นทางยาวไกลแค่ไหน สุดท้ายก็ยังต้องไปถึงจุดหมายปลายทาง
เรือข้ามฟากเคลื่อนผ่านเกาะใต้อาณัติหลายแห่งซึ่งรวมถึงเกาะซู่หลิน จนกระทั่งมาถึงอาณาเขตของเกาะชิงเสีย และหลิวจื้อเม่าก็ยอมเปิดค่ายกลภูเขาแม่น้ำไว้แล้วจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!