เกี่ยวกับสถานะของซูซินไจและอีกสองเรื่องนั้น เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบังต่อภูเขาหวงหลี
อันที่จริงผู้ฝึกตนเฒ่าก็ยังจำชื่อของซูซินไจได้ ถึงอย่างไรปีนั้นนางก็เป็นถึงศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่ภูเขาหวงหลีฝากความหวังไว้ให้มาก เพียงแต่ว่าโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นหลังจากนางลงภูเขาไป ภูเขาหวงหลีไม่เพียงแต่ไม่มีท่าทีจะกล่าวโทษ กลับกันยังเป็นฝ่ายส่งคนไปเยือนเกาะซู่หลินของทะเลสาบซูเจี่ยนเพื่อขออภัยบรรพจารย์เทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรผู้นั้นอีกด้วย แน่นอนว่าก็มีความคิดที่จะ ‘เปลี่ยนเรื่องร้ายให้เป็นเรื่องมงคล เปลี่ยนเลวให้กลายเป็นดี’ คิดจะผูกสัมพันธ์กับเกาะซู่หลิน จะได้เหมือนการปักธงผืนหนึ่งบนภูเขาหวงหลี สยบกำราบสำนักคู่แค้นที่ทั้งอยู่ไกลและใกล้เหล่านั้น เพียงแต่ตอนนั้นเกาะซู่หลินไม่ได้ให้ผู้ฝึกตนภูเขาหวงหลีเข้าไป เรียกว่าไม่ให้เกียรติกันแม้แต่น้อย ยังดีที่พอผู้ฝึกตนคนนั้นกลับไปถึงภูเขาหวงหลีแล้วก็ได้แอบจงใจปล่อยข่าวที่ตีความหมายได้หลายแง่มุมออกไป จึงถือว่าพอจะหาผลประโยชน์ที่จับต้องได้จริงมาให้แก่สำนักของตัวเองได้บ้าง
ดังนั้นพอได้ยินว่าผู้ถวายงานคนหนึ่งของเกาะชิงเสียมาเยี่ยมเยือน ผู้ฝึกตนเฒ่าหรือจะกล้าเพิกเฉย
เพียงไม่นานบรรพจารย์ของสำนักบนภูเขาหวงหลีก็ออกมาจากจวน พาผู้ฝึกตนหลายคนที่มีอำนาจบนภูเขามาต้อนรับผู้ถวายงานใหญ่เฉินที่สูงส่งจนมิอาจเอื้อมถึงผู้นี้
สำหรับแคว้นสือหาวแล้ว เกาะพันกว่าเกาะของทะเลสาบซูเจี่ยน ผู้ฝึกตนอิสระหลายหมื่นคนที่โอหังยากกำราบ มีอยู่ร้อยกว่าเกาะที่จำเป็นต้องจดจำชื่อให้แม่นยำ ซึ่งในบรรดาเกาะที่ว่านี้ก็ต้องจดจำเกาะใหญ่สิบกว่าแห่งที่รวมไปถึงเกาะชิงจ่ง ลี่ซู่ เทียนหมู่เป็นหนึ่งในนั้นให้ขึ้นใจ ส่วนเกาะชิงเสียก็ยิ่งมีบรรพจารย์ก่อกำเนิดอย่างสกัดคงคาเจินจวินเป็นเทพเซียนพสุธาที่อยู่บนยอดเขาสูงสุด ซึ่งราวกับอยู่บนจุดสูงสุดของโลกแล้ว ภูเขาหวงหลีไม่ทราบคลื่นลมมรสุมที่เกิดขึ้นในช่วงสองเดือนล่าสุดของทะเลสาบซูเจี่ยน แต่เกี่ยวกับเรื่องที่หลิวจื้อเม่านั่งดำรงตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพได้อย่างราบรื่นนั้น นอกจากสำนักปลายแถวในแคว้นสือหาวที่การข่าวไม่ว่องไว ตัดขาดกับโลกภายนอกแล้ว ผู้ฝึกตนบนภูเขาแทบทุกคนก็ล้วนเคยได้ยินเรื่องนี้
ซูซินไจได้เห็นหน้าบรรพจารย์ของภูเขาหวงหลีที่คุ้นหน้าคุ้นตากัน น้ำตาร้อนๆ ก็ขึ้นมาเอ่อคลอดวงตา รีบลงไปนั่งคุกเข่า ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่เป็นเสียงทันที
การกระทำนี้ทำให้บรรพจารย์ท่านนั้นและทุกคนของภูเขาหวงหลีตกใจกันยกใหญ่
เฉินผิงอันจึงใช้ถ้อยคำที่ค่อนข้างละมุนละม่อมเล่าเรื่องที่เคยเล่าให้ผู้ฝึกตนตรงประตูภูเขาฟังอีกรอบ
คำกล่าวเหล่านี้ล้วนเป็นถ้อยคำที่ซูซินไจใคร่ครวญออกมาเอง
เฉินผิงอันแค่ทำตามที่นางต้องการเท่านั้น
หลังจากที่ภูเขาหวงหลีรู้ ‘ความจริง’ แล้ว ลึกๆ ในใจของทุกคนก็เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายนั่งลงแล้ว บรรพจารย์ขอบเขตชมมหาสมุทรที่ไม่มีหวังได้เลื่อนสู่ประตูมังกรท่านนั้นก็ถึงกับหันมาพูดจาปราศรัยกับแม่หนูที่เปลี่ยนโฉมหน้าไปจากซูซินไจคนเดิมในปีนั้น ซึ่งในคำพูดคำจาก็ยังพอจะมีความจริงใจให้เห็นไม่มากก็น้อย สำหรับการที่ซูซินไจยังเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าแก่ในอดีตก็ยิ่งทำให้ผู้ฝึกตนของภูเขาหวงหลีสะท้อนใจไม่หยุด
จากนั้นซูซินไจก็ได้ไปจุดธูปที่ศาลบรรพจารย์ของสำนักอย่างราบรื่น ซึ่งบรรพจารย์ภูเขาหวงหลีเป็นผู้ส่งมอบธูปให้นางด้วยตัวเอง
สุดท้ายซูซินไจไปที่หน้าหลุมศพของอาจารย์ ครั้งนี้มีแค่เฉินผิงอันและเจิงเย่สองคนเท่านั้นที่อยู่เคียงข้าง นางปฏิเสธบรรพจารย์และผู้ฝึกตนอาวุโสคนอื่นๆ ของภูเขาหวงหลีไปอย่างละมุนละม่อม
ผู้ฝึกตนวัยกลางคนคนหนึ่งมองแผ่นหลังของคนกลุ่มนั้นที่ห่างไปไกลก็อดพูดอย่างปลงอนิจจังไม่ได้ “ผู้ถวายงานเฉินที่เดินทางมาไกลจากเกาะชิงเสียคนนี้ช่าง…นิสัยไม่เหมือนหน้าตาเลยจริงๆ”
บรรพจารย์ภูเขาหวงหลียิ้มเอ่ย “ที่เจ้าพูดนี่หมายความว่าไง สรุปจะชมคนหรือด่าคนกันแน่? โชคดีที่ผู้ถวายงานเฉินไม่อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นแค่ประโยคนี้ของเจ้า เกรงว่ามากพอจะทำให้ภูเขาหวงหลีเล็กๆ ของเราต้องเดือดร้อนไปด้วยเป็นแน่”
แต่เพียงไม่นานบรรพจารย์ภูเขาหวงหลีก็ลูบหนวดคลี่ยิ้ม “แต่นิสัยเขาก็ไม่เหมือนหน้าตาจริงๆ หน้าตาธรรมดา บนร่างก็ไม่ได้พกสมบัติอาคมเป็นประกายแวววาวสะดุดตาเลยสักชิ้น หากไม่เป็นเพราะแผ่นหยกผู้ถวายงานแผ่นนั้นก็ยากที่จะทำให้คนเชื่อได้จริงๆ ว่าผู้ฝึกตนที่หนุ่มขนาดนี้จะได้เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของเกาะชิงเสียแล้ว! ร้ายกาจนัก ตาแก่หนังเหนียวที่ไม่ได้ความอย่างพวกเรา เมื่อเทียบกับเขาแล้วก็สู้ไม่ได้ สู้ไม่ได้จริงๆ”
ไม่รอให้ผู้ฝึกตนวัยกลางคนพูดอะไรอีก
บรรพจารย์กลับชำเลืองตามองเขา ส่ายหน้าเบาๆ “ถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะให้ภูเขาหวงหลีของพวกเราทำอะไรอีกหรือ? รังเกียจว่าเรื่องดีไม่ดี กินอิ่มแล้วว่างงานก็เลยคิดจะทำเรื่องจำพวกวาดงูเติมขาหรืออย่างไร?”
ผู้ฝึกตนวัยกลางคนรีบพยักหน้ารับอย่างเข้าใจทันที
แม้ว่าจะเดินห่างไปไกลมากแล้ว ซูซินไจกลับสังเกตเห็นสีหน้าระอาใจของเฉินผิงอันอย่างเฉียบไว จึงยิ้มถามว่า “เป็นอะไรไป? พวกบรรพจารย์บนภูเขานินทาข้าลับหลังว่าอะไรหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มส่ายหน้า “เปล่าสักหน่อย กำลังชมข้าอยู่ต่างหาก”
ซูซินไจเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “ทำไม หรือกำลังพูดว่าท่านเฉินอายุน้อยมีความสามารถ นับว่าพอเข้าที หากชมอย่างนี้ท่านเฉินสามารถตอบรับอย่างตรงไปตรงมาได้ แต่หากชมว่าท่านเฉินหน้าตาหล่อเหลา สง่างามองอาจ ท่านเฉินอย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจังเด็ดขาดเชียว”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “สมกับคำว่าไม่ใช่คนบ้านเดียวกันไม่เข้าประตูบ้านเดียวกันจริงๆ สายตาของผู้ฝึกตนบนภูเขาหวงหลีอย่างพวกเจ้าไม่ต่างกันสักเท่าไหร่เลย”
ซูซินไจหัวเราะทันใด
หลังจากนั้นนางก็เริ่มเดินช้าลง
เฉินผิงอันจึงชะลอฝีเท้าให้ช้าตามไปด้วย
ภูเขาด้านหลังภูเขาหวงหลีที่ปราณวิญญาณเบาบางห่างชั้นเกินกว่าจะเทียบกับแถบของเกาะชิงเสียได้ติด สถานที่แห่งหนึ่งที่พอจะถือว่าน้ำใสภูเขาเขียวขจี หน้าหลุมศพหลุมหนึ่ง
หลังจากจุดธูปเสร็จก็โขกหัวคำนับ
ซูซินไจหยุดค้างไว้เป็นนานไม่ยอมลุกขึ้น
เฉินผิงอันนั่งอยู่ห่างไปไกล เอื้อมมือไปคว้าดินมากำเล็กๆ แล้วคลึงเบาๆ
เจิงเย่มองแผ่นหลังของซูซินไจอยู่ไกลๆ เด็กหนุ่มรู้สึกเพียงความเสียใจและความเสียใจ
หลังจากซูซินไจลุกขึ้นยืนแล้วเช็ดน้ำตา เดินมาหาเฉินผิงอันด้วยสีหน้าปล่อยวาง หว่างคิ้วไม่เหลืออารมณ์กลัดกลุ้มอยู่อีกแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันทิ้งดินในมือ ลุกขึ้นยืน
ซูซินไจยิ้มบางๆ “ท่านเฉินสามารถเก็บกระดาษยันต์ได้แล้ว”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไรให้มากความ เก็บยันต์หนังจิ้งจอกกลับเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อ
ด้านหน้ามีเพียงสตรีวัตถุหยินที่หวนกลับคืนมามีรูปลักษณ์ดังเดิม
เฉินผิงอันถาม “ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อในยันต์หนังจิ้งจอกจริงๆ หรือ? ต่อให้มีงานพิธีกรรมทางศาสนาขึ้น แต่เรื่องไปจุติเกิดใหม่ก็ยัง…”
ซูซินไจกลับส่ายหน้าเสียก่อน “ข้าไม่เสียใจ ไม่เลยสักนิดเดียว”
นางถอยหลังไปหลายก้าว คลี่ยิ้มหวาน แล้วยอบกายคารวะนักบัญชีที่หน้าซีดขาวไม่ได้ดูดีไปกว่าวัตถุหยินเท่าใดอย่างแช่มช้อย
จากนั้นนางก็หันหน้ามาพูดกับเจิงเย่ที่น้ำตาคลอก่อนว่า “เด็กโง่ วันหน้าติดตามท่านเฉินต้องตั้งใจฝึกตนให้ดี จำไว้ว่าต้องเลื่อนเป็นห้าขอบเขตกลาง กลายเป็นเซียนดินคนหนึ่งให้จงได้!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!