กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 451

ธุระเรื่องร้านยาและโรงทานแจกโจ๊กล้วนถูกจัดการหมดแล้ว เดิมทีหม่าตู่อี๋กับเจิงเย่นึกว่าจะต้องออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังชายแดนแคว้นสือหาวต่อเหมือนทุกครั้ง มีวัตถุหยินเพศชายสองตนที่มีชาติกำเนิดมาจากกองทัพชายแดน ซึ่งความปรารถนาก่อนตายของพวกเขาเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ แม้ตัวคนจะไม่อาจเป็นดั่งใบไม้ที่ร่วงกลับคืนสู่ราก ทว่าความปรารถนากลับอยู่ที่บ้านเกิดนั้น

แต่เฉินผิงอันกลับอยู่ต่ออีกหนึ่งวัน จนกระทั่งยามสนธยาของวันนี้เขาถึงมาหยุดอยู่ตรงประตูเมือง มองไกลๆ ส่งเด็กหนุ่มร่างผอมดำคนหนึ่งไปจากเมือง แล้วจึงไปเยือนร้านขายเนื้อหมาในตรอกที่ประตูร้านปิดสนิทมารอบหนึ่ง เห็นว่าสองด้านบนกำแพงแปะภาพเทพทวารบาลเฉาหยวนสององค์ของต้าหลีที่ในมือขุนนางบุ๋นถือแผ่นฮู้ (แผ่นฮู้ว่าราชการ ลักษณะเป็นวัตถุแบนยาวทำจากหยก งาช้างหรือไม้ไผ่ขึ้นอยู่กับฐานะของขุนนางที่ถือ ซึ่งขุนนางมักจะถือไว้ยามเข้าเฝ้าในท้องพระโรง) ขุนนางบู๊ถือกระบอง เฉินผิงอันถึงได้กลับไปยังโรงเตี๊ยม

ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ตรงประตูเมือง เฉินผิงอันได้เจอกับกวนอี้หรานผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลีอีกครั้ง ฝ่ายหลังจงใจสลัดทหารบู๊ผู้ติดตามข้างกายทิ้ง แล้วเดินมายืนอยู่ตรงประตูข้างกายเฉินผิงอันเพียงลำพัง เขาถามเบาๆ ว่า “คิดจะปล่อยสายเบ็ดยาวหวังตกปลาตัวใหญ่ จงใจปล่อยเสือกลับภูไปชั่วคราว จะได้สะดวกให้ตามหาพื้นที่ฝึกตนของปีศาจน้อยตนนี้ หวังพบโชควาสนาที่เป็นวัตถุเซียนสักชิ้นสองชิ้น? หรือว่าปล่อยไปทั้งแบบนี้ ให้ปีศาจน้อยตนนี้จากไปไกล ถือว่าเป็นการสร้างบุญครั้งหนึ่ง?”

ภูตผีปีศาจบนภูเขาสามารถจำแลงร่างกลายเป็นคนได้ แสดงว่าต้องมีโชควาสนายิ่งใหญ่ติดตัว หากไม่พลัดหลงเข้าไปในถ้ำสถิตตระกูลเซียนที่ถูกปล่อยร้าง ก็แสดงว่าต้องกินสมุนไพรยาวิเศษประเภทหลิงจือที่รวบรวมปราณวิญญาณของฟ้าดินแห่งหนึ่งเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นแบบใด อย่างแรกสามารถสืบสาวเบาะแสไปจนพบ ส่วนอย่างหลังก็สามารถหล่อหลอมร่างของภูตผีได้โดยตรง นี่ล้วนเป็นทรัพย์สินก้อนไม่เล็กที่สร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้รับได้

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เป็นอย่างหลัง”

กวนอี้หรานเอ่ยอย่างเสียดาย “น่าเสียดายนัก หากเจ้าไม่ปรากฏตัว ข้าก็มีสหายสองคนที่บ่นว่าตัวเองยากจนข้นแค้นอยู่ทุกวัน จึงหมายหัวปีศาจน้อยในร้านขายเนื้อหมาตนนี้มานานแล้ว แต่ในเมื่อเจ้ายื่นมือเข้าแทรก ข้าจึงโน้มน้าวให้พวกเขาล้มเลิกความคิด เดิมทีก็เป็นแค่ของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ที่เพิ่มเข้ามา และในยามปกติก็ยังมีกิจในกองทัพให้ทำ แน่นอนว่าหากเจ้าเลือกอย่างแรกก็ยังพอจะทำได้”

เฉินผิงอันถาม “ข้ายื่นเท้าเข้าแทรกเช่นนี้ จะไม่เป็นการลดทอนผลประโยชน์ของเพื่อนร่วมงานเจ้าให้น้อยลงหรือ? จะทำให้เจ้าลำบากใจหรือไม่?”

กวนอี้หรานยิ้มบางๆ “แม้ข้ากับสหายสองคนนั้นจะเป็นผู้ฝึกตน แต่อันที่จริงกลับถือเป็นคนในกองทัพของต้าหลีมากกว่า ดังนั้นแค่เจ้าเอ่ยประโยคนี้และมีน้ำใจนี้ก็เพียงพอแล้ว ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ยากนักที่จะเจอคนบ้านเดียวกัน จึงไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันมากมายก็ได้ แต่ความเกรงใจบางอย่าง หากมีย่อมดีที่สุด แต่หากไม่มีก็ไม่เป็นไร อย่างมากวันหน้าเมื่อพบเจอกันก็แค่แสร้งทำเป็นไม่รู้จักกัน ทุกอย่างอิงตามกฎหมายของต้าหลีและกฎเกณฑ์ในกองทัพเราก็เท่านั้น”

เฉินผิงอันเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ถูกต้อง”

กวนอี้หรานหัวเราะเสียงดังกังวาน “ข้าดีใจมากที่ได้มาพบเจอคนบ้านเดียวกันที่ได้ดิบได้ดีอย่างเจ้าในสถานที่ที่ห่างจากบ้านเกิดมาถึงหนึ่งแสนแปดพันลี้เช่นนี้”

เฉินผิงอันกุมหมัดกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าไม่สะดวกจะเปิดเผยตัวตน ในอนาคตขอแค่มีโอกาส ข้าจะต้องมาดื่มเหล้ากับพี่กวนแน่นอน”

กวนอี้หรานเลขาธิการฝ่ายบู๊ของต้าหลีชูแขนกำหมัดทุบลงบนเกราะเหล็กตรงหน้าอกตัวเองเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะจดจำไว้จริงๆ แล้ว! บอกไว้ก่อนว่า อยู่บนสนามรบ พี่น้องช่วยเหลือข้า ต่อให้ติดค้างชีวิตข้าก็ไม่เป็นไร มีเพียงติดค้างเหล้าข้ากวนอี้หรานเท่านั้น ต่อให้เป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ก็ยังทำไม่ได้!”

การพบเจอกันโดยบังเอิญในต่างถิ่นต่างแดนของคนบ้านเดียวกันครั้งนี้ มีแต่ความปิติยินดีทั้งตอนพบปะและจากลา

หลังจากที่คนหนุ่มสวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียวผู้นั้นออกห่างจากประตูเมืองไปไกลก็มีผู้ฝึกตนติดตามกองทัพสองคนที่สวมเสื้อเกราะเบาของคลังยุทโธปกรณ์ต้าหลีซึ่งทำขึ้นพิเศษพากันเดินมาช้าๆ คนหนึ่งคือชายฉกรรจ์ร่างกำยำ อีกคนหนึ่งคือสตรีเรือนร่างบอบบาง

สตรีมองประเมินกวนอี้หรานที่คล้ายจะยังอารมณ์ดีไม่คลาย แล้วถามด้วยความประหลาดใจ “อี้หราน เพิ่งจะเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิของปี เจ้าก็ต้องเสียเงินเทพเซียนตั้งมากมายไปเปล่าๆ แบบนี้ ไม่ใช่ลางที่ดีเลยนะ แต่เจ้ายังอารมณ์ดีขนาดนี้เชียวหรือ?”

กวนอี้หรานหัวเราะฮ่าๆ “ข้าต้องอารมณ์ดีสิ ทองพันชั่งก็ยากจะซื้อความยินดีของข้าได้”

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเอ่ย “ผู้ฝึกตนหนุ่มคนหนึ่งที่สามารถมอบเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญออกไปได้ง่ายๆ อีกทั้งยังไม่มีข้อเรียกร้องใดๆ ต่อปีศาจน้อยตนนั้น กลับกันยังจงใจคุ้มกันเขามาส่งถึงหน้าประตูเมือง บวกกับการตั้งโรงทานแจกโจ๊กและร้านยาในเมืองก่อนหน้านี้ ตามรายงานของสายลับ เขาไม่ได้เพิ่งมาทำที่เมืองนี้เป็นแห่งแรก แต่ทำทุกสถานที่ที่ผ่านมา หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าจะมีผู้ฝึกตนบนภูเขาที่จิตใจดีงามดุจพระโพธิสัตว์เช่นนี้ แต่หากเปลี่ยนมาเป็นคนผู้นี้ ดูจากคำพูดและการกระทำของเขาแล้วกลับพอจะเข้าใจได้ ข้ารู้สึกว่าอี้หรานทำไม่ผิด เดิมทีก็เป็นคนบ้านเดียวกัน คู่ควรให้เป็นสหายร่วมดื่มเหล้ากับพวกเราแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ขาดทุนหรอก”

หญิงสาวที่เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น แต่กลับห้อยกระบี่เล่มใหญ่บ่นขึ้นว่า “บุรุษอย่างพวกเจ้านี่นะ ล้วนมีแต่พวกเฮงซวยแบบนี้ แค่เจอคนที่ถูกใจเข้าหน่อยก็ชอบตบหน้าตัวเองให้ดูเป็นคนอ้วน คุ้มแล้วหรือ?”

กวนอี้หรานพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แม่นางชี เจ้าพูดถึงบุรุษอย่างพวกเราแบบนี้ ข้าไม่ชอบใจแล้วนะ ข้ามีเงินเยอะกว่าอวี๋ซานฝางมากนัก ไหนเลยจะต้องตบหน้าตัวเองให้ดูอ้วน ปีนั้นใครกันที่บอกว่าคุณชายเสเพลลูกหลานคนรวยอย่างข้าแค่ผายลมก็ยังมีกลิ่นเหม็นของเหรียญทองแดงแล้วน่ะ?”

“ปากสุนัขไม่งอกงาช้างจริงๆ!” สตรีที่เรือนร่างบอบบางดุจกิ่งหลิวในฤดูใบไม้ผลิกำหมัดทุบเข้าที่ไหล่ของกวนอี้หราน ทำเอากวนอี้หรานเซถอยไปหลายก้าว ส่วนนางก็หมุนตัวเดินกลับขึ้นไปบนหัวกำแพงเมือง

กวนอี้หรานแสยะปากนวดไหล่ตัวเอง เขาเจ็บมากจริงๆ ทว่าก็ได้แต่ยิ้มเจื่อน ส่วนบุรุษร่างกำยำที่มีชื่อว่าอวี๋ซานฝางกลับทำสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น

สตรีคือผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่มาจากศาลลมหิมะ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนภูเขาเจินอู่ที่รับหน้าที่เป็นขุนนางบู๊ระดับกลางและสูงในกองทัพม้าเหล็กของต้าหลีแล้ว สตรีแซ่ชีผู้นี้กลับไม่มีโอกาสนั้น นางจึงได้แต่เลือกเส้นทางอีกทางหนึ่งที่มีอนาคตยาวไกล ทว่าสำหรับเรื่องนี้กองทัพชายแดนต้าหลีกลับไม่รู้สึกประหลาดใจ ผู้ฝึกตนสำนักการทหารของศาลลมหิมะส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นเช่นนี้ หลังจากลงเขามาแล้วก็ชอบเป็นจอมยุทธพเนจรที่ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง บางครั้งก็เป็นอย่างสตรีผู้นี้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามรับใช้ใกล้ชิดแม่ทัพบู๊ที่สำคัญบางคน

อวี๋ซานฝางโอบไหล่กวนอี้หราน พูดเสียงเบาว่า “อี้หราน ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ จะอย่างไรข้าก็น่าจะรู้จักเจ้ามาเจ็ดแปดปีแล้วกระมัง แต่กระนั้นข้าก็ยังนึกว่าเจ้าเป็นลูกหลานตระกูลแม่ทัพที่ระดับขั้นไม่สูงไม่ต่ำในเมืองหลวง ไม่อย่างนั้นปีนั้นก็คงไม่ถูกตระกูลทิ้งขว้างไว้ในสถานที่เละเทะแบบนั้น มาอยู่ทีก็นานเกือบสามปี แล้วก็ยังเป็นได้แค่ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพระดับขั้นต่ำที่สุดในกองทัพของพวกเรา ต้องรู้ว่าสำเนียงคนเมืองหลวงนี้ของเจ้าเป็นที่รังเกียจของคนมากมาย กลับกลายเป็นชีฉีเสียอีกที่เพิ่งรู้จักเจ้าได้แค่สองปี และเพิ่งได้เดินทางลงใต้มาด้วยกันครั้งนี้เท่านั้น แต่นางกลับเป็นคนเดียวที่มองสถานะชาติตระกูลของเจ้าออก ยืนกรานบอกว่าเจ้าเป็นลูกหลานคนรวย เพราะอะไร? พี่น้องอย่างพวกเราที่เคยนั่งอึก้นเย็นในหน้าหนาวมาด้วยกันกลุ่มนี้ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลย หรือว่าพวกเจ้าสองคนได้…”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!