เพราะบางทีพวกเขาคงต้องลองประเมินดูว่าสถานะผู้ถวายงานของคนหนุ่มตรงหน้าเป็นจริงหรือเท็จแล้วจริงๆ เพราะอีกฝ่ายอาจเห็นว่าตอนนี้สกุลหม่าตกอยู่ในสภาวะล่อแหลม ก็เลยคิดจะมาหลอกเล่นงานพวกตน ไม่อย่างนั้นมากสุดพวกเขาก็แค่ต้องตั้งใจปรนนิบัติรับใช้ให้อีกฝ่ายได้กินอิ่มหนำ แล้วค่อยรีบส่งเทพออกไปจากบ้าน เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนที่ไม่จำเป็น ถึงอย่างไรตอนนี้สิ่งที่สกุลหม่าต้องการก็คือการส่งถ่านท่ามกลางหิมะที่แท้จริง ไม่ใช่ปักบุปผาลงบนผ้าแพรที่ไม่เจ็บไม่คันอะไรนั่น
แม้ว่าจะยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในตัวตนของผู้ถวายงานเกาะชิงเสียที่อยู่ตรงหน้า แต่ถึงอย่างไรส่วนที่เชื่อก็มากกว่า ดังนั้นคำพูดคำจาจึงยิ่งเกรงใจ จนแทบจะใกล้เคียงกับการประจบเอาใจ
อย่างไรเสียการพูดจาอย่างมีมารยาท ต่อให้พูดเป็นกระบุงโกยก็ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว
สกุลหม่ามีทรัพย์สมบัติได้อย่างทุกวันนี้ ไม่ใช่ว่าอาศัยแค่การอ่านตำราอริยะปราชญ์อย่างยากลำบากของรุ่นบรรพบุรุษ และรุ่นลูกรุ่นหลานอย่างเดียวเท่านั้น
ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือหลายสิบปีมานี้ สกุลหม่ามีหน้ามีตามากเกินไป ทำอะไรก็ราบรื่นไปหมดทุกอย่าง ไม่ว่าเงินจากฝ่ายไหนก็ล้วนอยากได้ ผลคือกลับได้ปัญหาใหญ่เทียมฟ้ามาแทน สกุลหม่าไม่กลัวเรื่องการใช้เงินแก้ปัญหา กลัวก็แต่ว่าจ่ายเงินก้อนใหญ่ซื้อไปแล้ว แต่ที่ได้มาไม่ใช่ยันต์คุ้มครองชีวิตที่สามารถฟาดเงินสะเดาะเคราะห์ แต่เป็นยันต์เร่งเอาชีวิตเสียมากกว่า
หากเซียนซือหนุ่มคนนี้เป็นอาจารย์อาคนใหม่ของหม่าตู่อี๋จริง ถ้าอย่างนั้นก็ถือเป็นเรื่องมงคลอย่างใหญ่หลวง!
แคว้นสือหาวในทุกวันนี้ ตั้งแต่เมืองหลวงไปจนถึงระดับท้องถิ่น คำพูดของผู้ฝึกตนเทพเซียนคนหนึ่งที่มีน้ำหนักมากพอยังใช้ได้ผลยิ่งกว่าผู้อาวุโสใหญ่ที่น่าสงสารในที่ว่าการหกกรมกลุ่มนั้นเสียอีก!
เข้ามานั่งในห้องโถงใหญ่ เฉินผิงอันก็ยังคงพูดจาอย่างกระชับเรียบง่าย บอกว่าเขากับหม่าตู่อี๋สนิทกันไม่น้อย หากสกุลหม่าเจอเรื่องยากลำบาก เขาก็จะพยายามช่วยเหลือในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้ได้มากที่สุด หากฐานะทางตระกูลมั่นคงดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ดูว่าในตระกูลมีต้นกล้าที่ดีที่เหมาะกับการฝึกตนหรือไม่ เพราะหากมีโชควาสนาเช่นนี้จริง ถึงเวลานั้นต้นกล้าที่ดีต้นนั้นจะถูกส่งตัวไปฝึกตนที่ทะเลสาบซูเจี่ยน หรือจะให้เขาทิ้งเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งไว้ให้ก็ล้วนได้ทั้งสองอย่าง
สามวันต่อมา ม้าทั้งสามตัวก็ออกไปจากเมือง
สตรีที่สวมหมวกคลุมหน้าอยู่ตลอดเวลาผู้นั้นหันกลับไปมองกำแพงเมืองแวบหนึ่งด้วยสายตาซับซ้อน
หลังจากที่ผู้ถวายงานหนุ่มของเกาะชิงเสียปรากฏตัว เรื่องสำคัญเร่งด่วนของสกุลหม่าในตอนนี้ก็คือไปเยือนจวนผู้ตรวจการมณฑลมารอบหนึ่ง แล้วก็ผ่านด่านมาได้อย่างราบรื่น
เด็กสกุลหม่าคนหนึ่งที่พอจะมีคุณสมบัติเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสี่ห้าได้อย่างถูไถได้ไปอยู่ในสำนักของเทพเซียนผู้เฒ่าคนหนึ่งของเขตการปกครองแล้วเริ่มฝึกตน ไม่ใช่ลูกศิษย์ที่แค่ได้รับการบันทึกชื่ออะไร แต่เป็นลูกศิษย์เข้าสำนักอย่างแท้จริง จำเป็นต้องได้รับการจดบันทึกไว้ในที่ว่าการของราชสำนักอย่างชัดเจน นี่หมายความว่าเด็กคนนั้นนอกจากจะมีอาจารย์ในนามแล้ว ทางตระกูลยังคอยสนับสนุนเงินเทพเซียนให้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทุกปีเงินจำนวนนี้จะเข้าไปในกระเป๋าของอาจารย์ แน่นอนว่าไม่ได้เอามาใช้ปูทางในการฝึกตนของเด็กคนนั้นทั้งหมด แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ถือว่าเด็กคนนั้นไม่มีเรื่องให้ต้องคอยกังวลในภายหลังอีกแล้ว เพราะเขาจะต้องช่วงชิงผลประโยชน์ที่เป็นของเขาอย่างแท้จริงมาได้ไม่มากก็น้อย
เฉินผิงอันที่นั่งอยู่บนหลังม้าไม่เอ่ยอะไร
ต่อให้เป็นเด็กหนุ่มที่ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องทางโลกอย่างเจิงเย่ ตลอดหลายวันที่อยู่ในจวนสกุลหม่านี้ เขาก็ยังมองออกว่าตั้งแต่เจ้าประมุขสกุลหม่ามาจนถึงสตรีแต่งงานแล้วผู้นั้น ต่างก็ไม่เหลือความผูกพันอะไรต่อหม่าตู่อี๋บุตรสาวที่ไปจากข้างกายนานแล้วอีกต่อไป ในถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยแฝงไว้ด้วยการสอบถามนั่นนี่อย่างระมัดระวัง ถามประวัติความเป็นมาของสำนักหม่าตู่อี๋ ถามถึงขอบเขตและตบะของหม่าตู่อี๋ เลียบๆ เคียงๆ ถามว่าผู้ฝึกตนหนุ่มมีคู่บำเพ็ญเพียรแล้วหรือยัง…สรุปก็คือเรื่องที่เกี่ยวกับหม่าตู่อี๋เปลี่ยนจากผู้ฝึกตนเกาะซงเฟิงไปเป็นผู้ฝึกตนเกาะชิงเสีย สองสามีภรรยาแค่ถามพอเป็นพิธีคำสองคำ แต่นั่นก็เหมือนคำพูดตามมารยาทในงานเลี้ยงรับรองของวงการขุนนางหรือในงานเลี้ยงสุราทั้งหลายที่ควรต้องพูดถึงสักหน่อย มีถามมีตอบ อันที่จริงไม่ได้สำคัญเท่าใดนัก เพราะไม่อย่างนั้นบรรยากาศจะกระอักกระอ่วนเกินไป แค่นี้เท่านั้น
ความห่างเหินระหว่างความสัมพันธ์พ่อแม่ลูก บางทีอาจเป็นเพราะหม่าตู่อี๋จากบ้านไปนานเกินไป การฝึกตนบนเกาะซงเฟิงไม่ราบรื่น ทำให้บรรพจารย์รู้สึกผิดหวัง จนกระทั่งตายไปก็ยังเป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตห้า ไม่สามารถออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนกลับมาเยี่ยมเยียนบ้านเกิดได้ ดังนั้นระยะห่างของทั้งสองฝ่ายจึงมีมากเกินไป บางทีพ่อแม่อาจรู้สึกว่าสถานะของบุตรสาวแตกต่างไปจากตนแล้ว หรือบางทีอาจเป็นเพราะควันธูปของลูกหลานโชติช่วง บุตรชายหญิงที่อยู่ใกล้ชิดย่อมได้รับความชื่นชอบจากผู้อาวุโสในตระกูลมากกว่าบุตรสาวที่ ‘แต่งออกไปไกล’ …เหตุผลอาจมีร้อยพันอย่าง แต่เรื่องจริงกลับมีเพียงอย่างเดียว
เวลานี้ไม่ว่าคำพูดใดๆ ของคนนอกก็มีแต่จะกลายเป็นดั่งการจ้วงมีดลงบนหัวใจ พูดหนึ่งคำก็เจ็บปวดหนึ่งครั้ง
ดังนั้นครั้งหนึ่งระหว่างหยุดม้า เฉินผิงอันจึงใช้สายตาบอกเป็นนัยแก่เจิงเย่ ไม่ให้เด็กหนุ่มนิสัยซื่อใสที่อดใจไม่ไหวเตรียมจะเปิดปากเอ่ยปลอบใจสักสองสามคำพูดอะไรออกมา
เฉินผิงอันไม่ได้เก็บยันต์สาวงามหนังจิ้งจอกซึ่งเป็นที่พักพิงของหม่าตู่อี๋แผ่นนั้นลงไป แต่ปล่อยให้นางขี่ม้าผ่อนคลายอารมณ์ ติดตามพวกเขาไปยังสถานที่ถัดไป
ผ่านไปสองวันสายตาของเจิงเย่ก็เริ่มเปลี่ยนไป ทว่ารูปโฉมและน้ำเสียงกลับคงเดิม แต่ดวงตาของคนก็คือหน้าต่างของหัวใจ ง่ายที่จะส่งผลต่อการรับรู้ทางรูปลักษณ์ของผู้อื่น
ในที่สุดหม่าตู่อี๋ก็เลิกจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คงเป็นเพราะรู้สึกว่าสภาพของเจิงเย่ในเวลานี้ค่อนข้างจะน่าสนใจ
นั่นเป็นเพราะมีจิตหยินของนักการคนหนึ่งบนเกาะชิงเสียเริ่มเข้ามาสิงร่างเจิงเย่ ซึ่งค่อนข้างแตกต่างไปจากการ ‘เชิญเทพเข้าร่าง’ ‘เปิดประตูรับวิญญาณ’ ที่ผู้ฝึกตนอิสระทั่วไปเชี่ยวชาญอยู่บ้าง
ส่วนวิธีการที่แท้จริงนั้น หม่าตู่อี๋ย่อมมองตื้นลึกหนาบางไม่ออก
ขยับเข้าไปใกล้หมู่บ้านในป่าเขาแห่งหนึ่ง
ก็เห็นหญิงชราหลังค่อมคนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ต่อให้จะมีรอยปะชุน ก็ยังไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกว่านางยากจนตกอับอยู่ดี
นางเพิ่งจะกลับมาจากซักผ้าริมลำธาร ในมือคล้องตะกร้าสานใบใหญ่ ขาที่ก้าวเดินกะโผลกกะเผลก
สำหรับหญิงชราบ้านป่าที่อายุมากคนหนึ่งแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ชีวิตคนและเรื่องราวทางโลกผ่านการขัดเกลามามากมาย แค่ใช้ชีวิตที่ยากลำบากโดยไร้คำพร่ำบ่นก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว คนจนอยากมีชีวิตเหมือนคนรวยย่อมยากเหมือนเดินขึ้นสวรรค์ แต่หากอยากมีชีวิตที่อิสระเสรีผ่อนคลายกลับยากยิ่งกว่า
‘เจิงเย่’ พลิกกายลงจากหลังม้า วิ่งตะบึงโซซัดโซเซไปด้านหน้า มาหยุดอยู่ข้างกายหญิงชราแล้วทรุดตัวลงคุกเข่า เอาแต่โขกศีรษะคำนับเสียงดังตึงๆ
หญิงชรามีสีหน้ามึนงง นางรีบวางตะกร้าสานลง ไม่มีเวลามาสนใจว่าเสื้อผ้าที่เพิ่งซักสะอาดจะเปื้อนดินหรือไม่ นางทรุดตัวลงนั่งอย่างเปลืองแรงเล็กน้อย คิดจะช่วยประคองเด็กหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้ขึ้นมา นางถามอย่างร้อนใจด้วยภาษาท้องถิ่นที่ทั้งเฉินผิงอันและหม่าตู่อี๋ต่างก็ไม่เข้าใจ “นี่เจ้าทำอะไรกัน? นี่เจ้าทำอะไร? อย่าทำแบบนี้ อย่าทำแบบนี้…”
คืนนั้น
ในบ้านของหญิงชรามีสาวงามยันต์หนังจิ้งจอกโผล่มาเพิ่มอีกหนึ่งคน ทว่าด้านในกลับมีบุรุษคนหนึ่งอาศัยอยู่ บนโต๊ะวางเงินเทพเซียนหนึ่งกองที่คนผู้หนึ่งซึ่งจากไปทิ้งเอาไว้ ปราณวิญญาณในเงินกองนี้มากพอจะให้เขาประคับประคองตัวเองไปยี่สิบปี
มากพอจะให้เขาอยู่ต่อเพื่อดูแลหญิงชราในช่วงบั้นปลายชีวิตจนกระทั่งนางจากไป
หลังจากแขกพากันจากไปไกลแล้ว หญิงชราและ ‘หลานชาย’ ที่จากบ้านไปนานหลายปีผู้นี้ก็จับมือกันและกัน นั่งหลั่งน้ำตาอยู่ตรงข้ามกัน
บนทางสายเล็กของหมู่บ้านชนบท ยังคงเป็นม้าสามตัวที่จากไป
จิตวิญญาณของเจิงเย่แกว่งไกวเล็กน้อย จำเป็นต้องสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ
คนทั้งสามเดินทางกลับพร้อมกันอย่างไม่รีบร้อน
หม่าตู่อี๋พลันเอ่ยขึ้นว่า “หญิงชราคนนั้นเป็นคนดี แต่ตอนนี้ที่รู้ความจริงก็ไม่ควรพูดจาแบบนั้นกับเจ้า ใช้ชีวิตแลกชีวิต แม้เหตุผลจะถูกต้อง แต่นี่เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วยเล่า”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าคิดว่านางควรจะพูดอย่างนี้ พูดอย่างนี้นี่แหละถึงจะถูกต้องแล้ว”
หม่าตู่อี๋พลันแค่นเสียงเย็น ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง “เห็นไหม ขนาดนั้นหญิงชราบ้านป่าคนหนึ่งยังเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าแก่ยิ่งกว่าพ่อแม่ใจดำของข้าเสียอีก!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!