หลังจากหลิวจื้อเม่าไปจากท่าเรือแล้ว เฉินผิงอันก็กลับมาที่ห้อง ปลดเจี้ยนเซียนไปแขวนไว้บนผนัง ถอดชุดคลุมอาคมจินหลี่ออก สวมแค่ชุดผ้าฝ้ายตัวหนาป้องกันความหนาว ใส่ถ่านไม้ลงไปในเตาใบเล็ก จุดฟืนก่อไฟหาความอบอุ่นแล้วสาวเท้าก้าวเดินอยู่ในห้อง
เจิงเย่วิ่งมาเคาะประตูห้องสอบถาม เฉินผิงอันเปิดประตูแล้วก็ถามถึงความคืบหน้าในการฝึกตนของเจิงเย่อย่างละเอียด พูดคุยกันจบ เฉินผิงอันก็รู้สึกพึงพอใจไม่น้อย คาดว่าประมาณปลายปี เจิงเย่น่าจะสามารถใช้ร่างกายของตัวเองเป็นที่พักพิงของวัตถุหยินและจิตวิญญาณมาเดินท่องอยู่ในโลกคนเป็นได้ ถึงเวลานั้นเจิงเย่ก็จะสามารถอาศัยวิชาลับชั้นสูงและฐานกระดูกที่พิเศษของตนมาขัดเกลาและพัฒนาตบะ ไม่แน่ว่าความเร็วในการฝ่าทะลุขอบเขตจะเร็วอย่างมาก เมื่อเทียบกับวิชานอกรีตที่ช่วยดึงต้นกล้าให้เติบโตของเกาะเหมาเยว่แล้ว ยังเร็วกว่าหนึ่งระดับด้วยซ้ำ สามารถกลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตก้าวข้ามธรณีประตูขนาดใหญ่บานแรกของห้าขอบเขตกลางได้เร็วกว่าเดิม
เห็นท่าทีอิดออดคล้ายไม่อยากจากไปของเจิงเย่
เฉินผิงอันก็ถามว่า “อยากถามข้าว่าเหตุใดก่อนหน้านี้เพิ่งจะต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับหลิวเหล่าเฉิงไปหยกๆ ตอนนี้กลับมาเที่ยวชมทะเลสาบซูเจี่ยนร่วมกันเหมือนสหายที่สนิทสนมกันมานานเสียแล้ว?”
เจิงเย่พยักหน้ารับอย่างลำบากใจเล็กน้อย
ต่อให้เขาจะจดจำได้ขึ้นใจว่า เมื่อมาอยู่บนเกาะชิงเสียต้องมองให้มาก คิดให้มาก พูดให้น้อย แต่เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้นี้รู้สึกสงสัยใคร่รู้อย่างมาก จึงอดใจไม่ไหวจริงๆ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ค่อนข้างจะซับซ้อน แล้วก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถเอามาพูดคุยกันเป็นเรื่องขบขันได้”
เจิงเย่รีบลุกขึ้นทันที “ท่านเฉิน ข้าจะกลับไปฝึกตนแล้ว”
เฉินผิงอันพูดกับเขาว่า “รอวันใดที่สามารถพูดได้แล้ว ถึงวันนั้นจะเลี้ยงเหล้าเจ้าแล้วเล่าให้เจ้าฟังไปด้วย”
เจิงเย่ปิดประตูลงเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มองลอดผ่านร่องเล็กก่อนที่ประตูจะปิดสนิทพลางกล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “ท่านเฉิน คำไหนคำนั้นนะ!”
……
หลังจากนั้นเกาะมากมายบนทะเลสาบซูเจี่ยนที่หิมะยังไม่ทันละลายจนหมดก็ต้องเจอกับหิมะใหญ่เท่าขนห่านที่ตกหนักอีกครั้ง
ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ
ปีนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ นี่เพิ่งผ่านไปได้ไม่นานเท่าไหร่ก็มีหิมะใหญ่ที่หลายสิบปียากจะพานพบตกลงมาสองครั้งติดแล้ว
แต่ก็ไม่มีใครที่ไม่ยินดี เพราะนี่หมายความว่าปราณวิญญาณที่เดิมทีก็เต็มเปี่ยมอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนจะได้รับการเติมเต็มเข้ามาอีก นี่เรียกว่าสวรรค์ประทานข้าวให้กิน
หลายวันที่ผ่านมานี้ผู้ฝึกตนแทบทุกคนต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงนักบัญชีของเกาะชิงเสียคนนั้นอย่างดุเดือด แม้แต่เมืองใหญ่รอบทะเลสาบทั้งสี่แห่งอย่างนครบ่อน้ำ นครอวิ๋นโหลวก็ยังไม่เว้น
อวี๋กุ้ยเป็นฝ่ายมาเยือนประตูภูเขาเกาะชิงเสียด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก เขามานั่งอยู่ในห้องของเฉินผิงอันพักหนึ่ง แล้วถือโอกาสทำการค้าเล็กๆ ขายวัตถุวิเศษชั้นสูงที่ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็จะได้เป็นสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งให้เฉินผิงอันในราคาถูก ประสิทธิผลของมันคล้ายคลึงกับตำหนักพญายมราช ‘คุกล่าง’ ชิ้นนั้น คือหอเรือนที่สร้างเลียนแบบ ‘หอแก้ว’ ของนครจักรพรรดิขาวในแผ่นดินกลาง แม้ว่า ‘ห้องหับ’ ที่ภูตผีวัตถุหยินสามารถพักอาศัยได้จะมีไม่มาก แค่สิบสองห้อง อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบตำหนักพญายมราชที่เช่ามาจากห้องลับของเกาะชิงเสียได้ติด แต่คุณภาพของห้องพักกลับดีกว่ามาก ต่อให้คิดจะเอาขุนพลผีที่ผู้ฝึกตนผีจวนจูเสียนตั้งใจอบรมปลูกฝังอยู่ในธงเรียกวิญญาณมาอยู่ที่นี่ ก็ยังสามารถมาหล่อเลี้ยงบำรุงด้วยความอบอุ่นได้อย่างเหลือเฟือ
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย ของชิ้นนี้เป็นของดีเยี่ยม ก็แค่เขาไม่มีเงินเท่านั้น จึงได้แต่ติดเงินเกาะตะขอจันทร์เอาไว้ก่อน อวี๋กุ้ยได้ยินก็เบิกบานใจทันที บอกว่าท่านเฉินไม่มีคุณธรรมเสียเลย ราคาถูกปานนี้ยังจะเชื่อไว้ก่อน ทำได้ลงคอจริงๆ หรือ? เฉินผิงอันจึงยิ้มกล่าวว่าทำได้สิ ทำได้ กับเจ้าเกาะอวี๋ยังต้องเกรงอกเกรงใจไปไย อวี๋กุ้ยยิ่งอารมณ์ดี แต่มิตรภาพก็ส่วนมิตรภาพ การค้าขายก็ส่วนการค้าขาย เขาจึงพาเฉินผิงอันไปหาจางเย่ผู้ดูแลหลักของคลังลับ เขียนใบรองรับหนี้สินในนามของเกาะชิงเสีย ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่วางใจ ยังขอให้ผู้เฒ่าจางช่วยจับตามองเฉินผิงอันด้วย ไม่อย่างนั้นถึงเวลานั้นเขาอวี๋กุ้ยกับคลังลับอาจต้องกลายมาเป็นคู่พี่น้องร่วมทุกข์ยากกัน
จางเย่พยักหน้ารับตอบรับด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้ให้เฉินผิงอันยืมเงินไปจ่ายค่าหอแก้วหลังเล็กนั่น เพราะถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ติดหนี้เกาะชิงเสียไว้ก้อนใหญ่อยู่แล้ว แต่จางเย่ก็รับปากเขียนใบรับรองหนี้สินให้ อวี๋กุ้ยถึงได้พึงพอใจ และยังถือโอกาสเชื้อเชิญผู้เฒ่าจางไปเป็นแขกที่เกาะตะขอจันทร์ของตน จางเย่ก็ตกปากรับคำอีกเหมือนกัน ทั้งยังนัดหมายเวลากับอวี๋กุ้ยเรียบร้อยอย่างไม่ฝืนใจเลยแม้แต่น้อย
สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันคล้ายเป็นคนนอก
เจ้าเกาะไผ่ม่วงก็โดยสารเรือข้ามฟากอาวุธวิเศษลำหนึ่งมาเยือนด้วยความชื่นมื่น นำไม้ไผ่ม่วงรุ่นบรรพบุรุษของเกาะมาให้ท่านเฉินสามลำใหญ่ มอบให้เปล่าๆ แต่อารมณ์ดียิ่งกว่าเก็บเงินเสียอีก พอมาถึงห้องของเฉินผิงอันก็ดื่มแค่น้ำร้อนที่ไม่มีใบชาสักใบถ้วยเดียวแล้วกลับทันที เฉินผิงอันเดินมาส่งจนถึงท่าเรือ กุมหมัดอำลา
และยังมีเกาะอีกหลายแห่งที่ตอนแรกเฉินผิงอันต้องกินน้ำแกงประตูปิด หรือไม่ไปเยือนแล้วเจ้าเกาะไม่ปรากฎตัวที่ต่างก็พากันมาเยี่ยมเยียนเกาะชิงเสียราวกับนัดหมายกันมาอย่างไรอย่างนั้น
พอหิมะใหญ่หยุดตก
เที่ยงวันของวันนี้หลิวจื้อเม่าก็มาเยือนที่เรือนหลังนี้ ทว่าเพียงแค่เคาะประตู ไม่ได้เข้าไปข้างใน
เฉินผิงอันเดินหิ้วเตาออกมาด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า
คนทั้งสองเดินเล่นไปด้วยกัน
หลิวจื้อเม่ากล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ต้องการให้ข้าออกหน้าช่วยปฏิเสธคนเหล่านั้นหรือไม่? แค่หาข้ออ้างง่ายๆ ก็ได้แล้ว บอกว่าเกาะชิงเสียจะปิดภูเขา”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ต้อง ข้าสามารถหาความสุขจากความทุกข์ แล้วก็ยินดีที่จะให้มันเป็นเช่นนี้ อันที่จริงไปมาหาสู่กับเจ้าเกาะเหล่านี้ก็ทำให้ได้เรียนรู้อะไรอีกไม่น้อย แต่ก็เหนื่อยมากจริงๆ การทักทายปราศรัย พูดจาตามมารยาทกับคนอื่น เป็นเรื่องที่ข้าไม่ถนัดที่สุดมาโดยตลอด ก็ถือซะว่าเป็นการตรวจสอบหาช่องโหว่ และฝึกฝนวิชาการอยู่ร่วมกับคนอื่นก็แล้วกัน”
หลิวจื้อเม่ายิ้มกล่าว “อันที่จริงล้วนต้องมีวันที่ผ่านประสบการณ์เช่นนี้ วันหน้าเมื่อเจ้ามีภูเขาเป็นของตัวเอง ต้องคอยดูแลทุกเรื่องทุกทาง จะต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจยิ่งกว่านี้ ทำตัวให้ชินไว้แต่เนิ่นๆ ก็ถือเป็นเรื่องดี”
คนทั้งสองเดินออกมาจากเรือนหน้าประตูภูเขาได้พักใหญ่ หลิวจื้อเม่าหันกลับไปมองก็กลั้นยิ้มกล่าวว่า “เฉินผิงอัน อาหญิงท่านนั้นของเจ้าออกจากจวนชุนถิงมาหาเจ้าแล้ว หากจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งแรกที่นางออกจากเรือนมาพบเจ้าหลังจากที่เจ้าย้ายออกมาจากจวนชุนถิง พวกเราจะเดินกลับกันไปดีไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เดินไปข้างหน้าอีกหน่อย”
หลิวจื้อเม่าพยักหน้ารับ “หากเจ้าใจแข็งเช่นคนฝึกตนอย่างพวกเรา อันที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีอ้อมไปอ้อมมาแบบนี้แล้ว”
เฉินผิงอันถือเตาใบเล็ก ยิ้มกล่าวว่า “พยายามให้เป็นการพบเจอที่ดีและจากลาที่ดีเถอะ ต่อให้ความสัมพันธ์ควันธูปจางหายไปจนสิ้นแล้ว ก็ยังหวังว่าอีกฝ่ายจะมีชีวิตที่ดี”
หลิวจื้อเม่าเอ่ย “กิจในบ้านบางอย่าง ไม่ว่าจะอยู่ในเรือนของตรอกทรุดโทรม อยู่ในจวนใหญ่โตโอ่อ่า หรืออยู่บนภูเขาใหญ่อย่างเกาะชิงเสียของพวกเรา คิดจะทำให้ดี ก็ยากที่จะเป็นคนดีได้ เฉินผิงอัน ข้าขอแนะนำเจ้าด้วยประโยคที่ไม่น่าฟังสักประโยค บางทีต่อให้ผ่านไปอีกหลายปีหรือสิบปี สตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นก็ไม่มีทางเข้าใจความหวังดีของเจ้าในเวลานี้ นางมีแต่จะจดจำความไม่ดีของเจ้า ไม่ว่าเวลานั้นนางจะมีชีวิตที่ดีหรือร้ายก็ล้วนเหมือนกัน ไม่แน่ว่าหากนางมีชีวิตที่แย่ กลับยังจะพอจดจำความดีของเจ้าได้ไม่มากก็น้อย แต่ยิ่งมีชีวิตที่ดีเท่าไหร่ นางก็จะยิ่งเคียดแค้นเจ้ามากเท่านั้น”
เฉินผิงอันสีหน้าเฉยชา “แล้วนั่นเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?”
หลิวจื้อเม่าหัวเราะเสียงดัง “ก็จริงนะ”
หลิวจื้อเม่าพลันเอ่ยด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย “เจ้าลองเดาดูสิว่ามารดากู้ช่านออกจากบ้านมาครั้งนี้ ได้พาสาวใช้คนสองคนติดตามมาด้วยหรือไม่?”
หลิวจื้อเม่ารีบเอ่ยเสริมทันทีว่า “ข้าไม่ได้คิดจะยุแยงตะแคงรั่วแน่นอน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!