เฉินผิงอันปัดมือ “หลังจากนี้ข้าจะเดินด้วยท่าหมัดขั้นพื้นฐาน ง่ายมาก ก็แค่ทุกหกก้าวจะออกหมัดหนึ่งครั้ง เจ้าสามารถเรียนรู้ตามข้าได้ เจ้าจะเรียนวิชาหมัดก็ได้ แต่ต้องรับปากข้าว่าจะไม่ทำให้ตุ๊กตาหิมะตัวน้อยบนหีบไม้ไผ่ร่วงลงมา ข้าจะสอนเจ้าสามรอบ จากนั้นตลอดทางที่เดินไปนี้ เจ้าว่างหรือไม่ว่างก็ลองเดินด้วยท่าหมัดนี้ ข้าไม่บังคับเจ้า และเจ้าก็ไม่ต้องฝืนใจ คิดซะว่าเป็นวิธีเล็กๆ น้อยๆ ที่ใช้แก้เบื่อก็แล้วกัน”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็แสดงท่าเดินนิ่งให้เจิงเย่ดูสามรอบ เจิงเย่รวบรวมสมาธิจ้องมองฝีเท้า รวมไปถึงการออกหมัดในช่วงท้ายสุดของเฉินผิงอันเขม็ง
เฉินผิงอันล้วนเห็นอยู่ในสายตา และบอกให้เจิงเย่ลองเดินดูเอง
มั่นคงทั้งสี่ด้านแปดทิศ เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะในตรอกหนีผิงของปีนั้นแล้ว ดูเหมือนจะเดินได้ดีกว่ามาก
แต่เฉินผิงอันกลับถอนหายใจอยู่ในใจ มองหมัดไม่รู้ถึงความหมาย สามปีก็ไม่เข้าขั้น
ไหวพริบในการเรียนหมัดของเจิงเย่อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเด็กชายร่างกายผอมแห้งในเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีที่ปีนั้นถือมีดผ่าฟืนยืนอยู่ตรงหน้าตนได้ติด
แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ก็เหมือนอย่างที่เฉินผิงอันบอกไว้ เขาก็แค่หาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้เจิงเย่ทำเท่านั้น เขาจะได้ไม่ต้องคอยเอาแต่จับตามองตนไปตลอดทาง ถึงอย่างไรยันต์สาวงามหนังจิ้งจอกเหล่านั้นก็ไม่สามารถหยิบออกมาได้บ่อยๆ อีกอย่างเฉินผิงอันก็กลัวสตรีวัตถุหยินที่นับวันก็ยิ่งสดใสร่าเริง พูดจาไร้ยำเกรงพวกนั้นจริงๆ หากพวกนางแค่หยอกเย้าเจิงเย่เล่นก็ช่างเถิด แต่นี่แต่ละคนแอบพนันกันว่าจะเล่นหูเล่นตายั่วยวนเฉินผิงอันด้วยวิธีใด พวกนางทำอย่างนั้นไม่เรียกว่าหาเรื่องน่าอายให้ตนจะเรียกว่าอะไร? ข้าเฉินผิงอันเคยเห็นความชั่วร้ายในยุทธภพและเห็นคลื่นลมมรสุมมามากน้อยแค่ไหนแล้ว?
ถึงอย่างไรเจิงเย่ก็เป็นผู้ฝึกลมปราณที่ถูกเกาะเหมาเยว่ทุ่มเงินเลี้ยงดูปลูกฝัง เรือนกายจึงแข็งแกร่งกำยำ ดังนั้นแม้จะเรียนวิชาเดินนิ่งหมัดเขย่าขุนเขาเหมือนแค่รูปลักษณ์ภายนอก ขอแค่เฉินผิงอันไม่พูดเปิดโปง เจิงเย่ก็รู้สึกว่าตัวเองพอใจอย่างมาก ถึงอย่างไรตุ๊กตาหิมะตัวน้อยที่วางไว้บนหีบไม้ไผ่ด้านหลังก็ไม่เอียงตกลงมา
หลังจากเฉินผิงอันเดินท่าหมัดครบสามครั้งแล้วก็ไม่เดินนิ่งต่ออีก แต่คอยหยิบเอาแผนที่ออกมากางดู
คืนนั้นคนทั้งสองเตรียมจะค้างแรมกันในผืนป่าชานเมืองแห่งหนึ่ง ขอแค่ไม่มีหิมะตกลงมา อันที่จริงก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
เฉินผิงอันหยิบยันต์สาวงามหนังจิ้งจอกออกมาหนึ่งแผ่น สตรีวัตถุหยินที่พักอยู่ด้านในมีนามว่าซูซินไจ
ตอนมีชีวิตอยู่นางคือผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิต เป็นคนของแคว้นสือหาว บิดาเป็นคนประเภทรักลูกชายชังลูกสาว ตอนเยาว์วัยถูกผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้ำสถิตของตระกูลเซียนแคว้นสือหาวท่านหนึ่งหมายตาในฐานกระดูกจึงพาไปที่ภูเขาหวงหลี และเริ่มฝึกตนอย่างเป็นทางการ ฝึกตนอยู่บนภูเขาหลายสิบปี ไม่เคยลงจากภูเขากลับคืนสู่บ้านเกิด ซูซินไจจึงไม่เหลือความรู้สึกผูกพันกับคนในตระกูลมานานแล้ว บิดาเคยไปเยือนตีนเขาภูเขาหวงหลีด้วยตัวเอง ขอร้องว่าอยากพบหน้าบุตรสาวสักครั้ง แต่ซูซินไจก็ยังคงปิดประตูไม่ต้อนรับแขก บุรุษที่หวังให้บุตรสาวช่วยเหลือบุตรชายด้านการสอบเคอจวี่จึงได้แต่กลับไปมือเปล่า สบถด่าด้วยคำพูดหยาบคายไปตลอดทาง ยากที่จะจินตนาการได้ว่านั่นเป็นคำพูดของบิดาแท้ๆ ซูซินไจที่แอบติดตามเขามาด้านหลังอย่างลับๆ ล้วนได้ยินทั้งหมด นางเสียใจอย่างสุดซึ้ง ซูซินไจที่เดิมทีคิดจะช่วยเหลือทางบ้านสักครั้งแล้วจากนั้นค่อยตัดขาดเรื่องทางโลกอย่างจริงจังจึงย้อนกลับสำนักไปทั้งอย่างนั้น
ครั้งสุดท้ายที่ซูซินไจลงเขามาหาประสบการณ์ นางกับศิษย์พี่ศิษย์น้องหญิงอีกสองคนถูกบรรพจารย์ขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งของเกาะซู่หลินทะเลสาบซูเจี่ยนลักพาตัวไป สุดท้ายตายอนาถอยู่ในปากของเจียวหลงตัวนั้น ส่วนสตรีร่วมสำนักอีกสองคนนั้นได้ตายไปด้วยน้ำมือของบรรพจารย์เกาะซู่หลินคนเก่านานแล้ว
ซูซินไจปรากฏตัวด้วยรูปโฉมของสตรีที่ถูกวาดอยู่บนแผ่นยันต์หนังจิ้งจอก นางคลี่ยิ้มงดงาม สายตาเป็นประกายบ่งบอกความรู้สึก
นางคือหนึ่งในสตรีวัตถุหยินสิบสองตนที่มีนิสัยเปิดกว้างร่าเริงมากที่สุด แผนร้ายที่ใช้เย้าหยอกเจิงเย่หลายอย่างก็ล้วนเป็นความคิดของนาง
หากไม่เป็นเพราะอีกไม่นานก็จะเข้าขอบเขตของภูเขาหวงหลีแล้ว เฉินผิงอันก็ไม่กล้าเชิญนางออกมาจริงๆ
เกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดของภูเขาหวงหลี เฉินผิงอันพอจะรู้มาคร่าวๆ แล้ว และก็เล่าให้ซูซินไจฟังมาตั้งแต่แรก
อาจารย์ผู้มีพระคุณที่นางคิดถึงอยู่ตลอดเวลาผู้นั้นตายไปตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว ทว่าทุกวันนี้ภูเขาหวงหลีก็ยังถือว่ามั่นคง ถึงอย่างไรก็เป็นตระกูลเซียนลำดับสองของแคว้นสือหาว ไม่สูงไม่ต่ำ ในสถานการณ์วุ่นวายกลับสามารถหลบเลี่ยงภัยพิบัติได้ง่ายยิ่งกว่า พวกสำนักระดับสามหรือสำนักปลายแถวล้วนถูกตระกูลเซียนในบริเวณใกล้เคียงฮุบกลืนไปนานแล้ว กองกำลังชั้นยอดระดับหนึ่งก็เหมือนไม้ใหญ่เรียกลม ยุ่งวุ่นวายจนหัวหูไหม้ ควรจะสื่อสารกับราชสำนักแคว้นสือหาวหรือคบค้าสมาคมกับกองทัพม้าเหล็กต้าหลีอย่างไร หากไม่ระวังแม้เพียงน้อยก็อาจเจอกับหายนะที่มาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัว
บนภูเขาหวงหลีมีผู้ฝึกตนสามสิบกว่าคน ล้วนถือเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ได้รับการบันทึกชื่ออย่างถูกต้องเหมาะสม บวกกับพวกสาวใช้และนักการที่มาพึ่งพิง ตอนนี้ก็มีคนอยู่ประมาณสองร้อยกว่าคน
ความปรารถนาสุดท้ายของซูซินไจคือหวังว่าจะสามารถกลับมาที่ภูเขาหวงหลี มาจุดธูปสามดอกกราบไหว้หน้าหลุมศพอาจารย์และบรรพจารย์ แล้วก็ไม่มีความต้องการอื่นใดอีก แม้แต่ความคิดที่จะมีชีวิตอยู่ในตำหนักพญายมราชคุกล่าง หรือในหอเรือนที่เลียนแบบหอแก้วก็ยังไม่มี
หลังจากซูซินไจปรากฏตัว นางก็ไม่ได้เอ่ยสัพยอกเจิงเย่หรือนักบัญชีท่านนั้นอย่างที่หาได้ยาก
เจิงเย่รู้สึกประหลาดใจ แต่เฉินผิงอันกลับไม่
ยิ่งใกล้บ้านเกิดก็ยิ่งขลาดกลัว
เจิงเย่ได้พบซูซินไจแล้วก็รู้สึกดีใจ
จิตใจของเด็กหนุ่มใสกระจ่างจนมองเห็นก้นบึ้ง
เฉินผิงอันรู้ดีว่าซูซินไจก็รู้เหมือนกัน แต่นางแค่แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจเท่านั้น เด็กสาวจะหวั่นไหวหรือไม่ ส่วนใหญ่มักจะพิถีพิถันในเรื่องรักแรกพบมากกว่าสตรีที่อายุมากกว่า
บุรุษเห็นสาวงามแล้วประทับใจ สตรีเห็นบุรุษหล่อเหลาแล้วหวั่นไหว ล้วนเป็นหลักการที่สะเทือนอย่างไรก็ไม่ปริแตก ไม่มีค่าให้ต้องตกตะลึง
น่าสงสารก็แต่เจิงเย่เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ เมื่อเทียบกับสภาพการณ์ที่หม่าหย่วนจื้อผู้ฝึกตนผีจวนจูเสียนต้องเผชิญแล้วอาจจะดีกว่า แต่กลับไม่ดีกว่าสักเท่าไหร่
เฉินผิงอันเห็นว่าซูซินไจขมวดคิ้วมุ่นก็เปลี่ยนใจ บอกกับเจิงเย่ว่านอกจากฝึกตนแล้วให้นอนหลับสักหนึ่งชั่วยาม จากนั้นก็จะเดินทางกันต่อในตอนกลางคืน
นานๆ ทีเจิงเย่จะได้ทำอะไรเพื่อซูซินไจบ้าง แน่นอนว่าเขาย่อมตบอกสะเทือนฟ้าให้การรับรอง เฉินผิงอันถึงกับยกมือกุมขมับ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่ลูกนกที่เพิ่งหัดบินผ่านกอบุปผานี่นะ
แต่เฉินผิงอันก็ยังมอบโอกาสให้เจิงเย่ เขาเดินห่างออกไป ปล่อยให้ซูซินไจช่วย ‘ปกป้องมรรคา’ ให้กับเจิงเย่ที่กำลังฝึกตนอยู่ข้างกองไฟ
เฉินผิงอันแอบทิ้งกระบี่บินสองเล่มไว้ที่นั่น จากนั้นก็เดินไปบนทางสายเล็กของสันเขาที่หิมะทับถมไม่หนาแน่นมากนัก บางครั้งยังร่วงกราวลงมาเป็นสายเพียงลำพัง
หันหน้าไปมองก็พบว่าซูซินไจยกชายกระโปรงวิ่งเร็วๆ เข้ามาหา ทั้งยังจงใจเหยียบหิมะให้เกิดเสียงดังตามมาด้านหลังเป็นระลอก นี่ไม่ใช่เพราะตอนมีชีวิตอยู่นางคือผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิต แต่เป็นเพราะอยู่ในร่างของสาวงามกระดาษยันต์หนังจิ้งจอกซึ่งถือเป็นต้นไม้เขย่าเงินของสกุลสวี่นครลมเย็น การทำเรื่องเหล่านี้จึงไม่ได้ยากเย็นอะไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!